Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2151 เทพแท้จริงเทียนเต๋อ
หลายวันต่อมา หลี่ชิเย่ไม่เคยก้าวออกจากห้องเลย เขาต้องการย่อยความทรงจำที่อมตะตระกูลเซียวแห่งถ้ำเซียนมารทิ้งไว้ให้ ซึ่งในความทรงจำของเขาได้เกี่ยวพันถึงความลับไม่น้อยเลยทีเดียว แน่นอน ความลับเหล่านี้บุคคลภายนอกยากจะเข้าใจได้ มีเพียงผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นหลี่ชิเย่จึงสามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดารที่ซ่อนอยู่ด้านหลังได้อย่างแท้จริง
จะอย่างไรเสีย สิ่งนี้ไม่เพียงเพราะหลี่ชิเย่ได้ผ่านประสบการณ์มานับไม่ถ้วน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในโลกนี้ยังจะมีใครที่สามารถเข้าใจในตัวของหลี่ชิเย่มากไปกว่าหลี่ชิเย่กันเล่า?
หลี่ชิเย่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเตียง เข้าฌานโดยอยู่ในลักษณะที่จิตมองไม่เห็นสิ่งใดเลย ร่างกายของเขาเสมือนหนึ่งเป็นรูปแกะสลักอย่างนั้น ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนว่านาทีนี้เขาได้ก้าวข้ามยุคดึกดำบรรพ์แล้วอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว พลันหลี่ชิเย่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาทันที เหมือนว่าเขาถูกอะไรบางอย่างรบกวนจนตกใจตื่น ลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินออกประตูไป
“คุณชาย…” จูซือจิ้งรู้สึกดีใจเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่ก้าวออกมาอย่างกะทันหัน จึงร้องทักทันที
หลายวันที่ผ่านมาหลี่ชิเย่ไม่เคยก้าวออกจากห้องเลย ทำให้จูซือจิ้งกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ เวลานี้ได้เห็นหลี่ชิเย่ปลอดภัย นางจึงค่อยวางใจลง
หลี่ชิเย่ไม่ได้กล่าวมากความ สั่งการกับหยางเซิ่นผิงโดยตรงว่า “เตรียมรถ ออกนอกวัง!”
หยางเซิ่นผิงไม่พูดพล่ามทำเพลงไปตระเตรียมรถม้าทันที หยางเซิ่นผิงก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่จะไปทำอะไร แต่ว่า เขาไม่กล้าถามให้มากความ ตระเตรียมรถม้าพร้อมใช้ภายในระยะเวลาสั้นที่สุด และเขาเป็นสารถีให้กับหลี่ชิเย่ด้วยตนเอง
หลี่ชิเย่เป็นคนพูดน้อย ปล่อยให้หยางเซิ่นผิงบังคับรถม้าวิ่งออกไปจากวัง และวิ่งฮ้อไปตลอดทางตามทางที่หลี่ชิเย่ได้บอกเอาไว้ สุดท้ายได้ไปหยุดอยู่ ณ ภูเขาลูกหนึ่งทางด้านตะวันตกของลานหลวง
มันเป็นภูเขาที่เขียวชอุ่มลูกหนึ่ง มีต้นไม้โบราณจำนวนไม่น้อยขึ้นงอกงามอยู่บนภูเขาลูกนี้ แต่ว่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุอันใด ต้นไม้ที่ขึ้นงอกงามอยู่บนภูเขาลูกนี้ล้วนแล้วแต่มีใบไม้ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ บริเวณส่วนปลายของใบไม้ล้วนแล้วแต่มีสีแดงอ่อนๆ เมื่อเป็นดังนี้ ทำให้ภูเขาทั้งลูกเสมือนดั่งถูกคลุมไว้ด้วยแสงสีแดงที่งดงามอย่างนั้น
โดยเฉพาะยามที่มีลมพัดมาแผ่วเบา ใบไม้ทั่วทั้งภูเขาก็จะโอนเอนไปทั่ว มองจากระยะห่างไกลแล้วเหมือนคลื่นโลหิตเป็นลูกๆ ขึ้นลงสลับเป็นชั้นๆ
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ก้าวลงมาจากรถม้าแล้ว จ้องมองไปที่ภูเขาลูกนั้นที่อยู่ตรงหน้า เหมือนว่าสามารถมองทะลุผ่านภูเขาลูกนี้ไปได้อย่างนั้น
หลังจากที่มาถึงแล้ว หยางเซิ่นผิงก็รู้สึกเหนือความคาดคิดไม่น้อยขณะมองดูภูเขาลูกนี้ และรุ้สึกตกใจอยู่บ้าง พึมพำออกมาว่า “ถึงกับเป็นที่นี่นั่นเอง”
จูซือจิ้งที่ติดตามมาด้วยมองดูภูเขาลูกนี้แล้ว นางมีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “ภู ภูเขาลูกนี้แปลกประหลาดมาก เหมือนมีคนกำลังคำรามด้วยความโกรธอย่างนั้น”
“เสียงคนคำรามด้วยความโกรธมาจากไหนกัน” หยางเซิ่นผิงหัวเราะและส่ายหน้า และกล่าวว่า “เจ้าคงไปได้ยินเสียงของใบไม้น่ะสิ ใบไม้ของภูเขาลูกนี้ไม่ค่อยจะเหมือนที่อื่น ยามที่มันโอนเอนไปตามลมนั้น มองดูเหมือนเป็นคลื่นโลหิต ดังนั้น ที่เจ้าได้ยินนั้นอาจเป็นเสียงใบไม้ แล้วเกิดความรู้สึกหลอนคิดว่าเป็นเสียงคำรามด้วยความโกรธ”
“ก็เป็นไปได้” เมื่อจูซือจิ้งได้ฟังคำจากหยางเซิ่นผิงแล้วเอียงคอครุ่นคิดนิดหนึ่งและเอ่ยขึ้น
“ไม่” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ที่กำลังยืนอยู่ข้างหน้าและจ้องมองไปยังภูเขาลูกนั้น ได้กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า “เป็นนางได้ยินเสียงที่เจ้าไม่สามารถได้ยินได้ สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าซือจิ้งแข็งแกร่งกว่าเจ้า แต่เป็นเพราะชาติกำเนิดของนางเป็นเผ่าสาปแช่ง นางจึงมีพรสวรรค์ที่พวกเจ้าไม่มี มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ ที่ทำให้เผ่าสาปแช่งถูกมองว่าอัปมงคล ความจริงแล้วสิ่งที่นางพูดมานั้นเป็นความจริง!”
“มีเสียงคำรามด้วยความโกรธจริงรึ?” หยางเซิ่นผิงถึงกับตื่นตระหนกยิ่งนักเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เขาไม่เพียงแต่ตกใจกับเสียงคำรามด้วยความโกรธ ขณะเดียวกันก็ตกใจกับการมีพรสวรรค์เช่นนี้ของเผ่าสาปแช่ง
สิ่งที่หยางเซิ่นผิงรับรู้มาเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเผ่าสาปแช่งถูกคนเขามองว่าอัปมงคล เนื่องจากมีการเล่าลือกันว่า ที่ใดก็ตามหากเผ่าสาปแช่งปรากฏก็จะนำพาเรื่องไม่ดีมาด้วย ดังนั้น จึงทำให้ถูกผู้คนมองว่าเป็นอัปมงคล เวลานี้เมื่อได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้ว ดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องกัน
จูซือจิ้งเองก็ตกตะลึงนิดหนึ่ง นางเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองถึงกับมีพรสวรรค์เช่นนี้ จะอย่างไรเสียคนของเผ่าสาปแช่งมีอยู่น้อยมาก อีกทั้งอาศัยอยู่กระจัดกระจายไปยังทุกๆ ที่ในแดนสามเซียน ในอดีตนางยังเข้าใจว่านี่เป็นเพียงความรู้สึกหลอนของตนเองเท่านั้น ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าหลี่ชิเย่ถึงกับบอกว่าสิ่งนี้เป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง
จังหวะที่จูซือจิ้งกับหยางเซิ่นผิงกับลังตื่นตะลึงอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้ไต่เขาขึ้นไปทีละก้าวๆ มุ่งหน้ายอดเขา จูซือจิ้งและหยางเซิ่นผิงติดตามอยู่ด้านหลัง
ขณะขึ้นไปถึงกลางเขา หลี่ชิเย่ได้หยุดลงที่ด้านหน้าของศิลาจารึกที่มีขนาดใหญ่มาก โดยที่บนศิลาจารึกไม่ได้มีตัวอักษรใดๆ อีกทั้งศิลาจารึกนี้ถูกตั้งมานานมาแล้ว
หลี่ชิเย่จ้องมองศิลาจารึกที่อยู่ตรงหน้า คล้ายดั่งสายตาคู่นั้นของเขาสามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้อย่างนั้น
“อยู่ใต้พื้นแห่งนี้แหละ เสียงคำรามด้วยความโกรธเหมือนส่งออกมาจากใต้พื้นดินตรงนี้อย่างนั้น” จูซือจิ้งเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังมองดูอยู่บริเวณนี้
“พื้น พื้นที่บริเวณนี้เป็นจริงตามที่เล่าลืออย่างนั้น” คำพูดของจูซือจิ้งทำให้หนังตาของหยางเซิ่นผิงถึงกับเต้นกระตุกนิดหนึ่ง รู้สึกขนลุกซู่ในใจขึ้นมาบ้าง และกล่าวว่า “คำเล่าลือเป็นเรื่องจริง”
“ที่นี่ที่ไหน?” จูซือจิ้งถึงกับเอ่ยถามด้วยความสงสัย เมื่อมองเห็นหยางเซิ่นผิงถูกทำให้ตระหนกตกใจถึงขนาดนี้
หยางเซิ่นผิงถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ “ภูเขาแห่งนี้ถูกเรียกว่าภูเขาทิ้งศพ ข้างใต้นี้ได้ฝังร่างบรรพบุรุษที่ยอดเยี่ยมมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเราคนหนึ่ง”
“บรรพบุรุษ?” จูซือจิ้งยิ่งแปลกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อได้ฟังคำเช่นนี้แล้ว มองดูศิลาจารึกที่อยู่ด้านหน้า และกล่าวว่า “ท่านบรรพจารย์ บรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเราหลังจากเสียชีวิตแล้วไม่ใช่ฝังอยู่ในศาลบรรพชน หรือศาลบรรพบุรุษรึ? เพราะอะไรถึงได้ฝังอยู่ตรงนี้? ที่อยู่ด้านหน้าคือป้ายหน้าหลุมฝังศพของเขารึ?”
“เรื่องนี้…” หยางเซิ่นผิงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดีเมื่อจูซือจิ้งถามเช่นนี้ ความจริงแล้วเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงเรื่องราวในอดีตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่ไม่น่าจดจำ ผู้คนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่รับรู้ถึงเรื่องเก่าแก่เรื่องนี้ต่างไม่ต้องการเอ่ยถึงกันนัก
“นั่นเป็นเพราะเขาคือคนบาปของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะฝังร่างในศาลบรรพชน และหรือศาลบรรพบุรุษ” ขณะที่หยางเซิ่นผิงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าศิลาจารึกได้พูดเฉยเมยขึ้นมา
เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาตรงๆ แบบนี้ หยางเซิ่นผิงได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ ท่าทีผะอืดผะอม ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
เรื่องเช่นนี้ยิ่งทำให้จูซือจิ้งแปลกใจมากยิ่งขึ้น จะอย่างไรเสียก่อนหน้านั้นนางรั้งอยู่ที่สำนักกระบี่ยักษ์ที่เป็นพื้นที่เล็กๆ เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมากมายนางไม่รู้เลยสักนิด ดังนั้น นางถึงกับจ้องมองไปที่หยางเซิ่นผิง ต้องการรู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเท็จ
หยางเซิ่นผิงทอดถอนใจเบาๆ เขาเองเข้าใจได้ว่าหลี่ชิเย่ต้องการบ่มฟักจูซือจิ้ง นางจึงสมควรรับรู้เรื่องราวมากมายที่เกี่ยวกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ซึ่งจะทำให้นางสามารถยืนอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ในอนาคต
“ถูกต้อง ที่คุณชายพูดมานั้นไม่ผิด” หยางเซิ่นผิงได้แต่กล่าวว่า “เขาทิ้งศพได้ฝังร่างของบรรพบุรุษที่มีความแข็งแกร่งมากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่คนหนึ่ง เขาคนนั้นก็คือเทพแท้จริงเทียนเต๋อนั่นเอง!”
“เทพแท้จริงเทียนเต๋อเคยเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่มีพรสวรรค์เยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของพวกเรา เขาเคยสร้างเคล็ดวิชาที่ฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งแขนงหนึ่ง เพียงแต่เคล็ดวิชาแขนงนี้ถูกสั่งห้าม ศิษย์รุ่นหลังห้ามฝึกเคล็ดวิชานี้อย่างเด็ดขาด ดังนั้น ข้อนี้เจ้าก็ต้องจำเอาไว้ให้ดี” ครั้นหยางเซิ่นผิงเอ่ยมาถึงตรงนี้จึงได้สั่งกับจูซือจิ้งเอาไว้
“เพราะอะไรล่ะ?” จูซือจิ้งยิ่งแปลกใจมากขึ้นเมื่อได้ฟังเช่นนี้แล้ว
“เรื่องนี้…” เวลานี้หยางเซิ่นผิงตอบไม่ถูก จะอย่างไรเสียในฐานะชนรุ่นหลัง เขาจึงไม่อาจไปวิจารณ์บรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ จะอย่างไรเสีย มันก็เป็นความจริงที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อเคยสร้างผลงานการรบที่ลือลั่นให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
“เนื่องจากเขาเข้าไปอยู่ในลัทธิมาร” ขณะที่หยางเซิ่นผิงกำลังพิจารณาว่าจะตอบอย่างไรนั้น หลี่ชิเย่ที่จ้องมองศิลาจารึกหินได้เอ่ยเฉยเมยขึ้นมา
“ถูกต้อง เป็นเหมือนเช่นที่คุณชายพูดเอาไว้อย่างนั้น ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ถือเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเรา ไม่ว่าใครก็ห้ามฝึก หากพบว่าผู้ใดแอบฝึกสถานเบาคือถูกเนรเทศ สถานหนักคือทำลายทักษะยุทธทั้งหมด” หยางเซิ่นผิงทอดถอนใจเบาๆ เป็นการกล่าวเตือนจูซือจิ้งเป็นพิเศษ
แท้จริงแล้ว เทพแท้จริงเทียนเต๋อเป็นจริงดั่งที่หยางเซิ่นผิงได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เทพแท้จริงเทียนเต๋อถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะบุคคลของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เขาได้ทำการวิวัฒนาการเคล็ดวิชาที่ฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งแขนงหนึ่งจาก ‘คัมภีร์บ้าคลั่ง’ ชื่อว่ามารคลั่งดูดเลือด!
เดิม ‘คัมภีร์บ้าคลั่ง’ คิดค้นขึ้นโดยราชันแท้จริงขวางเสวี่ยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เขาคือหนึ่งในราชันแท้จริงหลายองค์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ราชันแท้จริงขวางเสวี่ยได้ก้าวไปจุดสูงสุดของความบ้าคลั่งได้แล้ว
แต่ทว่า เทพแท้จริงเทียนเต๋อกลับสามารถก้าวเดินความบ้าคลั่งให้ไกลยิ่งกว่า อาศัยวิธีการที่รุนแรงสุดขั้วยิ่งกว่าไปทำให้มันกลายเป็นจริง ดังนั้น เขาจึงได้สร้างเคล็ดวิชาออกมาได้คือ ’มารคลั่งดูดเลือด’ นั่นเอง
“เพราะอะไรเคล็ดวิชานี้ถูกมองว่าเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามล่ะ?” เพราะเป็นครั้งแรกที่จูซือจิ้งได้ยินชื่อเคล็ดวิชา ’มารคลั่งดูดเลือด’
“เนื่องจากเคล็ดวิชานี้จะดื่มเลือดจากศัตรูโดยตรง และพลันทำให้ตนเองนั้นบ้าคลั่งขึ้น ขณะเดียวกันพลังก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาย ยิ่งมีการดื่มกินเลือดสดๆ เข้าไปมากเท่าไร ขอบเขตการบ้าคลั่งและพลังก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้ศักยภาพการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในเวลานั้น มีผู้ที่ฝึกปรือวิชานี้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่ไม่น้อยทีเดียว เนื่องจากเคล็ดวิชานี้เหี้ยมโหดเกินไป ทำให้ถูกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ จำนวนมากมองเป็นศัตรู ต่อมาภายหลัง พวกเราต้องปิดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลง และจัดการเผาทำลายเคล็ดวิชานี้เสีย” หยางเซิ่นผิงทอดถอนใจเบาๆ ออกมา มันเป็นเรื่องราวตอนหนึ่งที่ผู้คนไม่ต้องการรื้อฟื้นขึ้น ในวันนี้เมื่อมีการเอ่ยถึงจึงทำให้อดที่จะทำให้ต้องเศร้าโศกในใจ
ในอดีต ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคือลัทธิเซียน ต่อมาเสื่อมลงจึงตกต่ำกลายเป็นลัทธิพรรษ
เทพแท้จริงเทียนเต๋อในฐานะที่เป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เขาตั้งใจจะให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ผงาดขึ้นมา ดังนั้น จึงได้คิดค้นวิชา ’มารคลั่งดูดเลือด’ ขึ้นมา และเพราะได้ฝึกเคล็ดวิชานี้เอง ทำให้พลังของเทพแท้จริงเทียนเต๋อเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง และทำให้เขาปราศจากผู้ต่อกรไปทั่วหล้า
ภายหลังจึงได้มีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจำนวนมากติดตามเทพแท้จริงเทียนเต๋อฝึกเคล็ดวิชาแขนงนี้
ในเวลานั้น เทพแท้จริงเทียนเต๋อและศิษย์กลุ่มหนึ่งอาศัยสิ่งที่เกรียงไกรไปทั่วหล้า ไม่รู้ว่าได้เอาชนะศัตรูที่เข้มแข็งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไปเท่าไร
แต่ทว่า จากการที่ ’มารคลั่งดูดเลือด’ เป็นการดื่มกินเลือดของศัตรูในทันที ซึ่งออกจะเป็นการโหดร้ายเกินไป จึงทำให้ถูกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากมองว่าเป็นวิชานอกรีต ภายหลัง จากการที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อปราศจากผู้ต่อกรไปทั่วหล้า เคยเลือดล้างตระกูลขุนนางโบราณ และสำนักไปไม่น้อย ทำให้กลายเป็นผู้ที่ทุกคนต้องการสังหาร แม้แต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ถูกผู้อื่นเรียกว่าเป็นพรรคมาร!
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ชื่อเสียงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้รับความเสียหาย อีกทั้งในแดนพรรษได้มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากรวมตัวกันเข้าโจมตีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากต่างประกาศว่าจะต้องทำลายล้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่เป็นพรรคมารนี้เสีย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะสามารถต้านรับกับการโจมตีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากเช่นนี้ได้ หากว่ามีการระเบิดศึกสงครามขึ้นมาเต็มรูปแบบจริงๆ ล่ะก็ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีโอกาสถูกทำลายได้ทุกเมื่อ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เทพผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมรุ่นก่อนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง หรือก็คือซิวหลอจ้านเทียนจึงได้ลงมือด้วยตนเอง และสามารถสังหารเทพแท้จริงเทียนเต๋อได้!