Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2052 คดในข้องอในกระดูก
ถ้าหากวันหนึ่งสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะต้องล่มสลายหละก็ สิ่งที่คนอย่างพวกนายน้อยทะยานฟ้านึกถึงเป็นอันดับแรกย่อมไม่ใช่ไปเฝ้าปกป้องสถาบันศึกษาเทพเจ้าอยู่แล้ว จะต้องอาศัยจังหวะเหตุชุลมุนวุ่นวายถือโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์อย่างแน่นอน! ทำอย่างไรให้ได้มาเป็นกอบเป็นกำ ทำอย่างไรจึงจะแปลงของวิเศษของสถาบันศึกษาเทพเจ้าให้กลายเป็นของตน
สมควรทราบว่า สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปเจียวเหิงโจว มีของวิเศษนับไม่ถ้วนอยู่ในครอบครอง มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์บุปผาประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วย มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์เส้นชีพจรวิเศษในครอบครองจำนวนมาก…
การที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ครอบครองทรัพยากรจำนวนมากเช่นนี้ ย่อมทำให้ใครก็ตามต้องอยากได้อย่างยิ่ง ขอเพียงสามารถได้มาเพียงส่วนน้อยส่วนหนึ่งเท่านั้น ก็จะได้รับประโยชน์นับไม่ถ้วนไปชั่วชีวิต
กล่าวสำหรับพวกของนายน้อยทะยานฟ้าแล้ว การล่มสลายของสถาบันศึกษาเทพเจ้าใช่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร พรรคทะยานฟ้าของพวกเขายังคงอยู่ พรรคซือเสินของพวกเขาก็ยังคงอยู่
ดังนั้น กล่าวได้ว่าพลันที่ได้ยินว่าพายุฝนฟ้าคะนองกำลังมา พวกของนายน้อยทะยานฟ้าต่างมีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน พวกเขาทั้งสามต่างมองตากันและกัน เพียงแต่ไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้นเอง
“ภัยพิบัติกำลังจะมาแล้ว พวกเจ้าในฐานะนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า สมควรออกแรงเพื่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าอีกแรงหนึ่ง ถึงเวลาที่ต้องปกป้องรักษาทรัพยากรของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ปกป้องสมบัติของสถาบันศึกษาเทพเจ้า” กู่ฉวี่หังเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“ถูกต้อง เป็นสิ่งที่พวกเราสมควรทำ” นายน้อยทะยานฟ้าและพวกของเทพบุตรซือจงต่างตอบรับคำหนึ่ง พยักหน้าและกล่าวขึ้นมา เพื่อแต่คำพูดที่ออกจากปากของพวกเขาดูจะปราศจากพลัง ไม่ได้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เป็นเพียงรับปากกับกู่ฉวี่หังแบบขอไปทีเท่านั้น
“ถ้าหากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่สามารถผ่านภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ เมื่อไรที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าล่มสลายหละก็ บรรดาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ชีพจรวิเศษจะต้องตกไปในมือของผู้ร้าย พวกเจ้าในฐานะนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าสมควรสู้ถวายหัวเพื่อปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ชีพจรวิเศษเหล่านี้เอาไว้ รอคอยวันที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าก่อตั้งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไร พวกเจ้าก็คือผู้รักษาเชื้อไฟให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้า เป็นขุนนางผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า” กู่ฉวี่หังมองดูพวกนายน้อยทะยานฟ้าสามคน เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา กล่าวเอ้อระเหยออกมา
พลันที่กู่ฉวี่หังพูดคำๆ นี้ออกมา พวกของนายน้อยทะยานฟ้าสามคนพลันหวั่นไหวในใจ! พวกเขานึกถึงมุมมองใหม่ทั้งหมดขึ้นมาทันที
ถ้าหากว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าประสบภัยพิบัติ แล้วพวกเขาถือโอกาสผสมโรงเข้าไปด้วย จะอย่างไรเสียมันก็จะไร้เหตุผล และจะต้องมีคนออกมาตำหนิ จะอย่างไรเสียพวกเขาก็คือนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
แต่ว่า หากเปลี่ยนมุมอีกมุมหนึ่ง สถาบันศึกษาเทพเจ้ากำลังจะล่มสลาย สถาบันศึกษาเทพเจ้ากำลังจะถูกทำลาย เหมือนดั่งที่กู่ฉวี่หังได้พูดเอาไว้อย่างนั้น พวกเขาในฐานะนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า พวกเขามีหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินของสถาบันศึกษาเทพเจ้า พวกเขาสมควรแลกชีวิตปกป้องภูเขาศักดิ์สิทธิ์สายแร่วิเศษ เพื่อมิให้ต้องตกอยู่ในมือของต่างเผ่าที่จ้องอยากได้สิ่งเหล่านี้ วันข้างหน้าหากมีการก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นมาใหม่ การกระทำของพวกเขาเท่ากับเป็นการรักษาเชื้อไฟให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้า พวกเขาคือขุนนางผู้มีคุณูปการของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
แน่นอน เรื่องที่ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าสามารถสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อใดนั้น ไม่มีใครรู้ได้
เรื่องเดียวกันเมื่อมีการเปลี่ยนมุมมอง ทุกอย่างก็กลับกลายแตกต่างโดยสิ้นเชิง วิธีแรกกลายเป็นผู้ทรยศ วิธีหลังกลายเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการ ลองนึกดูให้ละเอียด เรื่องเดียวกัน คุณสมบัติเดียวกัน เพียงเปลี่ยนมุมเท่านั้น ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย!
“ถูก ถูกต้อง พวกเราในฐานะนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า สมควรปกป้องสถาบันศึกษาเทพเจ้าเต็มที่ มีหน้าที่ไปปกป้องคุ้มครองสถาบันศึกษาเทพเจ้า! พวกเราจะต้องปกป้องทรัพยากรของสถาบันศึกษาเทพเจ้า จะไม่ปล่อยให้ต้องตกไปอยู่ในมือของโจรภายนอกอย่างเด็ดขาด” พวกนายน้อยทะยานฟ้าสามคนพลันดวงตาเป็นประกาย พูดเสียงดังขึ้นมา เวลานี้พวกเขาพูดเสียงห้าวหาญอย่างยิ่ง
“ต้องอย่างนี้สิ” เมื่อกู่ฉวี่หังเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น เมื่อมองเห็นท่าทีความห้าวหาญที่ฮึกเหิมมากของพวกนายน้อยทะยานฟ้าแล้ว กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เรือนตำราคือเขตหวงห้ามของสถาบันศึกษาเทพเจ้า มันมีความสำคัญต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าพวกเรายิ่งนัก เป็นส่วนหนึ่งที่ขาดเสียไม่ได้แลย ดังนั้น ข้าในฐานะอาจารย์ขอส่งพวกเข้าไปคุ้มครองเรือนตำรา วางใจเถอะ ข้าก็จะคอยให้ความช่วยเหลือพวกเจ้าอีกแรงตลอดเวลา”
พวกของนายน้อยทะยานฟ้าถึงกับมองตากันและกัน ควรทราบว่าพวกเขาไม่ใช่คนโง่ ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะบุคคล เมื่อกู่ฉวี่หังพูดออกมาเช่นนี้ พวกเขาฟังออกถึงนัยที่แอบแฝงอยู่ได้ทันทีAileen-novel
“อาจารย์…” เทพบุตรซือจงลังเลนิดหนึ่ง กล่าวว่า “เรือนตำรามีอาจารย์หลี่อยู่ เกรงว่าพวกเราคงไม่สามารถช่วยอะไรได้กระมัง”
“นั่นสิ บางทียังมีสถานที่แห่งอื่นต้องการให้พวกเราไปคุ้มครองมากกว่า” เวลานี้ในใจของยุวกษัตริย์เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
หลังจากการบรรยายในครั้งนี้แล้ว ฐานะของหลี่ชิเย่ได้เปิดออกมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนได้เห็นกับตา แม้แต่เซียนหวังอย่างราชันทักษิณ ม่อเชียนจวินที่เป็นอาจารย์อาวุโสยังมาฟังการบรรยาย แม้ว่าการบรรยายของหลี่ชิเย่นั้นบรรยายได้ดีจริง แต่จากเรื่องนี้ก็สามารถมองออกว่าประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่นั้นฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งนัก
“ไม่ พวกเจ้ายังไม่เข้าใจ เรือนตำรานั้นสำคัญกว่าทุกๆ ที่ ที่เรือนตำรามีสุดยอดของวิเศษที่สะเทือนฟ้าที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ไม่มีสิ่งใดในสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีค่ามากไปกว่าของวิเศษชิ้นนั้นที่อยู่ในเรือนตำราอีกแล้ว” กู่ฉวี่หังส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “อีกอย่าง สถาบันศึกษาเทพเจ้าเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน เกรงว่าอาจารย์หลี่ก็คงดูแลไม่ทั่วถึง ไม่สามารถดูแลเรือนตำราได้ทั้งหมด”
คำพูดของกู่ฉวี่หังทำให้พวกของนายน้อยทะยานฟ้าสามคนมองตากันและกัน ลึกๆ ในใจของพวกเขาไม่ค่อยอยากจะไปหาเรื่องกับหลี่ชิเย่อะไรนัก จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ในเวลานี้ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงแล้ว
“อาจารย์ สิ่งที่อยู่ภายในเรือนตำราคืออะไรกันแน่นะ?” สุดท้ายแล้ว เทพบุตรซือจงได้เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
เมื่อเอ่ยถึงปัญหาข้อนี้ นัยน์ตาทั้งสองของกู่ฉวี่หังกลับกลายเป็นลึกล้ำยิ่งนัก กล่าวยขึ้นช้าๆ ว่า “เรื่องนี้พูดยาก ที่แน่ใจได้ก็คือ หากเจ้าสามารถได้รับการปกป้องคุ้มครองจากของวิเศษชิ้นนี้หละก็ เช่นนั้นแล้ว สามารรถต่อกรกับเซียนหวัง สามารถสังหารจอมเทพได้! เล่าลือกันว่ามันคือของวิเศษชิ้นหนึ่งที่สามารถต้านกับสวรรค์ได้!”
คำพูดของกู่ฉวี่หังพลันทำให้ภายในใจของพวกเทพบุตรซือจงสะดุ้งนิดหนึ่ง ถ้าหากสิ่งนี้เป็นของวิเศษที่สามารถต่อต้านสวรรค์ได้หละก็ ช่างน่ากลัวมากเหลือเกิน ช่างฝืนลิขิตสวรรค์เหลือเกิน
“เรื่อง เรื่องนี้เป็นความจริงรึ?” นาบน้อยทะยานฟ้าถึงกับดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง เผยให้เห็นกระกายที่ละลานตา
“เป็นเรื่องจริงหรือไม่ข้าไม่กล้ายืนยันแล้ว แต่ทว่า นี่ต้องเป็นภัยพิบัติอย่างแน่นอน ต้องมีจอมราชันเซียนหวังจำนวนมากมาที่นี่ เป็นต้นว่าเซียนหวังของพรรคทะยานฟ้าก็มีโอกาสมาที่นี่ด้วยตนเอง” กู่ฉวี่หังเอ่ยเตือนนายน้อยทะยานฟ้าเหมือนไม่ตั้งใจ
คำพูดที่เหมือนไม่ตั้งใจของกู่ฉวี่หังทำเอาพวกของนายน้อยทะยานฟ้าถึงกับรู้สึกหวั่นไหวในใจ หากเซียนหวังของพรรคทะยานฟ้ามาหละก็ ย่อมมีความหมายที่แตกต่างกันแล้ว
“ต้องมีผู้คนจำนวนมากมาอยู่แล้ว นี่เป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ เกรงว่าไม่มีใครอยากจะพลาด ต่อให้มีจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบเอ็ดสายมาก็หาใช่เป็นเรื่องแปลก กระทั่งอาจจะมีจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายมาด้วย” กู่ฉวี่หังพูดไม่สนใจใยดีขึ้นมา
คำพูดที่กู่ฉวี่หังพูดออกมาอย่างไม่สนใจใยดี ทำให้พวกของนายน้อยทะยานฟ้าถึงกับเสียวสันหลังวาบพวกเขาต่างมองตากันและกัน นายน้อยทะยานฟ้าเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “จะเป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายองค์ไหนมารึ?”
จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายมันก็มีราชันเทพชิงมู่ ราชันซื่อตี้ เซียนหวังอิเย่ ราชันเสวียนตี้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น!
ถ้าหากจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายมาจริงๆ เช่นนั้นแล้วสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะมีโชคชะตาเป็นอย่างใดกันเล่า เกรงว่าผู้คนจำนวนมากต้องอยากได้คลังสมบัติและทรัพยากรของสถาบันศึกษาเทพเจ้าอย่างยิ่ง พวกของนายน้อยทะยานฟ้าไม่เชื่อหรอกว่า บรรดาจอมราชันเซียนหวังเหล่านี้จะมาทำการปกป้องสถาบันศึกษาเทพเจ้า ไม่แน่นักพวกเขาอาจจะนำเอาสถาบันศึกษาเทพเจ้ามาแบ่งสันปันส่วนกัน
จะอย่างไรเสียสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็คือชิ้นเนื้อมันที่ยอดเยี่ยมมากชิ้นหนึ่ง ไม่ว่าใครก็อยากได้ส่วนแบ่งเนื้อชิ้นนี้ กระทั่งแม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายก็อยากได้ในสิ่งที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ครอบครองเอาไว้
กู่ฉวี่หังไม่ได้ตอบคำถามของนายน้อยทะยานฟ้า เพียงกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย “เมื่อภัยพิบัติถึงตัว มันจะเป็นโอกาสสร้างผลงานที่ดี อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว คว้าโอกาสเอาไว้ได้หรือไม่ก็อยู่ที่ตัวของพวกเจ้าเองแล้ว”
คำพูดเช่นนี้ของกู่ฉวี่หังทำให้พวกของนายน้อยทะยานฟ้าสามคนต้องมองตากันและกัน เวลานี้พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี
“ยี่ฝาน วิชาควบคุมสัตว์ของพรรคซือเสินเจ้าก็นับเป็นหนึ่งสุดยอดวิชา เป็นโอกาสที่เจ้าจะได้สำแดงฝีมือได้เป็นอย่างดี” ในเวลานี้กู่ฉวี่หังมองไปที่เทพบุตรซือจง กล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา
เทพบุตรซือจงทำท่าลังเลนิดหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “อาจารย์ แม้ว่าวิชาควบคุมสัตว์พรรคซือเสินพวกเราจะเป็นหนึ่งสุดยอดวิชาในหล้า แต่ศิษย์ไม่ได้มุ่งศึกษาวิชานี้เป็นหลัก กับสัตว์ดุวิหคร้ายนั้น เกรงว่าข้าคงยากที่จะควบคุม”
“ทำแค่ให้พอดิบพอดีก็พอ พอดิบพอดีหน่ะ” กู่ฉวี่หังล่าวขึ้นช้าๆ “นี่จะเป็นความสับสนอลหม่านครั้งหนึ่ง สัตว์ดุวิหคร้าจะต้องอาละวาดไปทั่ว ใครบ้างที่สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงกันเล่า เจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่?”
คำชี้แนะของกู่ฉวี่หังพลันทำให้ดวงตาทั้งสองของพวกนายน้อยทะยานฟ้าลุกวาว ฉับพลันนั้นเอง พวกเขาก็ได้บังเกิดแนวความคิดขึ้นในใจ
สถาบันศึกษาเทพเจ้าตกอยู่ท่ามกลางโลกที่ไร้ซึ่งอารยะธรรม กลิ่นอายที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมตลบอบอวลไปทั่ว ทุกคนต่างได้กลิ่นอายของสัตว์ดุร้ายที่น่าเกรงขามและน่ากลัวสายนั้น นาทีนี้ผุ้คนจำนวนมากได้รับรู้ถึงโลกที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมโลกนี้ มีดวงตาแต่ละคู่ที่จ้องมองมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกหวาดกลัวด้วยความหวาดระแวง
ณ เรือนตำรา หลี่ชิเย่ยืนมองโลกที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมอันกว้างใหญ่ไพศาลอยู่ด้านหน้าตำหนักใหญ่ สูดดมกลิ่นอายของสัตว์ที่รุนแรง เขาเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ออกมา เขากระทั่งเหมือนรู้สึกเสพสุขยิ่งกับกลิ่นอายลักษณะเช่นนี้
หลิวจินเซิ่นที่อยู่เป็นเพื่อนข้างกายของหลี่ชิเย่ มองดูหลี่ชิเย่ที่จ้องมองท้องฟ้าแล้ว เข้าไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ยักษ์ของโลกไร้ซึ่งอารยะธรรมจับจ้องสถาบันศึกษาเทพเจ้า หรือว่าเป็นหลี่ชิเย่ที่เป็นฝ่ายจับจ้องโลกแห่งสัตว์ยักษ์นี้เอาไว้ ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อที่แท้จริงเล่า? นาทีนี้แม้แต่ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในระดับนี้แล้วยังบังเกิดเป็นมโนภาพขึ้นมาได้
“สถาบันศึกษาเทพเจ้ารับมือไหวหรือไม่?” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลิวจินเซิ่นถึงกับเอ่ยถามขึ้นมา
“จินเซิ่นหน่ะ เจ้าออกจะดูถูกราชันเซียนเฟยกับราชันเทพจงหนานเสียแล้ว พวกเขาต่างก็เป็นจอมราชันที่อยู่ในระดับสูงสุด ศักยภาพของพวกเขาหาใช่เจ้าสามารถเอื้อมถึงได้อยู่แล้ว หาไม่แล้วพวกเขาคงไม่ริเริ่มให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายขึ้น เจ้าสามารถจินตนาการนิดหนึ่ง ครั้งนั้นราชันเซียนเฟยกับราชันเทพจงหนานร่วมมือกัน ทำการสยบและผนึกโลกดึกดำบรรพ์เอาไว้ใต้สถาบันศึกษาเทพเจ้านั้น หรือว่าพวกเขานึกไม่ถึงว่าจะต้องมีวันนี้อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับยิ้มจางๆ ออกมา
“การคืนถิ่นในวันนี้ มันก็แค่พลังของโลกดึกดำบรรพ์ที่มีการสั่งสมจนมากเกินไป กาลเวลาผ่านมายาวนานเกินไปแล้ว คราวนี้ก็ถือว่าเป็นการปลดปล่อยพลังของโลกดึกดำบรรพ์อย่างหนึ่ง ถ้าหากเพียงแค่จัดการสยบและผนึกเอาโลกดึกดำบรรพ์กลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง และฟื้นคืนสถาบันศึกษาเทพเจ้าดั้งเดิมกลับคืนเท่านั้น สิ่งนี้หาใช่ปัญหาแต่อย่างใด” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “พวกราชันเซียนเฟยได้ทิ้งวิธีเอาไว้แต่แรกแล้ว”