Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2148 เรือนอัญมณี
หลังจากที่หลี่ชิเย่ไปจากผู้เฒ่าลึกลับผู้นั้นแล้ว ได้เดินเล่นอยู่ในห้างเจียวเหิงต่อไป เขาเดินไปชมไปเรื่อยๆ แม้จะกล่าวว่าห้างเจียวเหิงนั้นห้างร้านและห้างเพชรพลอยมีเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน อัญมณีมีจำนวนมากจนยากจะจินตนาการ แต่ว่า ของวิเศษที่เข้าตาของเขาได้นั้นมีหร็อมแหร็มเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้เดินไปถึงเรือนโบราณหลังหนึ่ง เรือนโบราณหลังนี้มีชื่อว่าเรือนอัญมณี มันคือสถานที่ที่สามารถหาซื้อของที่ล้ำค่ามากที่สุดภายในห้างเจียวเหิง กล่าวได้ว่า ของวิเศษที่มีอยู่ในนั้นไม่ทันใดก็ว่ากันที่หลักสิบล้าน และเป็นราคาที่สูงลิบลิ่ว แต่ว่าของวิเศษที่อยู่ในเรือนอัญมณีนับเป็นของชั้นเลิศโดยแท้ กระทั่งมีบางอย่างเป็นของที่มีอยู่ในแดนลัทธิเซียนเท่านั้น
ส่วนหญิงสาวที่ไม่เคยเข้าสังคมมาก่อนเช่นจูซือจิ้งนั้น ถูกทำให้หวั่นไหวกับอัญมณีแต่ละชิ้นที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่ก้าวเดินเข้าไปในเรือนอัญมณี อัญมณีแต่ละชิ้นที่อยู่ตรงหน้าไม่ว่าชิ้นไหนนางก็ไม่สามารถซื้อได้ทั้งสิ้น เป็นอัญมณีที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิด
แม้แต่หยางเซิ่นผิงเอง ปรกติแล้วเขาเองก็ไม่กล้าเหยียบเข้าไปในเรือนอัญมณี แม้ว่าใครๆ ก็สามารถเข้าไปยังเรือนอัญมณีได้ แต่ว่าอัญมณีที่อยู่ในเรือนอัญมณีไม่ว่าชิ้นไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถซื้อเอาไว้ได้
ผู้ที่สามารถซื้อสิ่งของในเรือนอัญมณีได้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นระดับเจ้าสำนัก หรือเจ้าถิ่น เฉกเช่นหวังหานที่อยู่ในฐานะราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังพอจะซื้อได้ แต่ว่า ของวิเศษบางอย่างที่ราคาสูงลิบลิ่วนั้น หวังหานก็ไม่สามารถซื้อได้เช่นกัน
หวังหานที่ติดตามหลี่ชิเย่เข้าไปในเรือนอัญมณี ถึงกับรู้สึกทอดถอนใจภายในใจ ธาตุแท้ภายในของห้างเจียวเหิงนับว่าลึกล้ำยากจะหยั่งถึงจริงๆ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าธาตุแท้ภายในของห้างเจียวเหิงลึกเท่าไร
แค่พูดถึงเรือนอัญมณีที่อยู่ตรงหน้าก็พอ ของล้ำค่าที่อยู่ภายในนั้นไม่ด้อยไปกว่าจวนหวังของพวกเขาเลย ของวิเศษบางชิ้นกระทั่งจวนหวังของพวกเขาก็ไม่มี
สมควรทราบว่า คลังสมบัติของจวนหวังนั้นไม่ได้เป็นของของนางเพียงคนเดียว มันเป็นของจวนหวังทั้งมวล
แม้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็มีคลังสมบัติที่เป็นเอกเทศ แต่คลังสมบัติของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยิ่งหาใช่นางคนเดียวที่สามารถตัดสินใจได้ ของวิเศษที่อยู่ในคลังสมบัติของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากสำหรับการพระราชทานหรือเปลี่ยนเจ้าของ
เป็นความจริงที่ของวิเศษที่อยู่ภายในเรือนอัญมณีมีจำนวนมาก มีสัจอาวุธที่มีเพียงหนึ่งเดียวไม่มีสอง และมีอาวุธนอกลัทธิเต๋าที่มหัศจรรย์ ยิ่งกว่านั้น ยังมีสัตว์ปีกและสัตว์บกที่พบเห็นได้ยาก
จังหวะที่ก้าวเข้าไปยังเรือนอัญมณีนั้น จะมองเห็นเป็นตู้คริสตัลขนาดยักษ์ตู้หนึ่ง ภายในตู้คริสตัลถึงกับมีมังกรทองที่ยังเล็กอยู่แหวกว่ายไปมาอยู่ในนั้น มังกรทองตัวนี้มีห้าเล็บ มีสีทองบริสุทธิ์ทั้งตัว แต่ก็แฝงด้วยสีของแดงเพลิง แม้ว่าตัวมันยังเล็กมาก แต่ก็เปี่ยมด้วยอำนาจและกำลังยิ่งนัก ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายมังกรที่น่ากลัวสายหนึ่ง
“นี่เป็นมังกรทองที่แท้จริงรึ?” แม้แต่หวังหานก็ยังหวั่นไหวกับสิ่งนี้ เมื่อมองเห็นมังกรทองตัวเล็กที่ว่ายไปมาอยู่ภายในตู้คริสตัล ต่อให้นางที่มีฐานะเช่นนนี้ก็ไม่เคยได้พบเห็นมังกรทองที่แท้จริงมาก่อน
“มังกรทองแดงเพลิง นับเป็นสายแยกของมังกรทอง” ในขณะที่พนักงานขายของเรือนอัญมณียังไม่ทันได้ตอบคำถาม หลี่ชิเย่ได้พูดท่าทีเฉยเมยขึ้นมาว่า “ถ้าหากเป็นมังกรทองแท้จริงล่ะก็ มันคงไม่ต้องเลี้ยงเอาไว้ในน้ำลักษณะเช่นนี้ นี่นับเป็นทายาทของมังกรทอง แต่ว่าความล้ำค่าของมันห่างชั้นจากมังกรทองมาก แต่หากมันโตเต็มวัยแล้ว เลือดมังกรบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว มีอัตราส่วนที่จะกลายเป็นมังกรทองได้ระดับหนึ่ง”
“สหายสายตาแหลมคม” แม้แต่พนักงานขายของเรือนอัญมณียังรู้สึกตกใจระคนแปลกใจเมื่อได้ฟังคำพูดที่เอ้อระเหยเช่นนี้ เนื่องจากมังกรทองแดงเพลิงชนิดนี้พบเห็นได้น้อยมาก พลันที่ผู้คนจำนวนมากมองเห็นก็จะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมังกรทอง แต่ว่า หลี่ชิเย่แค่มองดูแวบหนึ่งก็สามารถพูดเจื้อยแจ้วเหมือนดั่งเป็นของล้ำค่าที่อยู่ในบ้านของตน นับว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
ท่าทางของหลี่ชิเย่แลดูธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่นึกเลยว่าถึงกับมีความรู้ที่กว้างขวางเช่นนี้ อยู่เหนือความคาดคิดของพนักงานขายเรือนอัญมณีไปมากทีเดียว นี่แหละที่เรียกว่าประเมินคนที่หน้าตาไม่ได้ น้ำทะเลไม่อาจตวงวัดได้!
ปฏิกิริยาของหลี่ชิเย่เรียบเฉย เพียงมองดูของล้ำค่าแต่ละชิ้นที่อยู่ภายในเรือนอัญมณี ค่อยๆ ชื่นชมไปช้าๆ ดูจากของล้ำค่าที่เรือนอัญมณีได้รวบรวมเก็บเอาไว้แล้ว นับว่ากำลังของห้างเจียวเหิงนั้นมีความมั่นคงมากอย่างแท้จริง เป็นห้างร้านที่สามารถก้าวข้ามลัทธิเซียน ลัทธิราชัน และลัทธิพรรษได้ การที่สามารถสร้างจนมีขนาดของธุรกิจได้ถึงเพียงนี้ เบื้องหลังมีพลังที่น่ากลัวเช่นใดกันแน่
ไม่ว่าจะเป็นห้างร้านใดๆ ก็ตาม คิดจะทำธุรกิจของตนให้ยิ่งใหญ่ เข้มแข็ง การค้าเจริญรุ่งเรือง แน่นอนที่สุดเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เบื้องหลังจะต้องมีพลังที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ในโลกของผู้บำเพ็ญตน ถ้าหากไม่มีกำลังที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง คิดจะทำการค้าใหญ่โตมันคือการฝันเฟื่องของคนปัญญาอ่อนชัดๆ ถ้าหากไม่มีกำลังที่กล้าแข็งคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ต่อให้มีของล้ำค่าในครอบครองมากกว่านี้ มีแหล่งทรัพยากรมากกว่านี้ มันก็แค่เหนื่อยเปล่าเท่านั้นเอง มีโอกาสถูกใครเขาปล้นเอาไปจนไม่เหลืออะไรเลยได้ทุกเวลา
คณะของหวังหานติดตามหลี่ชิเย่ชื่นชมของล้ำค่าแต่ละชิ้นที่มีอยู่ในเรือนอัญมณี หวังหานและหยางเซิ่นผิงล้วนแล้วแต่นับว่าเป็นผู้มีประสบการณ์ จะมากหรือน้อยก็ยังพอจะดูรู้ถึงประวัติความเป็นมาของของล้ำค่าแต่ละชิ้นที่อยู่ในเรือนอัญมณีได้บ้าง ส่วนจูซือจิ้งนั้นประสบการณ์ของนางมีน้อยมาก ทำได้แค่ดูชมไปตามเรื่องเท่านั้น ของล้ำค่าจำนวนมากนางเองก็ดูไม่รู้ว่ามันมีชื่อว่าอะไร
“นี่มันกระบี่เหล็กของเทพแท้จริงส่านหวินมิใช่รึ? เป็นศาสตราวุธอัตตาที่ล้ำค่าของเขานะเนี่ย” ระหว่างที่กำลังชื่นชมกับของล้ำค่าแต่ละชิ้นภายในเรือนอัญมณีอยู่นั้น หยางเซิ่นผิงสามารถจดจำกระบี่วิเศษเล่มหนึ่งได้ ถึงกับกล่าวด้วยความตระหนกว่า “กระบี่เหล็กส่านหวินทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“เป็นของล้ำค่าประจำตระกูลของตระกูลขุนนางโบราณส่านหวิน” หวังหานเองก็รู้สึกเหนือความคาดคิดเมื่อได้เห็น เนื่องจากตระกูลขุนนางโบราณส่านหวินก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสายแยกขนาดใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเช่นกัน ตระกูลของพวกเขาเคยเป็นเสาหลักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาก่อน
“เหล่าสหายทั้งหลายกล่าวได้ถูกต้อง นี่คือกระบี่เหล็กส่านหวินจริงๆ ของล้ำค่าประจำตระกูลของตระกูลขุนนางโบราณส่านหวิน กระบี่เหล็กเล่มนี้ผ่านกระบวนการหลอมกลั่นและทดสอบอย่างโชกโชนจนเป็นโลหะบริสุทธิ์ สุดท้ายกลั่นบูชาเป็นกระบี่อัตตา” พนักงานขายของเรือนอัญมณีกล่าวว่า “เจ้าบ้านตระกูลขุนนางโบราณส่านหวินนำกระบี่เล่มนี้มาขายฝากที่ตรงนี้ ไม่ทราบว่าสหายทั้งหลายสนใจหรือไม่?”
ศาสตราวุธอัตตาสร้างโดยอาศัยทองขาวหลอมกลั่นให้เป็นโลหะบริสุทธิ์ กลั่นบูชาด้วยอัตตา ได้รับการยกย่องว่าเป็นศาสตราวุธอัตตา ซึ่งศาสตราวุธอัตตาเป็นอาวุธที่เหมาะกับพลังอัตตามากที่สุด มันสามารถสำแดงอานุภาพของพลังจนถึงขีดสูงสุด!
ของล้ำค่านอกเหนือจากศาสตราวุธอัตตาแล้ว จะถูกผู้คนบนโลกเรียกว่าอาวุธอัศจรรย์นอกลัทธิเต๋า
หวังหานได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ เท่านั้นเอง เมื่อได้ฟังคำจากพนักงานขายของเรือนอัญมณีแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ผ่านช่วงเวลาที่เจริญรุ่งเรื่องและตกต่ำมาล้านล้านปี คงเจริญและตกต่ำของสำนักของตระกูลขุนนางโบราณภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนับเป็นเรื่องปรกติเหลือเกิน สำนักของตระกูลขุนนางโบราณมากมายเท่าไรที่เคยเป็นเสาหลักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กระทั่งเคยปกครองกุมอำนาจทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเสื่อมลง กระทั่งสูญสิ้นไป
สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การแสดงความยินดีก็คือ แม้ว่าสำนักของตระกูลขุนนางโบราณจำนวนเท่าไรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่มีการเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอย กระทั่งสูญสิ้นล้มหายตายจากไป แต่อย่างน้อยที่สุดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงอยู่ ขอเพียงแหล่งกำเนิดสัจธรรมที่ผู้เฒ่ากำแห่งได้ทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ครั้งครานั้นยังคงอยู่ไม่ได้เหือดแห้งไป เมื่อเป็นเช่นนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็จะยังคงยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ เพียงแต่อยู่ที่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยเท่านั้นเอง
ด้วยเหตุนี้เอง ราชันแท้จริงจำนวนเท่าไรที่แสวงหาการเปิดแหล่งต้นกำเนิดสัจธรรมตลอดชีวิต มีเพียงเจ้าได้กลายเป็นปฐมบรรพบุรุษแล้ว เมื่อนั้นร่องรอยของเจ้า และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของเจ้าจึงสามารถสืบทอดต่อเนื่องไปได้เรื่อยๆ มิฉะนั้นล่ะก็ ต่อให้เจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงใด มีความปราดเปรื่องน่าทึ่ง มีพรสวรรค์เช่นใด ถ้าหากไม่สามารถเปิดแหล่งต้นกำเนิดสัจธรรมกลายเป็นปฐมบรรพบุรุษได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็จะต้องจมหายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาเข้าสักวัน
เฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองก็เคยให้กำเนิดราชันแท้จริงแต่ละองค์มา แต่ทว่า ผู้ที่สามารถทำให้ชนรุ่นหลังจดจำได้นั้นกลับมีหร็อมแหร็มไม่กี่คนเท่านั้น ท่ามกลางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเช่นนี้ บางทีผู้คนจำนวนมากแม้แต่ราชันแท้จริงองค์หนึ่งองค์ใดที่เป็นบรรพบุรุษของตนเป็นใครก็จำไม่ได้ แต่ทุกคนจะจำได้ว่า ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็คือผู้เฒ่ากำแหงนั่นเอง!
หยางเซิ่นผิงเองก็ต้องทอดถอนใจเบาๆ ออกมาเช่นกันขณะมองดูกระบี่เหล็กส่านหวินเล่มนี้ และรู้สึกสลดในใจ มีท่าทีรู้สึกเหมือนเห็นใจผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันอย่างนั้น
ลองนึกภาพดู ตระกูลขุนนางโบราณแห่งหนึ่ง หรือสำนักแห่งหนึ่ง กระทั่งของล้ำค่าประจำตระกูลก็ยังเอามาขาย มันคือถึงขั้นยากจนข้นแค้นเพียงใดแล้ว
เหมือนดั่งสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาก็เคยเป็นเสาหลักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาก่อน เคยสร้างผลงานไม่น้อยให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมา แต่ท้ายที่สุดแล้วยังคงต้องตกต่ำลงเรื่อยๆ ไม่สามารถกอบกู้สถานการณ์ที่เสื่อมโทรมได้ ขณะที่สำนักกระบี่ยักษ์พวกเขาตกต่ำก็เคยนำเอาของล้ำค่าจำนวนไม่น้อยของสำนักไปจำนำเพื่อแลกเป็นเงินสด โดยคาดหวังว่าจะผงาดขึ้นมาได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วยังคงทำได้ไม่สำเร็จ
ในขณะที่หวังหานและหยางเซิ่นผิงต่างรู้สึกทอดถอนใจไปกับเรื่องนี้อยู่นั้น สายตาของหลี่ชิเย่กลับตกไปอยู่ที่ก้อนหินก้อนหนึ่ง ดูไปแล้วก้อนหินก้อนนี้เหมือนเป็นก้อนอิฐเก่าแก่มากกว่า เหมือนถูกรื้อออกมาจากอารามเก่าแก่สักแห่ง แต่ว่ามันก็ไม่เหมือนเป็นการแกะสลักขึ้นมาภายหลัง เหมือนว่ามันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่กำเนิด
หลี่ชิเย่ถึงกับหรี่ตาลงสองข้างเมื่อได้เห็นก้อนหินก้อนนี้แล้ว และจ้องมองหินก้อนนี้ไม่กะพริบตา เอ่ยถามขึ้นมาว่า “ก้อนหินก้อนนี้พวกเจ้าไปเอามาจากที่ไหนกัน?”
“รายละเอียดเรื่องนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน เป็นของที่ตระกูลโบราณนำมาจำนำขายให้ พวกเขาบอกว่าหินก้อนนี้มาจากแดนลัทธิเซียน โดยบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นผู้ครอบครอง ในนั้นได้ซ่อนความลับที่สะเทือนฟ้าเอาไว้ เพียงแต่พวกเขาไม่สามารถไขปริศนาได้เท่านั้น หินก้อนนี้ผ่านการตรวจสอบจากห้างเจียวเหิงพวกเราแล้ว มันมาจากแดนลัทธิเซียนจริงๆ แต่ทว่า มันได้ซ่อนความลับที่สะเทือนฟ้าไว้จริงหรือไม่ พวกเราไม่กล้ารับประกัน ดังนั้น หินก้อนนี้ได้แต่ถือว่าเป็นการขายฝาก ไม่นับเป็นสินค้าของพวกเรา” พนักงานขายเรือนอัญมณีกล่าว
ทั้งหวังหานและหยางเซิ่นผิงถึงกับรู้สึกหวั่นไหวในใจ ของที่สืบทอดมาจากแดนลัทธิเซียน เกรงว่าอาจมีความเป็นไปได้ว่าคือของวิเศษระดับเซียนที่ยอดเยี่ยมมากชิ้นหนึ่ง
พวกหวังหานและหยางเซิ่นผิงต่างรู้จักแดนลัทธิเซียน และเคยได้ยินคำเล่าลือต่างๆ นานาเกี่ยวกับแดนลัทธิเซียน เสียดาย พวกเขาต่างไม่เคยได้ไปแดนลัทธิเซียน อย่าว่าแต่แดนลัทธิเซียนเลย แม้แต่แดนลัทธิราชันพวกเขาก็ไม่เคยไปมาก่อน
ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังไม่ตกต่ำลง เช่นนั้นแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขาก็คือหนึ่งในสมาชิกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของแดนลัทธิเซียนเช่นกัน เสียดาย ได้แต่บอกว่าถ้าหากเท่านั้นเอง
เวลานี้พวกของหวังหานถึงกับจ้องมองไปที่ก้อนหินก้อนนั้นที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะมองดูอย่างละเอียดเช่นใด ก็ดูไม่รู้ว่าก้อนหินลักษณะเช่นนี้จะซ่อนความลับอะไรไว้ภายใน
แต่ว่า ภายในเรือนอัญมณีมีอัญมณีอยู่มากมาย หลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจ อย่างไรก็ตาม หินก้อนนี้ที่ดูไม่สะดุดตาเอาเสียเลย กลับดึงดูดความสนใจหลี่ชิเย่ได้มากมาย เป็นการบ่งบอกว่าก้อนหินก้อนนี้ที่ดูธรรมดามากต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หลี่ชิเย่จ้องมองดูก้อนหินก้อนนี้อยู่ครู่ใหญ่ ภายในใจถึงกับกระตุกทีหนึ่ง พริบตาเดียวนั้นเองเขาได้เกิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนักอะไรบางอย่างภายในใจ กล่าวสำหรับผู้ที่มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นเขานั้น ยากจะเกิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนักเช่นนี้ได้ จะอย่างไรเสียมีสิ่งของไม่มากนักที่สามารถสะกิดใจเขาได้ ถ้าหากจะมีสิ่งใดสามารถสะกิดใจเขาได้ ย่อมต้องเป็นของที่สะเทือนฟ้าอย่างแน่นอน บางทีอาจเป็นสิ่งที่มีวาสนากับเขา
“หยิบออกมาให้ดูหน่อย” หลี่ชิเย่สั่งการของพนักงานขายของเรือนอัญมณี
พนักงานขายของเรือนอัญมณีก็ไม่ได้ดูแคลนหลี่ชิเย่ เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว จึงหยิบเอาก้อนหินก้อนนี้ออกมาจากตู้
“ก้อนหินก้อนนี้ข้าขอซื้อ ราคาเท่าไร ข้าซื้อเลย” จังหวะที่พนักงานขายของเรือนอัญมณีกำลังจะส่งมอบหินก้อนนั้นให้กับหลี่ชิเย่นั้น เสียงๆ หนึ่งได้ดังเข้ามาทำให้ต้องหยุดชะงัก
……………………………….