Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2146 หนึ่งวจีประเมินค่าไม่ได้
เผิงเวยจิ่นได้แต่ถอยออกไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างเจ็บแค้น เมื่อเห็นผู้เฒ่าไม่ให้ความสนใจตน แม้ว่าภายในใจจะไม่สบอารมณ์นัก แต่ไม่สามารถอาละวาดได้ จะอย่างไรเสียที่นี่คือห้างเจียวเหิง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
มีหลายคนที่เข้าไปทดลองเพื่อทำให้ผู้เฒ่าซาบซึ้งใจต่อจากเผิงเวยจิ่น แต่ว่ากลับไม่สามารถโน้มน้าวผู้เฒ่าผู้นี้ได้ เขายังคงนั่งอยู่งนั้นและหนังตาที่หย่อนลงเหมือนนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น
“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่มองดูผู้เฒ่าผู้นี้ยิ้มจางๆ ออกมา นำตณะของหวังหานก้าวเดินเข้าไป
“เป็นเจ้านั่นเอง” เผิงเวยจิ่นสามารถจดจำหลี่ชิเย่ได้ทันทีเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่เดินไปข้างหน้า พลันเผยให้เห็นถึงท่าทีที่ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แน่นอน เขาไม่ได้อาละวาดเพียงยิ้มเย้ยหยันออกมา และกล่าวเย็นชาออกมาว่า “อาศัยเจ้าคิดจะทำให้เขาซาบซึ้งใจ อย่าฝันกลางวันไปเลย!”
ความจริงแล้ว จนกระทั่งถึงบัดนี้คงมีเพียงหญิงสาวผู้นั้นเท่านั้นที่ทำให้ผู้เฒ่าผู้นี้ซาบซึ้งได้ คนอื่นๆล้วนแล้วแต่ไม่สามารถทำให้ผู้เฒ่าโน้มน้าวตามตนได้
หลี่ชิเย่ไม่ได้สนใจในตัวของเผิงเวยจิ่น เดินตรงเข้าไปอยู่ตรงหน้าของผู้เฒ่า เนื่องจากคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็ล้มเหลวแล้ว ดังนั้น ต่างจ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีของผู้ที่ดูชมความคึกครื้น จะอย่างไรเสียเวลานี้ไม่มีใครสามารถไปทำให้ผู้เฒ่าซาบซึ้งใจได้อีกแล้ว ดังนัน การที่มีบุคคลอื่นไปทดลองดูบ้างก็ย่อมเป็นการดี ไม่แน่นักอาจสามารถเป็นแนวคิดใหม่ให้กับทุกคน
หลี่ชิเย่ก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่า แต่ไม่รีบร้อนที่จะพูดอะไรออกไป จ้องมองพินิจพิเคราะห์ผู้เฒ่าผู้นี้อย่างละเอียด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หลี่ชิเย่หัวเราะและเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “การได้รู้จักกันก็นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ผู้เฒ่าผู้นี้ได้เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ และจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ เหมือนต้องการพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่ให้ละเอียดเช่นกัน เหมือนว่าเขาต้องการพิจารณาหลี่ชิเย่ต้องแต่หัวจรดเท้าสักรอบหนึ่งอย่างนั้น
ผู้อยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากต่างรู้สึกเหนือความคาดคิด เนื่องจากขณะคนอื่นๆ ไม่ว่าจะพูดอะไรเขาก็จะก้มหน้า หนังตาหย่อนเหมือนหลับไปแล้วอย่างนั้น ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
เวลานี้ ผู้ชมจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ พวกเขาต่างเฝ้ารอฉากต่อไปที่จะเกิดขึ้น
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ในเมื่อเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง สมควรจะให้ของขวัญสักชิ้นเนื่องจากได้พบหน้ากัน ของขวัญมูลค่าต่ำแต่มากด้วยน้ำใจ”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครรึ คิดว่าตัวเองเป็นผู้มีฐานะ และอำนาจสูงสุดอย่างนั้นรึ แค่พบเห็นหน้าก็ต้องมอบของขวัญให้เจ้าชิ้นหนึ่ง…” เมื่อเผิงเวยจิ่นได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว จึงพูดขึ้นอย่างดูเคลน
นี่มันโอ้อวดเกินไปแล้ว พลันที่พบหน้าผู้เฒ่าก็อยากได้ของวิเศษของผู้เฒ่า นี่มันยโสโอหังจนสุดจะเปรียบเปรยจริงๆ
ทุกคนต่างรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เมื่อหลี่ชิเย่ได้พูดออกมาเช่นนี้ พลันพบหน้าก็ต้องการของขวัญแรกพบหน้ากัน ยังพูดยโสออกมาว่า “ของขวัญมูลค่าต่ำแต่มากด้วยน้ำใจ” นี่มันยโสจนไม่รู้ว่าจะเปรียบเปรยได้อย่างไร สิ่งที่วางเรียงอยู่ตรงหน้าคือของวิเศษสามชิ้นเลยเชียวนะ มีชิ้นไหนบ้างที่ล้ำค่าสุดจะเทียบเทียม เมื่อออกจากปากของเจ้าหนูผู้นี้กลับกลายเป็น ‘ของกำนัล’ เล็กน้อยไป คนที่ยโสถึงเพียงนี้พวกเขาเพิ่งจะได้พบเห็นเป็นครั้งแรก
“ได้” แต่แล้ว เผิงเวยจิ่นพูดยังไม่ทันจบคำ ผู้เฒ่าถึงกับออกปากตอบตกลงทันที และกล่าวตามใจออกมาว่า “ท่านเลือกเอาเองตามใจ!”
พลันที่คำๆ นี้ถูกพูดออกมา ทุกคนต่างอ้าปากค้าง ผู้คนจำนวนมากอ้าปากกว้างถึงขนาดสามารถยัดไข่ห่านเข้าไปได้ฟองหนึ่ง พวกเขาต่างจ้องมองภาพเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างเหลือเชื่อ
สำหรับเผิงเวยจิ่นที่พูดยังไม่ทันจบคำต้องหยุดกึกลงกะทันหัน เขาต้องกลืนเอาคำพูดที่ยังไม่ทันออกจากปากลงท้องไปดื้อๆ
“นี่ นี่ นี่มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน…” ทุกคนต่างมีความรู้สึกว่าโลกนี้ช่างบ้าบิ่นเหลือเกิน เพียงพบหน้าก็คือวาสนา จากนั้นยังสามารถขอของวิเศษได้ชิ้นหนึ่งจากผู้เฒ่า นี่มันเท่ากับเก็บของวิเศษชิ้นหนึ่งจากพื้นได้อย่างนั้น ในโลกนี้ถึงกับมีเรื่องที่ง่ายดายได้ถึงเพียงนี้
แม้แต่หวังหาน หยางเซิ่นผิง จูซือจิ้งที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ พวกเขาต่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แม่นางจูซือจิ้งถึงกับอ้าปากค้าง รู้สึกเหมือนเป็นความฝันอย่างนั้น บนโลกนี้ถึงกับมีเรื่องที่เหลือเชื่อถึงเพียงนี้ ซึ่งอยู่เหนือจินตนาการของนางโดยสิ้นเชิง
หลี่ชิเย่เลือกไปตามอารมณ์มาชิ้นหนึ่ง จากนั้นถือโอกาสโยนไปให้กับหยางเซิ่นผิงที่อยู่ข้างๆ กล่าวเรียบเฉยว่า “คอยรับใช้ข้ามานาน มอบของวิเศษให้เจ้าชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน”
หยางเซิ่นผิงพลันตะลึงงันเมื่อของวิเศษที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งถูกโยนเข้ามาอยุ่ในมือกะทันหัน เขาไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง นี่มันเหมือนเป็นความฝันชัดๆ ของวิเศษลักษณะเช่นนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่กล้าแม้แต่คิดชั่วชีวิต มันคือของวิเศษล้ำค่าและยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน เกรงว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของเขาก็คงมีชั้นของผู้เป็นกษัตริย์ ราชินีขึ้นไปจึงมีไว้ในครองครอง
เวลานี้หลี่ชิเย่กลับมอบให้ตนเองอย่างง่ายดาย เรื่องเช่นนี้ดูไม่ค่อยจะเหมือนจริง ดูจะเป็นความฝันมากกว่า แต่กลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ
เมื่อหยางเซิ่นผิงได้สติกลับมาแล้วถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง จึงคุกเข่ากราบกับพื้นทันที และกล่าวว่า “ขอบคุณคุณชายที่ประทานของวิเศษ” กล่าวพลางได้โขกศีรษะกับพื้นเสียงดังสามครั้ง สิ่งนี้กล่าวสำหรับเขาแล้ว มันเป็นของวิเศษที่ล้ำค่ามากชิ้นหนึ่ง โขกศีรษะดังสามครั้งก็ไม่นับเป็นอะไร
หลังจากคารวะหลี่ชิเย่เสร็จสิ้น หยางเซิ่นผิงหันมาคารวะต่อผู้เฒ่าผู้นั้น แน่นอน ผู้เฒ่าไม่ได้มองดูหยางเซิ่นผิงเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาตกอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่เท่านั้น
“นายแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน” ผู้คนจำนวนมากจ้องตาเป็นมัน และทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องอิจฉา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ถึงกับเอาของวิเศษที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้มอบให้กับคนรับใช้ที่อยู่ข้างกาย อีกทั้งยังมีท่าทีที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คล้ายเป็นการมอบสิ่งของที่ธรรมดาจนไม่รู้ว่าธรรมดาแค่ไหนอย่างนั้น
สำหรับเผิงเวยจิ่นนั้นถึงกับมีสีหน้าที่แดงก่ำ ของวิเศษที่เขาอาศัยยาเม็ดอายุวัฒนะถึงสองเม็ดยังแลกเอามาไม่ได้ แต่ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงตรงหน้ากลับมอบให้กับหยางเซิ่นผิงโดยตรง เท่ากับเป็นการตบหน้าของเขาอย่างแรงทีหนึ่ง!
“ยังมีอะไรจะพูดหรือไม่?” เวลานี้ ผู้เฒ่ายังคงจ้องมองอยู่ที่หลี่ชิเย่ และเอ่ยขึ้นช้าๆ
พลันที่ผู้เฒ่าพูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ คนอื่นพูดกับเขาตั้งมากมาย มีทั้งคำที่เยินยอ คำอธิฐาน บอกเล่าเรื่องตนเองที่น่าเวทนา แต่ผู้เฒ่าไม่สนใจสักนิด เวลานี้ ผู้เฒ่าผู้นี้กลับเฝ้ารอคอยคำพูดของหลี่ชิเย่ นี่มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเลยจริงๆ
หลี่ชิเย่ทำท่ายิ้มๆ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าน่ะมีคำพูดจะพูดมากมาย เสียดาย ของวิเศษเหล่านี้ไม่เข้าตาของข้า ดูขี้เหร่ไปนิดหนึ่ง”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกใจหายใจคว่ำ ของวิเศษที่ผู้เฒ่าผู้นี้ล้วงหยิบออกมาล้วนแล้วแต่เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าแล้ว อย่างน้อยที่สุดผู้ครอบครองจะต้องเป็นระดับเจ้าสำนักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้ว ในสายตาของเจ้าหนูผู้นี้กลับมองว่าขี้เหร่
“คำพูดนี้อหังการเหลือเกิน” มีผู้ถึงกับพึมพำออกมา
แต่ทว่าเมื่อทุกคนนึกอย่างละเอียดอีกที เจ้าหนูผู้นี้เมื่อสักครู่ยังเอาของวิเศษที่ได้มามอบให้กับผู้รับใช้ใกล้ชิดไปตามอารมณ์ ฝีมือเช่นนี้เป็นการบ่งบอกว่าเจ้าหนูผู้นี้มีความอหังการพอ และใช้จ่ายฟุ่มเฟือยพอ
“ท่านต้องการอะไร?” ผู้เฒ่าจ้องมองหลี่ชิเย่แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
ทุกคนต่างรู้สึกหนังตากระตุกทีหนึ่งเมื่อคำๆ นี้ถูกพูดออกมา ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจว่าตัวเองฟังผิด มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว เวลานี้เหมือนว่าผู้เฒ่าผู้นี้อยากฟังคำพูดของหลี่ชิเย่มากอย่างนั้น
เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ดึงตัวจูซือจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังตนออกมา ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เจ้าดูนังหนูคนนี้ของข้าสิ ในมือของข้าขาดสิ่งของที่จะมอบให้กับนางบ้างอยู่พอดีเลย เจ้าคิดว่าควรจะมอบอะไรให้กับนางดีนะ?”
จูซือจิ้งไม่เคยเห็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก ทำให้นางพลันรู้สึกใบหน้าที่แดงก่ำ ไม่กล้าจ้องมองผู้คนใดๆ
“เผ่าสาปแช่ง!” ในขณะนี้มีผู้สังเกตเห็นลวดลายจารึกที่อยู่บนลำคอของจูซือจิ้งแล้ว ถึงกับกล่าวด้วยความตระหนก
เผ่าสาปแช่ง…มีผู้ที่ถึงกับตกใจจนต้องก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ เนื่องจากเล่าลือกันว่าเผ่าสาปแช่งไม่เป็นมงคล บางคนไม่กล้ากเข้าใกล้จูซือจิ้ง
จูซือจิ้งถึงกับต้องก้มหน้าหนักเมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนี้ของคนอื่น ภายในใจของนางจะมากหรือน้อยก็มีความน้อยเนื้อต่ำใจกับชาติกำเนิดของตนอยู่ จะอย่างไรเสีย ในโลกนี้ยังคงมีผู้คนจำนวนมากที่มองเผ่าสาปแช่งของพวกเขาเสมือนดั่งเป็นสัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์
ผู้เฒ่ามองดูจูซือจิ้งทีหนึ่ง จากนั้น หยิบเอาของวิเศษออกมาชิ้นหนึ่ง ค่อยๆ วางมันลงกับพื้นและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ชิ้นนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
มันเป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง รูปแบบของสร้อยคอใกล้เคียงกับลวดลายสลักที่อยู่บนลำคอของจูซือจิ้งมาก เหมือนว่าสร้อยคอเส้นนี้ทำขึ้นเพื่อจูซือจิ้งโดยเฉพาะ และหรือเหมือนว่าทำขึ้นมาเพื่อเผ่าสาปแช่งของพวกเขาอย่างนั้น
สร้อยคอเส้นนี้ที่มีลักษณะดังกล่าวไม่รู้ว่าทำขึ้นมาจากโลหะเซียนชนิดใด อีกทั้งบนสร้อยคอเส้นนี้ถูกฝังเลี่ยมด้วยอัญมณีแต่ละเม็ดบนนั้น โดยที่อัญมณีแต่ละเม็ดล้วนแล้วแต่แตกต่างกัน ยิ่งกว่านั้น อัญมณีแต่ละเม็ดเหล่านี้ส่งประกายที่เจิดจ้าละลานตาผู้คนอย่างยิ่ง เหมือนหนึ่งเก็บเอาดวงดาวแต่ละดวงจากฟากฟ้ามาเลี่ยมเข้าไปโดยตรงบนสร้อยคอเส้นนี้
ครั้นสร้อยคอเส้นนี้ได้เปล่งรัศมีเซียนแต่ละสายออกมานั้น เหมือนว่ามีเพียงเทพธิดาบนสวรรค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้สวมสร้อยคอเส้นนี้ ต่อให้คนที่โง่เขลามากกว่านี้ก็รู้ว่าสร้อยคอเส้นนี้เป็นของล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้
“คือสร้อยคอธิดาสวรรค์รึ?” แม้ว่าไม่มีใครสามารถจดจำประวัติความเป็นมา และไม่มีใครเรียกชื่อของของสร้อยคอเส้นนี้ออกมาได้ แต่ทว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นสร้อยคอเส้นนี้ที่วางอยู่บนพื้นก็ดูรู้ว่ามันล้ำค่ายิ่งกว่าของวิเศษอีกสองชิ้นมากมายนัก ดังนั้น เวลานี้จึงทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับน้ำลายไหลยืด
“อืมม ไม่เลวนัก ไหนๆ ก็มอบให้แล้วก็ขออีกชิ้นหนึ่งก็แล้วกัน เรื่องมงคลต้องมาเป็นคู่” หลี่ชิเย่มองดูสร้อยคอเส้นนี้แล้ว พยักหน้าและเอ่ยชื่นชมออกมาคำหนึ่ง
คนอื่นบางทีอาจไม่รู้ว่า สามารถได้รับคำชื่นชมจากหลี่ชิเย่เช่นนี้ ย่อมต้องเป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมากชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาทุกคนถึงกับงงงัน กระทั่งมีผู้ที่บ่นพึมพำว่า “นี่ออกจะโลภมากเกินไปแล้วกระมัง นี นี่มันคือของวิเศษที่ประเมินค่าไม่ได้แล้วนะ ยังต้องการอะไรอีกเล่า?”
เวลานี้ กระทั่งมีผู้ที่แทบอยากจะวิ่งเข้าไปคว้าเอาสร้อยคอเส้นนี้มาให้รู้แล้วรู้รอดไป นี่มันคือของวิเศษที่ประเมินค่าไม่ได้โดยแท้ ถึงกับยังต่อรองกับคนอื่นอีก มันออกจะเหลือเชื่อเลยจริงๆ
ผู้เฒ่าไม่ได้แสดงความโกรธ เขาจ้องหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง จากนั้น ล้วงหยิบเอาของวิเศษออกมาอีกชิ้นหนึ่ง และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “แล้วชิ้นนี้ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?”
ของวิเศษชิ้นที่ผู้เฒ่าหยิบขึ้นมาชิ้นนี้ถึงกับเป็นเสื้อที่เป็นประกายงดงามมาก เมื่อเสื้อที่เป็นประกายงดงามตัวนี้ถูกหยิบขึ้นมา ปรากฏประกายที่งดงามวูบวาบ กลิ่นอายที่เป็นประกายงดงามตลบอบอวล ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนอยู่บนวิมานเซียนอย่างนั้น โดยที่เสื้อที่เป็นประกายงดงามตัวนี้บางเบาอย่างยิ่ง บางจนเหมือนถักทอขึ้นมาจากเมฆหมอกของแสงตะวันยามสายัณห์ที่เหมือนจริงมาก ด้วยเสื้อที่เป็นประกายงดงามที่บางเบาเช่นนี้สวมบนตัวแล้ว มันคล้ายดั่งได้สวมบนตัวของเทพธิดาอย่างนั้น ทำให้ผู้ที่สวมใส่เหมือนลอยล่องได้ดั่งเซียน และบรรลุมรรคผลกลายเป็นเซียนได้ ณ บัดนี้
“ของวิเศษเช่นนี้ ให้มาเพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอแล้ว” มีผู้ที่ถึงกับอดกลืนน้ำลายลงคออย่างแรงไม่ได้ และพึมพำออกมาเมื่อได้เห็นเสื้อที่มีประกายงดงามเช่นนี้แล้ว
………………………………………