Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2109 แม้ประสบความสำเร็จยังต้องมุมานะต่อไป
- Home
- Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2109 แม้ประสบความสำเร็จยังต้องมุมานะต่อไป
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ผู้คนต้องใจหายใจคว่ำ เป็นความจริงที่หวงหลงและป้าหู่ไม่เคยพบเจอสิบสามลัคนามาก่อน ก่อนที่จะได้พบกับหลี่ชิเย่
กล่าวได้ว่า ทุกคนต่างรู้ว่าสิบสองลัคนาคือที่สุดแล้ว สูงสุดก็แค่สิบสองลัคนาเท่านั้น ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไป และมีเพียงหลี่ชิเย่ที่ทำลายความรู้ทั่วไปนี้ลง!
พริบตาเดียวนั่นเอง ทั้งหวงหลงและป้าหู่บังเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับระดับการฝึกในสิบสามทวีปขึ้นมา เนื่องจากผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด หรือว่าเป็นความจริงว่ายังมีระดับที่เหนือกว่าสิบสองชะตาฟ้าไปแล้วรึ?
“จงจำเอาว่า ชะตาฟ้าสิบสองสายคือธรณีประตูถ้าหากเจ้าไม่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย เจ้าก็จะไม่มีวันได้สัมผัสกับบางสิ่งได้ตลอดไป เมื่อเจ้าได้ครอบครองสิบสองชะตาฟ้าเช่นนั้นแล้ว บางสิ่งก็คุ้มกับเจ้าไปเสาะแสวงหา เฉกเช่นว่าเพราะอะไรราชันเซียนหมิงเหริน ราชันเทพจงหนานพวกเขาจึงต้องไปศึกเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายอย่างนั้น!” จังหวะที่หวงหลงและป้าหู่กำลังเหม่อลอยอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นมาเรียบๆ
“หลังจากชะตาฟ้าสิบสองสายไปแล้วจะต้องมีการฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างไรกันเล่า? เส้นทางสายนี้จะต้องก้าวเดินกันอย่างไรเล่า? เพราะอะไรจึงไม่เคยได้ยินใครเขาพูดกันมาก่อน?” หวงหลงเองก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“สิ่งของบางสิ่งมันดำรงคงอยู่ของมันแต่เดิมอยู่แล้ว เพียงแต่ถูกคนเขาปิดบังซ่อนเร้นเท่านั้นเอง ทำให้ผู้คนบนโลกไม่รู้” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “เหมือนดั่งการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งแรกนั้น พวกเจ้ามีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด?”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ได้สร้างความตะลึงให้กับหวงหลงและป้าหู่ เนื่องจากนับแต่อดีตที่ผ่านมา เคยปรากฏศึกการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายมาแล้วถึงหกครั้ง ครั้งที่สองริเริ่มโดยราชันเซียนหุ้นหยวน ครั้งที่สามริเริ่มโดยราชันเทพจงหนานและราชันเซียนเฟย ครั้งที่สี่ริเริ่มโดยราชันเซียนกู่ฉุน ครั้งที่ห้าริเริ่มโดยราชันเซียนหมิงเหริน และครั้งที่หกมีราชันเซียนฉวี่เจินเป็นผู้ริเริ่ม…
แต่ว่า มีเพียงการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งแรกที่ปราศจากการบันทึกใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งแรกขึ้น และมีใครที่เข้าร่วม เรียกได้ว่าการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งแรกนั้นเป็นปริศนามาโดยตลอด ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับมันแม้เพียงถ้อยคำเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่ประหลาดมากที่สุด
ถ้าหากไม่มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งแรก การเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งที่สองที่มีราชันเซียนหุ้นหยวนเป็นผู้ริเริ่มก็คงไม่ถูกเรียกว่าเป็นครั้งที่สอง ในเมื่อมีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งแรก แล้วเป็นเพราะอะไรจึงไม่มีการจดบันทึกใดๆ ทั้งสิ้นเล่า?
ปริศนาข้อนี้เปี่ยมด้วยความอัศจรรย์ของผู้คนตลอดมา เวลานี้เมื่อคำพูดเช่นนี้ถูกพูดออกมาจากปากของหลี่ชิเย่แล้ว ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เหมือนว่าความจริงนั้นอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก
ในเมื่อมีผู้ริเริ่มให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายขึ้นเป็นครั้งแรก เช่นนั้นแล้วเพราะอะไรจึงต้องปิดบังความจริงเสีย เบื้องหลังความจริงที่ถูกปิดบังมีความลับเช่นใดกันแน่นะ?
เป็นผู้ใดที่ริเริ่มให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้าย แล้วใครเป็นผู้ปิดบังความจริงที่อยู่เบื้องหลัง! ทุกอย่างดูเหมือนปกคลุมอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก
“การมีเซียนบนโลกไม่เห็นจะเป็นเรื่องดี” ขณะที่หวงหลงและป้าหู่กำลังตะลึงกับสิ่งนี้ หลี่ชิเย่ที่เดินอยู่ข้างหน้าได้กล่าวคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่สร้างความหวั่นไหวให้กับหวงหลงและป้าหู่อีกครั้ง ขึ้นชื่อว่าเซียนเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะเป็นที่ใฝ่หาให้ได้มาของผู้คนจำนวนมาก เป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะมีผู้ติดตามค้นหาเป็นจำนวนมาก ผู้คนจำนวนมากต่างมีจินตนาการที่งดงามต่อผู้เป็นเซียน ผู้คนจำนวนมากได้จินตนาไปไกลโพ้นในเรื่องที่เกี่ยวกับเซียน แต่ทว่า คำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่ดำเหมือนจะทำลายความฝันที่งดงามของผู้คนจำนวนมากจนป่นปี้
หลี่ชิเย่ยังคงก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป สุดท้าย ได้เข้าไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในโลกดึกดำบรรพ์ แต่ว่า มันแตกต่างจากพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลด้านนอกที่มีพลังชีวิต ส่วนที่ลึกเข้าไปในโลกดึกดำบรรพ์กลับเป็นพื้นที่ที่มีแต่ความเงียบงัน
“นี่คือ…” ทั้งป้าหู่และหวงหลงต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ เมื่อมองเห็นพื้นดินที่มีแต่ความเงียบงันตรงหน้า
ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าคือโลกที่พ่ายแพ้อย่างยับเยิน ภายใต้โลกสีเทาที่มีไม้แห้งที่พาดขวาง จากด้านหนึ่งไปยังที่ที่ห่างไกลมากๆ อีกด้านหน้า ดูเหมือนเป็นสะพานลอยฟ้าที่เชื่อมไปยังสวรรค์อย่างนั้น ใต้พื้นดินมีต้นไม้เก่าแก่ที่สูงทะลุฟ้า แม้ว่าจะเป็นต้นที่ผุพังไปแล้วก็ยังคงตั้งตรงชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้า ยิ่งกว่านั้น ยังมีต้นไม้ที่เน่าเปื่อยผุพังนอนขวางอยู่บนพื้นดิน เสมือนดั่งเป็นเทือกเขาขนาดยักษ์ที่นอนอยู่บนพื้นดินอย่างนั้น…
“นี่คือต้นมหัศจรรย์ อย่างน้อยที่สุดในยุคของพวกเราสามารถเรียกมันว่าต้นมหัศจรรย์” เวลานี้ หวงหลงได้ฉีกเอาเปลือกต้นไม้แก่ออกมาแล้วดมดู จากนั้นก็ลองเคี้ยวดู สุดท้ายกล่าวด้วยความหวั่นไหวว่า “ต้นไม้แห้งต้นนี้ใกล้เคียงกับต้นมหัศจรรย์จิงจินของโลกในยุคของพวกเรามาก ข้ารู้ว่าสายสำนักราชันเซียนแห่งหนึ่งของเผ่าสวรรค์มีต้นไม้ลักษณะเช่นนี้อยู่ต้นหนึ่ง มีความสูงแค่แปดฟุตเท่านั้นเอง แต่ก็เป็นอะไรที่สุดล้ำค่าอย่างยิ่ง!”
เมื่อหวงหลงเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว รู้สึกสะเทือนหวั่นไหวในใจยิ่งนัก ขณะมองดูกิ่งไม้แก่ที่แห้งยื่นทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่เห็นเป็นเพียงกิ่งไม้แห้งเท่านั้นเอง ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่จะมีขนาดใหญ่ยักษ์เช่นใด ขนาดของมันต้องสามารถปิดบังพื้นดินได้อยู่แล้ว
ในยุคสมัยนี้ ลำพังแค่ต้นมหัศจรรย์จินจิงที่สูงเพียงแปดฟุตเท่านั้นก็เรียกได้ว่าล้ำค่าสุดๆ แล้ว ถ้าหากเป็นต้นมหัศจรรย์จินจิงที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ มันก็คงเป็นของวิเศษที่ประเมินค่าไม่ได้เลยทีเดียว
“ถูกต้อง ล้วนแล้วแต่เป็นต้นไม้ตายที่อยู่ในระดับต้นไม้อัศจรรย์ทั้งสิ้น” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยยิ่งว่า “กล่าวได้ว่า ที่ตรงนี้เคยมีต้นมหัศจรรย์ที่ล้ำค่าที่สุดแห่งยุคขึ้นอยู่ ที่นี่คือแดนสวรรค์ของต้นไม้มหัศจรรย์ ต้นมหัศจรรย์ที่ขึ้นอยู่ที่นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนบนโลกสุดจะจินตนาการได้”
หวงหลงและป้าหู่มองดูโลกที่พ่ายแพ้อย่างยับเยินตรงหน้า พวกเขาต่างไม่รู้ว่าจะบรรยายสภาพจิตใจในขณะนี้ได้อย่างไร แดนสวรรค์ของต้นไม้มหัศจรรย์ที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ มันได้มีต้นไม้มหัศจรรย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ขึ้นอยู่จำนวนเท่าไรกันแน่ ถ้าหากในยุคปัจจุบันมีแดนสวรรค์ลักษณะเช่นนี้จริงหละก็ สามารถทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องคลั่งไคร้กันเล่า
“แดนสวรรค์ของต้นไม้มหัศจรรย์!” ทั้งหวงหลงและป้าหู่สองคนต่างรุ้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ พวกเขาตระหนักถึงอะไรบางอย่างพร้อมกัน และพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พูดเช่นนี้แสดงว่า…”
“ถูกต้อง สิ่งที่พวกเจ้าต้องการค้นหาก็อยู่ที่นี่แหละ” หลี่ชิเย่พยักหน้าและเดินนำทางไป
หวงหลงและป้าหู่ทั้งสองคนได้สติกลับมาจึงรีบตามขึ้นไปให้ทัน ภายในใจของพวกเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง เนื่องจากสิ่งของชิ้นนี้พวกเขาไม่รู้ว่าได้ทุ่มเทกำลังกายใจไปเท่าไรแล้วแต่ก็หาไม่พบ มาวันนี้มีโอกาสที่พวกเขาจะได้สมหวังแล้วในที่สุด แล้วจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นดีใจได้อย่างไรกันเล่า
จากการที่หลี่ชิเย่พาพวกเขาลึกเข้าไปมากขึ้น กิ่งไม้แห้งที่พบเห็นก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น มองเห็นกิ่งไม้แห้งที่โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินแต่ละจุด และแทงทะลุขึ้นไปบนท้องฟ้า กิ่งไม้แห้งแต่ละกิ่งยาวถึงพันลี้ เมื่อกิ่งไม้แห้งแต่ละกิ่งเหล่านี้สลับไขว้กันไปมา มองเห็นบริเวณพื้นดินที่เดินไปคล้ายดั่งเป็นโลกแห่งพุ่มไม้เตี้ยที่มีหนามขนาดยักษ์อย่างนั้น เต็มไปด้วยกิ่งก้านสาขาอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทำให้รู้สึกทุกย่างก้าวเป็นไปด้วยความยากลำบาก
หวงหลงและป้าหู่ต่างรู้สึกเสียใจที่กิ่งก้านสาขาที่แห้งตายสลับไขว้กันไปมาบริเวณพื้นดินที่เหยียบย่ำไปจำนวนนับไม่ถ้วน เนื่องจากกิ่งไม้แห้งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สูญเสียจิตวิญญาณไปแล้ว มิฉะนั้นหละก็ ด้วยความล้ำค่าของต้นมหัศจรรย์เหล่านี้ ต่อให้เป็นกิ่งไม้แห้งก็นับเป็นสุดยอดของล้ำค่าเช่นกัน Aileen-novel
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้พาหวงหลงและป้าหู่มาถึงบริเวณผาขาดแห่งหนึ่ง ผาขาดแห่งนี้เกิดจากการสลับไขว้กันไปมาของกิ่งไม้แห้งจำนวนนับไม่ถ้วน มองไกลๆ เหมือนเป็นรังนกขนาดยักษ์อย่างนั้น เวลานี้พวกเของหลี่ชิเย่ได้ยืนอยู่บริเวณริมขอบของรังนกขนาดยักษ์ จ้องมองไปยังโลกที่อยู่ข้างหน้า
“สิ่งที่พวกเจ้าต้องการอยู่ข้างใต้นี้แหละ มีโชควาสนาหรือไม่ สามารถได้มันมาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับชี้ไปด้านล่าง
เมื่อทอดสายตามองออกไป มองเห็นเพียงด้านหน้ามีแต่หมอกหนาทึกที่ลอยล่อง ข้างหน้าเหมือนเป็นโลกที่ต้องดำดิ่งลงไป ท่ามกลางหมอกหนาทึบเหมือนซ่อนโลกๆ หนึ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลเอาไว้ โลกในลักษณะเช่นนี้เหมือนว่าไม่มีสิ้นสุด
ท่ามกลางความเลือนราง สามารถมองเห็นภายในเมฆหมอกมีกิ่งไม้ที่แตกออกเป็นกิ่งก้านสาขา เหมือนว่าที่นั่นคือโลกแห่งต้นไม้แห้งอย่างนั้น
“มีกลิ่นอายของมันจริงๆ” เวลานี้หวงหลงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ดวงตาทั้งสองพลันเผยประกายแก่นออกมา ท่าทีข่มขวัญผู้คนทันที
“เป็นความจริง ข้าไม่ลืมกลิ่นของมัน!” ป้าหูพลันยืดตัวขึ้นตรงเหมือนเป็นหนุ่มขึ้นมาหลายพันปีอย่างนั้น เปี่ยมด้วยพลังและชีวิตชีวา
“พาพวกเจ้ามาที่นี้แล้วถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาแล้ว ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเองแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยกับหวงหลงและป้าหู่
ทั้งหวงหลงและป้าหู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง โค้งคารวะต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ใต้เท้าคือผู้มีพระคุณต่อพวกเราทั้งสองเผ่า วันหน้าจะต้องตั้งป้ายอมตะให้กับใต้เท้าเพื่อบูชา”
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ จากนั้นหันหลังจากไปทันที
หลังจากที่หลี่ชิเย่หันหลังจากไปแล้ว หวงหลงและป้าหู่สองคนจ้องมองตากันและกัน จากนั้นป้าหู่ได้กล่าวว่า “ตาเฒ่าหลง เจ้าเตรียมพร้อมหรือยัง”
“ค้นหามาพันล้านปีก็รอวันนี้ ไป” หวงหลงที่ปรกติดูเป็นผู้มีความรู้ลุ่มลึกและบุคลิกสง่างาม เวลานี้ดูเปี่ยมด้วยความพาล คำรามเสียงยาว อาศัยกระบวนท่ามังกรดำน้ำ พุ่งตัวลงไปดั่งมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง
“ข้ามาแล้ว…” ป้าหู่ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้ คำรามเสียงยาวเบ่งกัน เผยร่างที่แท้จริงออกมา เสียงดังปังร่างพยัคฆ์ที่ใหญ่โตมโหฬารทำเอาเมฆหมอกแตกกระจาย พุ่งตัวลงไปยังโลกที่อยู่ด้านล่างตามหวงหลงไปติดๆ
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้หันหลังจากไปแล้ว ได้เดินทางไปยังทิศทางอีกด้านหนึ่งของโลกที่พ่ายแพ้ยับเยิน เป็นสถานที่ที่ลึกมากกว่าและห่างไกลกว่า
สุดท้าย หลี่ชิเย่ขึ้นไปบนจักรวาล ไปยังดวงดาวขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง ที่ตรงนี้มีแต่ความว่างเปล่า เป็นเพียงสถานที่ที่เงียบงันเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ หากมาอยู่บนดาวขนาดใหญ่ดวงนี้ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
“เปิด…” หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ทำการศึกษาดาวขนาดใหญ่ดวงนี้แล้ว คำรามเสียงทุ้มต่ำออกมา ทำการสำแดงสัจธรรม แปรเปลี่ยนสรรพสิ่ง สุดท้ายได้ยินเสียงดังเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดซึ่งเป็นเสียงที่หนักอึ้งดังขึ้นมา ดวงดาวขนาดใหญ่ดวงนี้ได้ค่อยๆ ปริแยกออก หลี่ชิเย่จึงได้ก้าวเดินเข้าไปอย่างสะดวกรวดเร็วไปยังส่วนที่ลึกเข้าไปในดวงดาวดวงนี้
นี่คือดาวที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว มีความแกร่งที่ยากจะทำลายได้ อีกทั้งผู้ที่ลงมือปลุกเสกคือผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดแห่งขุค
ลึกเข้าไปภายในดวงดาวดวงนี้มีสระหยกอยู่แห่งหนึ่ง ภายในสระหยกมีน้ำพุไหลจ๊อกๆ ออกมา น้ำพุดังกล่าวแตกต่างจากน้ำพุทั่วไป มันมีสีเขียวอมทอง เหมือนเป็นน้ำหยกข้นๆ เหมือนหยกเลี่ยมทอง น้ำพุลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมพิสดารยิ่งนัก
“เปลี่ยนโลกธาตุ เชิญวิญญาณ สร้างกายเนื้อ” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นเรียบๆ ขณะมองดูน้ำพุที่ไหลจ๊อกๆ ไม่หยุดนิ่งภายในสระหยกนี้
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองออกมา โดยที่ผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองดังกล่าวได้มีการรวมตัวกันของร่างเงานังหนูไร้เดียงสาไว้แล้ว
“ดูท่าในครั้งนั้น พ่อของเจ้าคาดการณ์เอาไว้แต่แรกแล้วว่าเจ้าจะต้องพานพบจุดจบอย่างไรแล้ว ดังนั้น จึงได้ทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้เช่นนี้” หลี่ชิเย่มองดูสระหยกและเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
นังหนูน้อยดูจะนิ่งเงียบกับคำพูดของหลี่ชิเย่ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงได้พูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ปล่อยข้าลงไปในสระหยกก็พอแล้ว”
หลี่ชิเย่หัวเราะและปล่อยผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองลงไปในสระหยก ขณะปล่อยผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองลงไปในระหยกนั้น ปรากฏไอหมอกที่ค่อยๆ กระจายตัวออกมา เหมือนไอหมอกที่ลอยม้วนตัวขึ้นมาเป็นสายๆ เหมือนว่าต้องกาดึงเอาวิญญาณของนังหนูน้อยออกมาจากผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองอย่างนั้น
จากการที่ไอหมอกแต่ละสายที่แช่ลงไปในน้ำสระ ร่างเงาของนังหนูที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองจางลงเรื่อยๆ และมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ
…………