Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2156 ตบปากอีกครั้ง
สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อได้ฟังคำของเผิงเวยจิ่นแล้ว การสูญเสียอำนาจของหวังหานกล่าวสำหรับสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขานับว่าไม่ใช่เรื่องดีโดยแท้ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาใกล้ชิดกับสายของหวังหานมากที่สุด
“ตอนนี้รู้แล้วสิว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว” เผิงเวยจิ่นถึงกับกล่าวด้วยความลำพองใจเมื่อเห็นสีหน้าของหยางเซิ่นผิงที่เปลี่ยนไปมาก “ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าล้มลงไปแล้ว ยังจะมีใครมาหนุนหลังเจ้าอีก เมื่อถึงเวลานั้น ข้าไม่เพียงจะเหยียบเจ้าให้จมดิน ยังจะฆ่าล้างสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเจ้า ให้มันหายไปจากโลกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!”
ครั้นเผิงเวยจิ่นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ความลำพองใจได้ปรากฏชัดบนใบหน้าอย่างเต็มที่ ขณะที่เขามาจากลานหลวงก็ได้ยินข่าวลือบางอย่างจากจวนหวังแล้ว ลือกันว่าบรรดาผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกบางส่วนของจวนหวังคิดจะปลดหวังหานออกจากตำแหน่ง และสนับสนุนให้ศิษย์ที่เป็นชายคนหนึ่งมาปกครองกุมอำนาจของจวนหวังแทน กระทั่งสนับสนุนให้กลายเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง มีเพียงศิษย์ที่เป็นชายและแข็งแกร่งยิ่งกว่าเท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะแข่งขันกับผู้รับการคัดเลือกจากขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามได้
บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อได้ยินคำพูดของเผิงเวยจิ่นแล้ว มีจำนวนไม่น้อยที่มองหน้ากันและกัน และมีบางส่วนที่วิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ
“ที่แท้เขาก็คือบรรพบุรุษของสำนักกระบี่ยักษ์หยางเซิ่นผิง ฟังว่าสำนักกระบี่ยักษ์ใกล้ชิดกับจวนหวังเป็นอันมาก หรือว่าจวนหวังจะเปลี่ยนคนจริงๆ แล้ว ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงจะมีการเปลี่ยนแผ่นดินแล้วจริงๆ” สำนักบางส่วน และผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลขุนนางโบราณบางคนเมื่อได้ฟังคำของเผิงเวยจิ่นแล้ว ต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
จะอย่างไรเสีย เผิงเวยจิ่นนั้นมาจากลานหลวง เขาจึงสามารถได้ข่าวรวดเร็วกว่าคนอื่นมากทีเดียว เวลานี้ดูไปแล้ว จวนหวังเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่มีกองทัพตั้งค่ายกันที่ตรงนี้ ไม่มีเหตุผลที่จวนหวังจะไม่มาตั้งค่ายที่นี่ด้วย
การที่เผิงเวยจิ่นอาศัยคำพูดข่มขู่ตรงๆ ออกมาเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไป แน่นอน จากการตบปาเผิงเวยจิ่นอย่างแรงในครั้งนั้น หยางเซิ่นผิงก็เข้าใจแล้วว่าเขาได้เป็นศัตรูกับบ้านตระกูลเผิงเรียบร้อยแล้ว แน่นอนที่สุด เขาไม่ได้เสียใจกับการติดสินใจเลือกเช่นนี้
เวลานี้ หยางเซิ่นผิงถึงกับมองไปที่หลี่ชิเย่ เขาจะเดินตามหลี่ชิเย่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ขอเพียงหลี่ชิเย่สั่งการมาคำเดียวก็พอ
แน่นอน หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจเผิงเวยจิ่น ยังคงดื่มสุราจอกนั้นที่อยู่ในมือต่อไป
เดิมทีความตั้งใจของเผิงเวยจิ่นก็คือข่มยขวัญพวกของหยางเซิ่นผิงก่อน จะอย่างไรเสียเวลานี้ผู้ให้การสนับสนุนพวกของหยางเซิ่นผิงได้สูญเสียอำนาจไปแล้ว ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด หลังจากนั้นพวกเขาหยางเซิ่นผิงก็ต้องถูกเขาเหยียบย่ำไปตามอารมณ์!
ครั้นเผิงเวยจิ่นเห็นว่าหยางเซิ่นผิงไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา เพียงมองไปที่หลี่ชิเย่ ทำให้สีหน้าของเผิงเวยจิ่นดูเย็นชา และดวงตาทั้งสองได้เผยปณิธานการฆ่าที่น่ากลัวยิ่งออกมา เขาหัวเราะน่าครั่นคร้ามและกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “แหะ เจ้าหนู เจ้าก็ลำพองต่อไปไม่ได้แล้ว ผู้ที่ครองแผ่นดินต่อไปจะไม่ใช่จวนหวังอีก ไม่มีใครสามารถคุ้มครองเจ้าได้! เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าเจ้าจะต้องตายเสียดีกว่าอยู่! แหะ หากเวลานี้คิดจะขอให้ข้าละเว้นให้ยังทัน บางทีข้าอาจจะใจอ่อนยอมไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
เผิงเวยจิ่นนั้นมองว่าจวนหวังได้เข้าสู่สถานการณ์แย่งชิงกันภายใน สถานการณ์ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว เวลานี้กระทั่งรักษาตัวเองให้รอดก็ไม่มีเวลาแล้ว! ไม่ว่าหลี่ชิเย่จะมีประวัติความเป็นมาและฐานะอย่างไรก็ตาม เมื่อสูญเสียผู้ให้การสนับสนุนเช่นจวนหวังแล้ว การที่จะทำให้หลี่ชิเย่ต้องตายก็คงเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่นั้น เขามองว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงเนื้อที่อยู่บนเขียงของพวกเขาเท่านั้นเอง
ดังนั้น เผิงเวยจิ่นจึงตั้งใจจะข่มขวัญหลี่ชิเย่เอาไว้ก่อน ให้พวกเขาต้องตกอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาที่หวาดผวา ให้พวกเขาอยู่ภายใต้การครอบงำของเงาทมิฬจากบ้านตระกูลเผิงของพวกเขา ทำให้ต้องอกสั่นขวัญแขวนตลอดเวลา รอจนกระทั่งสถานการณ์ทุกอย่างแน่นอนแล้ว ก็จะค่อยๆ ทรมานและสังหารพวกของหลี่ชิเย่ก็ยังไม่สาย
ดังนั้น มาคราวนี้เผิงเวยจิ่นใจกล้าถึงขนาดเข้ามาพูดจานักเลง ก็เพื่อต้องการข่มขู่พวกของหลี่ชิเย่ ให้พวกเขาบังเกิดเงาทมิฬในใจ ซึ่งทำให้เขาสามารถระบายความแค้น และเสพสุขกับความรู้สึกดีๆ ที่ได้แก้แค้น
เวลานี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าเจ้าหนูที่แลดูไร้ชื่อไร้เสียงผู้นี้ไปล่วงเกินเผิงเวยจิ่นได้อย่างไรกันแน่ ไปล่วงเกินบ้านตระกูลเผิงได้อย่างไร ถ้าหากเจ้าหนูที่แลดูไร้ชื่อไร้เสียงผู้นี้ไม่มีผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งจริงล่ะก็ การเป็นศัตรูกับเผิงเวยจิ่นเช่นนี้ เป็นการรนหาที่ตายอย่างแน่นอน
“คุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะยอมรับผิดเสีย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง” สำหรับคำพูดของเผิงเวยจิ่นนั้น หลี่ชิเย่เอ่ยคำออกมาโดยที่กระทั่งหนังตาไม่ได้เลิกขึ้นสักครั้งและไม่ได้มองหน้าเขาเลย กล่าวเรียบๆ ขึ้นมา
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา พลันทำให้บรรยากาศทั่วทั้งโรงเตี้ยมตึงเครียดขึ้นมาทันที ทุกคนต่างเบิ่งตาจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
“คำพูดนี้พูดเกินเลยไปแล้วกระมัง เจ้าหนูผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับกล้าพูดกับนายน้อยเผิงเช่นนี้” มีผู้ที่กล่าวด้วยความตระหนกออกมา
มีศิษย์ตระกูลขุนนางโบราณบางคนที่จงใจเอาใจเผิงเวยจิ่นจึงได้หัวเราะเยาะ และกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย ถึงกับกล้าพูดเช่นนี้กับนายน้อยตระกูลเผิง ไม่เจียมตัวเอาเสียเลย เป็นการรนหาที่ตายเอง!”
“เจ้าเดรัจฉานน้อย ข้าจะเชือดเจ้าเสีย!” เดิมทีเผิงเวยจิ่นต้องการข่มขวัญพวกของหลี่ชิเย่ ข่มขู่พวกเขาเพื่อเป็นการขจัดความอัดอั้นที่สุมอยู่ในอก!
แต่ทว่าเวลานี้คำพูดคำเดียวของหลี่ชิเย่ได้ไปกระทบถึงแผลที่อยู่ในใจของเผิงเวยจิ่น ทนไม่ได้จนต้องร้องเสียงดังออกมา มือขนาดใหญ่ได้ยื่นเข้าไปคว้าตัวหลี่ชิเย่ทันที
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่มือของหลี่ชิเย่ยังไม่ทันแตะต้องตัวของหลี่ชิเย่นั้น พลันถูกหยางเซิ่นผิงปัดออกไป เผิงเวยจิ่นอยู่ในระดับอัจฉริยะแท้จริงเท่านั้น เมื่อเทียบกับระดับวีรบุรุษแท้จริงของหยางเซิ่นผิงแล้ว นับว่ายังห่างชั้นกันอยู่มากเหลือเกิน
“ท่านอาเจ็ด ท่านสังหารคนแซ่หยางนี่เสีย ข้าจะไปจัดการเก็บเจ้าหนูคนนั้น!” สีหน้าของเผิงเวยจิ่นเปลี่ยนไปมากเมื่อถูกหยางเซิ่นผิงกันเอาไว้ กัดฟันและตัดสินใจเด็ดขาดในใจ ไหนๆ แล้วก็จะทำให้ถึงที่สุด
“ฮึ…” เผิงเวยจิ่นไม่ได้เดินเข้าหาเพียงคนเดียว ด้านหลังของเขายังติดตามมาด้วยศิษย์ของตระกูลเผิงอยู่ไม่น้อย หนึ่งในนั้นเป็นผู้เฒ่าที่ยืนกอดกระบี่อยู่ตลอดเวลา เวลานี้เขาส่งเสียงฮึเย็นชาออกมาและเดินเข้าหาหยางเซิ่นผิง
ผู้เฒ่าผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งของตระกูลเผิง อยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง ดังนั้น หยางเซิ่นผิงพลันมีสีหน้าที่บึ้งตึงเมื่อมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้
“เจ้าเดรัจฉานน้อย คุกเข่าลงเสียแต่โดยดี มิฉะนั้นแล้วพวกเราจะหักขาเจ้าทิ้งเสีย!” ในเวลาเดียวกัน ศิษย์ของบ้านตระกูลเผิงไม่จำเป็นต้องรอให้เผิงเวยจิ่นออกคำสั่ง ได้เข้าล้อมโต๊ะตัวหน้าเอาไว้ และเผยท่าทีนักเลงออกมา
“เจ้าคนแซ่หยาง เจ้าไม่ควรรังเกถึงหัวของบ้านตระกูลเผิง เป็นการรนหาที่ตายของเจ้า!” ผู้เฒ่าที่ถูกเผิงเวยจิ่นเรียกว่าอาเจ็ดนั้นได้ชักกระบี่วิเศษของตนดังแช้งค์ออกมาอย่างช้าๆ!
“ตบปาก!” หลี่ชิเย่สั่งการกับหยางเซิ่นผิง โดยที่สายตาไม่ได้มองไปที่พวกเขาแม้แต่แวบเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ
พลันที่หยางเซิ่นผิงได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ไม่พูดมากความ คำรามเสียงทุ่มต่ำออกมามือยื่นไปคว้าตัวเผิงเวยจิ่นทันที สีหน้าของเผิงเวยจิ่นเปลี่ยนไป คำรามเสียงดังว่า “เจ้าคนแซ่หยางอย่างได้กำแหงนัก!” พลันปรากฎอาวุธที่ชื่อว่าเก๋ออยู่ในมือ หวังต้านรับกับหยางเซิ่นผิง
แต่ทว่า เขามีทักษะอยู่ในระดับอัจฉริยะแท้จริงเท่านั้น ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของหยางเซิ่นผิงได้ ได้ยินเสียงดังปัง เผิงเวยจิ่นถูกสยบโดยหยางเซิ่นผิง กำลังของทั้งคู่ห่างชั้นกันมาก ไม่สามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
“หยางเซิ่นผิง อย่าได้กำแหง” ผู้เฒ่าผู้นั้นคำรามเสียงดังออกมาเมื่อเห็นหยางเซิ่นผิงลงมือกับผู้เยาว์ของตน กระบี่ยาวในมือดั่งน้ำในแม่น้ำ พลันเข้าปกคลุมร่างของหยางเซิ่นผิงทันที
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น กระบี่ยาวของผู้เฒ่ายังไม่ทันได้ฟันเข้าร่างของหยางเซิ่นผิงพลันแตกละเอียดไปทันที เห็นเพียงนิ้วทั้งห้าของหลี่ชิเย่กางออกเล็กน้อยเท่านั้น กระบี่ยาวของเขาก็แตกละเอียดไปในทันที ขณะเดียวกัน เสมือนหนึ่งเขาไท่ซัวได้ตรงเข้าไปกดทับลงบนตัวของเขาอย่างนั้น
“คุกเข่าลง!” หลี่ชิเย่ได้สั่งการออกไป
ไหนเลยที่ผู้เฒ่าจะยอมคุกเข่าลง เขาสำแดงพลังพวยพุ่งออกมาทั่วร่าง หวังจะลงมืออีกครั้ง แต่การจะขัดขืนต่อหน้าหลี่ชิเย่นั้น เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเอง
ได้ยินเสียงดังปัง นิ้วของหลี่ชิเย่ แค่กดลงเบาๆ ทีหนึ่ง ผู้เฒ่าก็ต้องคุกเข่าลงกับพื้นโดยไม่สามารถบังคับตัวเองได้ เข่าทั้งสองข้างทิ้งตัวลงกระแทกพื้นอย่างแรง กระทั่งอิฐบนพื้นก็ถูกกระแทกจนแหลกละเอียดไป เลือดไหลไม่หยุด
“ลุกขึ้น…” ผู้เฒ่าไม่ยอมแพ้ คำรามเสียงดังออกมา ระเบิดพลังที่กล้าแข็งที่สุดในชีวิตตนออกมา หวังต่อต้านการสยบโดยหลี่ชิเย่เอาไว้ ภายใต้พลังที่บ้าคลั่งรุนแรง ทำให้เขาสามารถยืดตัวขึ้นมาได้บ้าง
แต่ทว่า หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยนิดหนึ่ง ได้ยินเสียงคร๊ากกดังขึ้น ทันใดนั้นเอง หลี่ชิเย่แค่ขยับเพิ่มพลังนิดหนึ่ง ผู้เฒ่าพลันถูกสยบจนกระดูกแตกร้าวไปทั่วร่าง
ได้ยินเสียงดังปัง นาทีนี้ผู้เฒ่าต้องคุกเข่าลงกับพื้นไม่สามารถเคลื่อนไหว และอยู่ในท่าหมอบอยู่กับพื้นตรงนั้น ไม่เพียงหัวเข่าที่แหลกละเอียดไปเท่านั้น กระทั่งกระดูกทั่วร่างกับแตกละเอียดไปด้วย ถูกสยบอยู่ตรงนั้นไม่อาจกระดิกตัวแม้แต่น้อย บนพื้นนองไปด้วยเลือดสดๆ
“ฆ่า…” เวลานี้บรรดาศิษย์บ้านตระกูลเผิงที่ติดตามเผิงเวยจิ่นมาต้องการช่วยเหลือผู้เป็นนาย คำรามเสียงดังออกมา ทยอยกันบุกเข้าหาหลี่ชิเย่
แต่ว่า หลี่ชิเย่เพียงสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ได้ยินเสียงดังปัง ปัง ปัง ศิษย์ทั้งหมดถูกกวาดจนกระเด็นออกไป ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ในขณะนี้
บรรดาผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในโรงเตี้ยมเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำขึ้นมา ระดับผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยต่างมองออกว่า ผู้เฒ่าผู้นี้อยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง แต่ว่ากลับถูกสยบโดยตรงอยู่กับพื้น กระทั่งไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ กระดูกทั่วร่างแหลกละเอียด อีกทั้งตั่งแต่ต้นจนจบ หลี่ชิเย่เพียงแค่ขยับนิ้วนิดหนึ่งเท่านั้นเอง
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้หยางเซิ่นผิงได้สยบเผิงเวยจิ่นเอาไว้ ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไป ขาทั้งสองของเผิงเวยจิ่นคุกเข่าลงเสียงดังปุ
“นายน้อยเผิง ท่านล้ำเส้นไปแล้ว!” เวลานี้หยางเซิ่นผิงได้กล่าวน่าเกรงขามออกมา
สีหน้าของเผิงเวยจิ่นเปลี่ยนไป เดิมทีเขาคิดว่าได้พาผู้อาวุโสมาด้วยคนหนึ่ง ซึ่งมีกำลังอยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง ทำให้เขาเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะลงเอยเช่นนี้
“หยางเซิ่นผิง เจ้า เจ้ากล้าแตะต้องตัวข้าแม้แต่น้อย ตระ ตระกูลเผิงของข้าต้องทำลายล้างสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเจ้าจนสิ้น พวกเจ้ากล้าเป็นศัตรูกับบ้านตระกูลเผิง เท่ากับเป็นศัตรูกับกองกำลังซั่งทั้งหมด…” เวลานี้เผิงเวยจิ่นถึงกับร้องโวยวายออกมา
เพี้ยะ…เสียงหนึ่งดังขึ้น หยางเซิ่นผิงจิกผมของเผิงเวยจิ่น และหนึ่งฝ่ามือก็ได้ตบเข้าไปอย่างแรง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “นายน้อยเผิง ล่วงเกินแล้ว”
เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ…เวลานี้ หยางเซิ่นผิงได้ประเคนฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่าลงบนใบหน้าของเผิงเวยจิ่นอย่างแรง!
ภายใต้แต่ละฝ่ามือของหยางเซิ่นผิงที่ตบเข้าใบหน้าของเผิงเวยจิ่น พริบตาเดียวนั่นเอง เผิงเวยจิ่นถูกตบจนเลือดกลบปาก
“ไม่รู้จักจำ” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและกล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
เผิงเวยจิ่นทั้งโกรธทั้งอายจนแทบคลั่ง ถูกตบหน้าในลักษณะเช่นนี้ถึงสองครั้งภายในระยะเวลาสั้นๆ ครั้งแรกนั้นชั่วดีอย่างไรก็ยังมีหวังหานที่สยบเขาเอาไว้ แต่ครั้งนี้แม้แต่หวังหานก็ไม่ได้อยู่ด้วย ยังถูกตบหน้าท่ามกลางธารกำนัลจำนวนมากมาย สิ่งนี้สำหรับเขาแล้ว มันคือความอัปยศอย่างยิ่งใหญ่ชั่วชีวิตของเขา!
…………………