Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2114 ค่ายกลสังหารราชันเซียน
หลี่ชิเย่ได้จากไป เมื่อสถาบันศึกษาเทพเจ้ากลับคืนสู่ทวีปเจียวเหิงโจวอีกครั้ง เนื่องจากเขาต้องการไปพบสหายเก่าสักหน่อย
ในสถานที่แห่งหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่กว้างขวางใหญ่โตและไม่มีใครทราบ มีเรือรบขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่งลำหนึ่งจอดอยู่ตรงนั้น เรือรบที่จอดอยู่ลำนี้เสมือนดั่งเป็นผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ลอยอยู่ตรงนั้น ภาพที่เห็นคือบนเรือมีภูเขาที่ขึ้นลงสลับ แม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาล เหมือนเป็นโลกๆ หนึ่งที่เป็นเอกเทศ
มันคือเรือรบขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นโดยหลี่ชิเย่ พวกของราชันทักษิณเดินทางมาที่แดนสิบก็ด้วยเรือยักษ์ลำนี้แหละ
“คุณชายกลับมาแล้ว…” คนที่อยู่บนเรือรบยักษ์ต่างส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อหลี่ชิเย่กลับมาถึง ผู้คนจำนวนมากวิ่งกรูกันออกมาต้อนรับการกลับมาของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ปลอดภัย แน่นอน นับว่าหลี่ชิเย่วางใจยิ่งขณะที่เรือรบขนาดยักษ์ลำนี้มายังแดนสิบ นอกจากมีหวงหลงและป้าหู่คอยคุ้มกันแล้ว ยังมีพวกเทพมารวัวโลหิตที่เป็นกำลังหลัก
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยังมีราชันเซียนในแดนสิบคอยให้การรับรอง ขอเพียงเรือรบขนาดยักษ์สามารถขึ้นมาถึงแดนสิบได้ ต่อให้มีจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าลอบโจมตีก็ไม่ต้องหวาดกลัวแต่อย่างใด
“คุณชาย…” หลังจากที่ได้พบกับหลี่ชิเย่ ที่ดูตื่นเต้นมากที่สุดจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหลี่ซวงเหยียนและเฉินเป่าเจียวแล้ว พวกนางวิ่งเข้าไปเป็นคนแรก และสวมกอดกับหลี่ชิเย่หลังจากที่จากกันมานาน กล่าวสำหรับในความคิดของพวกนาง ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าหลี่ชิเย่อีกแล้ว
หลี่ชิเย่เองก็สวมกอดกับพวกนางอย่างลึกซึ้ง ยังคงเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยอะไรเช่นนั้น กับการได้พบกันอีกครั้งหลังจากที่จากกันมานาน!
หลี่ชิเย่สวมกอดกับพวกเขาเหล่านั้นเมื่อได้พบกันอีกครั้งหลังแยกจากกัน หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมาเมื่อมองเห็นต้นบรรพบุรุษพันสน และกล่าวว่า “ดูท่าทักษะยุทธของท่านได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแล้ว”
“ต้องขอบคุณคุณชายที่ชี้แนะ ข้าคิดว่าจะฝึกปรืออีกครั้ง ถือโอกาสคราวนี้สร้างดวงตราสัญลักษณ์ขึ้นมาเพื่อเป็นจอมเทพ” ต้นบรรพบุรุษพันสนหัวเราะและเอ่ยขึ้นมา
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ท่านคือปีศาจต้นไม้ ไม่จำเป็นต้องก้าวไปบนเส้นทางสายนี้เสมอไป”
“นั่นสิ ข้าก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องกลายเป็นจอมราชันเซียนหวัง หรือจอมเทพ ข้าเองก็ส่องพบเส้นทางสายหนึ่งแล้ว” หลงจิงเซียนกล่าวด้วยท่าทีที่ทระนงตนยิ่งนัก
หลี่ชิเย่ตบเข้าให้ที่ท้ายทอยของนางทีหนึ่ง หัวเราะเยาะและดุว่า “เจ้ามีสิบสองลัคนาแล้วไม่ไปตามล่าชะตาฟ้า ช่างเป็นการสิ้นเปลืองพรสวรรค์ของเจ้าเสียเหลือเกิน ในอนาคตเจ้ามีโอกาสได้กลายเป็นผู้ที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย”
“เชอะ ใครบอกว่ามีชะตาฟ้าสิบสองสายแล้วก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว ข้าพบเส้นทางสายหนึ่ง กำลังพิจารณาว่าจะร่วมฝึกกับอู๋ซวงหรือไม่ รอให้เคล็ดวิชาธนูสองประสานสำเร็จแล้ว ต้องสังหารจอมราชันเซียนหวังชะตาฟ้าสิบสองสายได้อย่างแน่นอน” เมื่อหลงจิงเซียนกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วเชิดศีรษะขึ้นอย่างทระนง
หลงจิงเซียนมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก แม้ว่าจะอยู่ในที่ที่มีแต่อัจฉริยะบุคคลปรากฎมากมายอย่างสิบสามทวีป นางยังคงมีความได้เปรียบอย่างเด็ดขาด นางซึ่งมีชะตาเซียน หากว่ากันด้วยเรื่องของพรสวรรค์แล้ว นางสามารถบดขยี้ทุกๆ คนไม่ว่าใครก็ตามได้อย่างแน่นอน แม้แต่กับยอดอัจฉริยะบุคคลที่มีเลือดเซียน หลงจิงเซียนยังคงสามารถหยิ่งทระนงได้เหมือนเดิม!
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวที่มีก็คือ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนังหนูผู้นี้ยังไม่แกร่งพอ ถ้าหากนางมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเฉกเช่นเหมยซู่เหยา หมิงเย่เสวี่ยล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถขวางไม่ให้นางได้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายได้!
“อวดอ้างให้น้อยๆ หน่อย พยายามฝึกปรือเข้า ด้วยพรสวรรค์ระดับเช่นนี้หากไม่สามารถฝึกจนถึงระดับชั้นชะตาฟ้าสิบสองสายล่ะก็ คอยดูว่าข้าจะถลกหนังของเจ้าออกมาหรือไม่” หลี่ชิเย่กล่าวเยาะเย้ยและดุด่าพร้อมกับหนึ่งฝ่ามือซัดเข้าให้ที่ศีรษะของนาง
“ฮึ ใครบอกว่าจะต้องสืบทอดชะตาฟ้าสิบสองสายเสมอไป เวลานี้ข้ามีวิธีหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องสืบทอดชะตาฟ้า แต่ก็ฝืนลิขิตสวรรค์ได้อย่างยอดเยี่ยม” หลงจิงเซียนกล่าวขึ้นมาอย่างทระนง
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมากับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลงจิงเซียน เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะดูแคลนในตัวของหลงจิงเซียน ถ้าหากนางเอาจริงเอาจังขึ้นมาล่ะก็ นับว่าน่ากลัวยิ่งโดยแท้จริง ซึ่งสิ่งนี้บ่งบอกถึงนางที่มีพรสวรรค์เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น พรสวรรค์ลักษณะเช่นนี้เกรงว่าคงมีผู้แซงล้ำนางได้ยากนัก!
หลี่ชิเย่หลังจากกลับมายังเรือรบขนาดยักษ์ ได้เห็นพวกของเทพมารวัวโลหิต เฒ่าเซียนของวิหารเทพสงคราม หลี่ชิเย่ถึงกับต้องสังเกตพวกเขาอย่างละเอียดเมื่อได้เห็นพวกเขา และกล่าวว่า “ดูท่าพวกเจ้าเหมือนได้มีการเปลี่ยนโฉมใหม่คล้ายหนุ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ใช่เป็นการล้อเล่น เทียบกับก่อนหน้านั้นแล้ว พวกของเทพมารวัวโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ เหมือนว่าพลังลมปราณจะคึกคักมีชีวิตชีวากว่าเดิม และอายุอ่อนลงกว่าเดิมเล็กน้อย
“พลังแก่นฟ้าดินของโลกใบนี้ ไม่สิ ควรจะบอกว่าพลังขมุกขมัวดูจะดีกว่าเก้าแดนพวกเรามากทีเดียว” เทพมารวัวโลหิตกล่าวว่า “ทำให้ลมปราณของข้าคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งกว่า”
เดิมเทพมารวัวโลหิตก็มีสายเลือดที่หนึ่งไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว หลังจากขึ้นมาที่แดนสิบแล้วจึงได้รับประโยชน์ไม่น้อย เนื่องจากพลังขมุกขมัวนั้นเก้าแดนไม่อาจเทียบเคียงได้เลย
“พันสนยังตั้งใจจะยกเลิกทักษะที่มีอยู่แล้วเริ่มต้นฝึกใหม่ เฮ่อ เกรงว่าพวกเราที่เป็นตาเฒ่าทั้งหลายคงไม่มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ พวกเราต่างอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าสมควรจะทดลองดูหรือไม่” เฒ่าเซียนของวิหารเทพสงครามถึงกับกล่าวด้วยท่าทีจริงจังขึ้นมา
แม้จะกล่าวว่า ต้นบรรพบุรุษพันสนจะสูงวัยมาก แต่ทว่า ด้านพลังลมปราณแล้วต้นบรรพบุรุษพันสนมีความได้เปรียบที่ได้รับเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมที่ดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดนี้หาใช่พวกเทพมารวัวโลหิตและเฒ่าเซียนวิหารเทพสงครามสามารถเทียบเคียงได้
“สัจธรรมเป็นหนึ่งในหล้า ทุกคนย่อมสามารถเลือกเดินบนเส้นทางที่เป็นของตนเอง ทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตน” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้ข้าเองก็ไม่สามารถบังคับฝืนใจพวกเจ้า ท้ายที่สุดแล้วยังคงต้องถามจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเจ้าเอง ถ้าหากไม่แข็งแกร่งพอก็อาจจะธาตุไฟเข้าแทรกได้”
พวกเฒ่าเซียนแห่งวิหารเทพสงครามต่างทำการพิจารณาเรื่องนี้หนักแน่นจริงจัง หลังจากได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว หลังจากมาถึงแดนสิบแล้วได้เปิดโลกทัศน์ที่ใหม่ทั้งหมดให้กับพวกเขา พวกเขาได้ขึ้นไปยืนอยู่จุดสูงสุดตั้งแต่ขณะอยู่เก้าแดน แต่หลังจากมาถึงแดนสิบ พวกเขาจึงพบว่ามีความเป็นอิสระไร้ขอบเขต ยังมีเส้นทางที่ยาวไกลให้พวกเขาได้ก้าวเดินต่อไป
หลี่ชิเย่ได้พบกับผู้ที่ติดตามเขาขึ้นมายังแดนสิบแต่ละคน สุดท้ายเขาจึงได้กล่าวว่า “นังหนูซู่เจินถูกรับตัวไปแล้วน่ะสิ”
ซู่เจินจากพรรคปกฟ้าก็ได้ติดตามหลี่ชิเย่มาถึงแดนสิบเช่นกัน การที่หลี่ชิเย่พาซู่เจินมายังแดนสิบนั้นย่อมมีแนวคิดของเขาอยู่แล้ว
“ถูกต้อง แม่นางซู่เจินถูกราชันเซียนมู่เทียนพาตัวไปแล้ว” ซูหย่งหวงพยักหน้าและเอ่ยขึ้น ไอรีนโนเวล
การเข้าสู่ยุทธภพของซู่เจินมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับราชันเซียนมู่เทียน เดิมราชันเซียนมู่เทียนทิ้งซู่เจินเอาไว้ในเก้าแดนก็ด้วยคาดหวังให้หลี่ชิเย่ได้บ่มฟักนาง เนื่องจากซู่เจินมีความสัมพันธ์ยิ่งกับสายของราชันเซียนฉวี่เจิน
เวลานี้หลี่ชิเย่พาซู่เจินขึ้นมายังแดนสิบ ราชันเซียนมู่เทียนก็เข้าใจถึงการมองไปในอนาคตของหลี่ชิเย่ ดังนั้น เขาจึงจะทำการบ่มฟักซู่เจินด้วยตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นหลี่ชิเย่ได้วางโครงร่างให้กับซู่เจินเอาไว้แล้ว ในอนาคตแค่ให้การชี้แนะก็พอแล้ว
“เอาล่ะ เอาล่ะ อย่าได้พูดมากกันอีกเลย รีบไปดูค่ายกลสังหารราชันเซียนของพวกเรา” ขณะหลี่ชิเย่กำลังพบปะกับแต่ละคนอยู่นั้น หลงจิงเซียนที่มีอารมณ์มุทะลุเริ่มอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงดึงมือของหลี่ชิเย่หันหลังออกวิ่งไปทันที
แม้แต่ซือหม่ายวี่เจี้ยนกับไป๋เจี้ยนเจินที่มีท่าทีเย็นชายังเผยรอยยิ้มออกมา เมื่อเห็นหลงจิงเซียนที่รออวดผลงานของพวกนางต่อหลี่ชิเย่ไม่ไหวอีกต่อไป
“พี่น้องทั้งหลาย รีบตั้งค่ายแล้วให้เจ้าชิเย่เหม็นได้เห็นความไร้เทียมทานของพวกเรา” เวลานี้หลงจิงเซียนร้องเสียงดังออกมาด้วยความลำพอง เรียกหาพวกของหลี่ซวงเหยียน
ณ พื้นที่ที่เป็นที่ราบของเรือรบขนาดยักษ์ พวกของหลี่ซวงเหยียนถูกตามตัวมาพร้อมหน้ากันแล้ว พวกนางกำลังจะตั้งค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก นั่นก็คือค่ายกลสังหารราชันเซียน!
เสียงแว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น พริบตาเดียวนี้เอง ธนูเงินเบ่งบาน เสมือนดั่งเป็นบุปผาเงินดอกหนึ่งที่กำลังเบ่งบาน แต่ก็คล้ายดั่งเป็นดอกไม้ไฟที่ระเบิดขึ้นในยามค่ำคืนอย่างนั้น พริบตาเดียวนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือช่องว่างล้วนแล้วแต่ถูกหลอมรวมเข้าไปในประกายของธนูเงินที่เบ่งบานออกมา ฉับพลันนั้น ค่ายกลหนึ่งเดียวในหล้าได้ปรากฎขึ้นมา
ค่ายกลที่เป็นหนึ่งเดียวพลันหลอมรวมเอาเวลา ช่องว่าง สัจธรรม เคล็ดสลายวิชา วัฏสงสาร…อยู่ในค่ายกลที่มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้า ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่หลอมรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ทุกอย่างกำเนิดเกิดขึ้นเพื่อการเข่นฆ่าสังหารทั้งสิ้น
ภายในค่ายกลปรากฏอักขระยันต์ที่เก่าแก่โบราณลอยล่อง สุดยอดสัจธรรมทอดข้ามไป พลังที่น่ากลัวก้าวข้ามทุกๆ อาณาจักร นี่คืออาณาจักรแห่งการสังหารที่เด็ดขาด ไม่ว่าผู้นั้นจะดำรงอยู่ในฐานะเช่นใดหากเข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ก็ต้องถูกเข่นฆ่าสังหารทิ้งไป
แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น หลี่ซวงเหยียนเข้าร่วมในค่ายกล ทำการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของค่ายกล นางคือโครงร่างรวมถึงรายละเอียดของค่ายกล การเปลี่ยนแปลงของค่ายกลล้วนแล้วแต่มาจากการขับเคลื่อนและการสำแดงจากนาง
หลี่ซวงเหยียนชื่นชอบเรื่องของค่ายกลมาตั้งแต้วัยเยาว์ นางมีความลึกซึ้งในเรื่องของค่ายกลที่ไม่ธรรมดาก่อนที่จะมาติดตามหลี่ชิเย่เสียอีก
ต่อมาภายหลังได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่ จึงทำให้แตกต่างจากก่อนหน้านั้นไปมาก เรียกได้ว่าทักษะลึกซึ้งในเรื่องของค่ายกลมีความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด และก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในด้านค่ายกล
อาจกล่าวได้ว่า เวลานี้หากวางตัวหลี่ซวงเหยียนที่เก้าแดน ในเรื่องทักษะความลึกซึ้งเกี่ยวกับค่ายกลไม่มีใครสามารถแซงล้ำหน้านางได้อีกแล้ว เพียงแต่ขณะอยู่เก้าแดนไม่มีเวทีให้หลี่ซวงเหยียนได้สำแดงเท่านั้น
เวลานี้พวกเขาได้สร้างค่ายกลสังหารราชันเซียนที่สมบูรณ่ขึ้นมาได้แล้ว หลี่ซวงเหยียนได้สำแดงทักษะด้านค่ายกลจนถึงขีดสูงสุด!
ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น เฉินเป่าเจียวกุมดาบยาวอยู่ในมือ พลังลมปราณเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งเสมือนดั่งพายุร้าย ลมปราณและประกายดาบของนางล้วนแล้วแต่หลอมรวมเข้าไปอยู่ในทุกซอกทุกมุมของค่ายกล นางเคลื่อนไหวไปตามหลี่ซวงเหยียน นางดุจดั่งเป็นประตูบานหนึ่ง หากต้องการก้าวข้ามค่ายกลนี้ไปจะต้องผ่านนางให้ได้ก่อน
หลี่ซวงเหยียนทำหน้าที่สำแดงขับเคลื่อนค่ายกล ขณะที่เฉินเป่าเจียวอารักขาค่ายกล ดังนั้น นางจึงเคลื่อนไหวตามหลี่ซวงเหยียน พวกนางทั้งสองเรียกได้ว่าเข้าคู่กันแนบสนิทไร้ร่องรอย กล่าวได้ว่าไม่มีใครรู้ดีไปกว่าการสำแดงและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลมากกว่านางอีกแล้ว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของค่ายกลทุกครั้งเฉินเป่าเจียวต้องเป็นผู้ที่เข้าขากันได้อย่างทันท่วงทีที่สุด
เสียงตูมดังสนั่น เวลานี้กายสุริยันของซูหย่งหวงได้ปะทุขึ้นมา การปะทุของกายสุริยันขั้นสมบูรณ์พลันทำให้ค่ายกลสังหารราชันเซียนเต็มไปด้วยพลังการทำลายล้าง เหมือนว่าค่ายกลสังหารราชันเซียนนี้สามารถหลอมกลั่นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้
เวลานี้สัจธรรมของซูหย่งหวงเรียกได้ว่ามีความน่าเกรงขามที่ไม่ธรรมดาเลย ฐานเต๋าแน่นหนา การยืนเป็นตัวหลักของค่ายกลเสมือนดั่งเป็นแกนกลางที่ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนได้
โดยเฉพาะบนศีรษะของนางห้อยของวิเศษแรกเริ่ม ในมือกำหยกโบราณนั้น ทำให้นางสามารถสำแดงพลังแฝงให้ปะทุออกมาไร้ขีดจำกัด นางเฝ้ารักษาค่ายกลทั้งหมดเอาไว้ ภายใต้การเฝ้ารักษาของนาง ทำให้ค่ายกลสังหารราชันเซียนเหมือนเป็นเนื้อเดียวกันไม่มีช่องโหว่ สามารถบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างจนแหลกละเอียดได้
ย่อมไม่ต้องสงสัย ซูหย่งหวงที่สูงใหญ่ดั่งภูเขาเป็นผู้ที่เหมาะสมจะเป็นคผู้ควบคุมค่ายกลมากที่สุด
ขณะที่หลี่ซวงเหยียนทำการขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงค่ายกล โดยมีเฉินเป่าเจียวคอยอารักขาค่ายกล มีซูหย่งหวงเป็นผู้ควบคุม พลันทำให้ค่ายกลสังหารราชันเซียนมีชีวิตขึ้นมาทันที
เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง สี่สาวนภาบรรพบุรุษโลหิตที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าโลหิตเข้าไปอยู่ในค่ายกล เสมือนหนึ่งกลับกลายเป็นแหล่งทรัพยากรของค่ายกลอย่างนั้น พวกนางมีสายเลือดที่มีเพียงหนึ่งในหล้า พริบตาเดียวนั่นเอง พลังลมปราณของพวกนางได้ถ่ายทอดเข้าไปภายในค่ายกล พลันทำให้กลายเป็นเหมือนดั่งทะเลเลือดที่กว้างใหญ่ไพศาล และทำการป้อนพลังลมปราณให้กับหลี่ซวงเหยียนและทุกๆ คนอย่างไม่ขาดสาย
พริบตาเดียวนี้เอง ค่ายกลสังหารราชันเปี่ยมไปด้วยพลัง มีพลังลมปราณที่ใช้ไม่มีหมด สามารถรบรวดเดียวถึงยุคไร้ซึ่งอารยะธรรม คอยให้การสนับสนุนพลังที่ต่อเนื่องไม่ขาดสายให้กับค่ายกลสังหารราชันเซียนทั้งหมด!