Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2157 จิ้งจอกเงิน
เพี้ยะ เพี้ยะ เพี้ยะ…เสียงตบหน้าที่ดังก้องกังวานอยู่ภายในโรงเตี้ยม ทุกคนต่างจ้องมองตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ทำเช่นนี้ออกจะนักเลงเกินไปแล้ว มันเป็นการหักหน้ากับบ้านตระกูลเผิงอย่างสิ้นเชิง เป็นการประกาศไม่ขออยู่ร่วมโลกกับบ้านตระกูลเผิง กระทั่งเป็นศัตรูกับกองกำลังซั่ง” มีผู้ที่เห็นเผิงเวยจิ่นถูกตบหน้าแล้วถึงกับพึมพำออกมาอย่างใจหายใจคว่ำ
บ้านตระกูลเผิงมีสัมพันธ์ที่สนิทสนมแนบแน่นกับตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งอย่างยิ่ง เคยเกี่ยวดองสมรสกันมาหลายชั่วอายุคน มาวันนี้การที่หยางเซิ่นผิงตบหน้าเผิงเวยจิ่นอย่างแรงต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เท่ากับเป็นตบหน้าบ้านตระกูลเผิงโดยตรง และเป็นการตบหน้าตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งเช่นกัน
“คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?” ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับขนลุกซู่ในใจ และไม่มีใครรู้จักหลี่ชิเย่ การที่หาญกล้าหักหน้ากันอย่างเปิดเผยกับบ้านตระกูลเผิง และกล้าเป็นศัตรูกับกองกำลังซั่งได้ ย่อมไม่ใช้บุคคงเล็กๆ อย่างแน่นอน
แต่ทว่า ไม่มีใครดูรู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นมีประวัติความเป็นมาเช่นใดกันแน่ และไม่มีใครดูออกว่าหลี่ชิเย่นั้นเป็นใครมาจากไหน
“ตบได้ดี” ในขณะที่หยางเซิ่นผิงกำลังตบปากอยู่นั้น ปรากฏเสียงปรบมือดังขึ้น มองเห็นคนผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาจากด้านนอก หัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “อาศัยอิทธิพลของนายเที่ยวข่มเหงรังแกผู้อื่น คิดว่าเกาะกองกำลังซั่งได้แล้วก็สามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ ผู้เยาว์ที่โง่เขลาเช่นนี้สมควรสั่งสอนให้เข็ดหลาบ!”
ผู้ที่ก้าวเดินเข้ามาจากด้านนอกดูอายุน้อยมาก สวมชุดทะมัดทะแมง ดูเป็นคนที่คล่องแคล่ว สวมผ้าคลุมสีเงิน ผมขาวทั้งหัวยาวปะบ่า ทำให้ภาพรวมของเขาดูมีจังหวะจะโคนอย่างบอกไม่ถูก
คนหนุ่มคนหนึ่ง แต่กลับผมขาวทั้งหัว สายตาคู่นั้นของเขาส่อแววตาที่รุนแรงดุดันแวบวับออกมา เสมือนหนึ่งเป็นเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อเอาไว้แล้วอย่างนั้น
จิ้งจอกเงิน…ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ภายในโรงเตี้ยมต่างรู้สึกตระหนกยิ่งนักเมื่อมองเห็นบุรุษที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ หรือจะเป็นระดับผู้อาวุโสของสำนัก ต่างทยอยกันลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงคารวะต่อชายหนุ่มผู้นี้
“จิ้งจอกเงินแห่งแดนอุดรของหอศักดิ์สิทธิ์!” ศิษย์ตระกกูลขุนนางโบราณ และระดับผู้อาวุโสของสำนักจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกขนลุกซู่ในใจเมื่อได้ยินชื่อนี้แล้ว
หอศักดิ์สิทธิ์คือหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ขณะที่แดนอุดมก็คือหนึ่งในสองพรรคของหอศักดิ์สิทธิ์ มีกำลังที่กล้าแข็งมากในแดนอุดร สำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนมากต่างเข้าไปอยู่ในสังกัดของแดนอุดรเป็นจำนวนมาก
ยิ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงด้วยแล้ว ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ามีชื่อเสียงที่โด่งดังมาก นามจิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ย เป็นดาวรุ่งหนุ่ม่ของหอศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นบุคคลที่เป็นตัวแทนของแดนอุดร
ซวี๋จื้อเจี๋ยมีกองพันเถี่ยลี่อยู่ในมือ อยู่ในฐานะเสาหลักของหอศักดิ์สิทธิ์ มีอำนาจตรวจสอบระดับหนึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ดังนั้น ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้วซวี๋จื้อเจี๋ยนับว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจผู้หนึ่ง สำนักต่างๆ และตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ต้องให้เกียรติจิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยอยู่สามส่วน
อีกทั้งคนอย่างซวี๋จื้อเจี๋ยเป็นคนลื่นไหลและชั่วร้าย สายตาของเขาเหี้ยมมาก ด้วยเหตุนี้เอง สำนักและตระกูลขุนนางโบราณต่างๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างยินดีเชื่อมสัมพันธ์กับซวี๋จื้อเจี๋ยจำนวนไม่น้อย
หลังจากที่ซวี๋จื้อเจี๋ยก้าวเข้ามาในโรงเตี้ยมแล้ว บรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ หรือระดับผู้อาวุโสของสำนักต่างทยอยกันลุกขึ้นมาแสดงความเคารพ ทุกคนต่างจงใจส่งความปรารถนาดีต่อซวี๋จื้อเจี๋ย
เนื่องด้วยหลังจากกษัตริย์ที่กษัตริย์องค์ปัจจุบันสวรรคตแล้ว ขั้วอำนาจต่างล้วนแล้วแต่จับจ้องไปที่อำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงตาเป็นมัน แม้ว่าอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะอยู่ในมือของหวังหานผู้เป็นราชินีเป็นการชั่วคราว แต่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องมีกษัตริย์องค์ใหม่ที่ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์
ปัจจุบันผู้มีสิทธิ์ได้ขึ้นกุมอำนาจเป็นกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีอยู่หลายคนด้วยกัน หนึ่งในจำนวนนั้นก็คือจิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยนั่นเอง
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า ถ้าหากจิ้งจอกเงินได้สืบทอดก้าวขึ้นสู่บัลลังก์กษัตริย์ได้ครอบครองอำนาจจริงๆ ล่ะก็ สามารถถือโอกาสสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเอาไว้ในเวลานี้ ทุกอย่างก็จะไม่เหมือนเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เวลานี้ หลี่ชิเย่ดีดนิ้วทีหนึ่ง เสียงดังปัง ผู้เฒ่าที่ถูกสยบเอาไว้นั้นพลันปลิวออกไป จากนั้นได้โบกมือกับหยางเซิ่นผิง
หยางเซิ่นผิงที่ตบหน้าเผิงเวยจิ่นอย่างหนักหน่วงจึงได้หยุด และปล่อยตัวเผิงเวยจิ่นไป กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “นายน้อยเผิง ไปเถอะ ชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียว เจ้าระมัดระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
คำพูดนี้ของหยางเซิ่นผิงเดิมมีเจตนาดี เป็นการเตือนสติเผิงเวยจิ่นต่อไปอย่าได้มาหาเรื่องหลี่ชิเย่อีก หากมีครั้งต่อไป เกรงว่าคงไม่เพียงแต่ตบปากเท่านั้นแล้ว! เกรงว่าอาจจะต้องแลกด้วยชีวิตของตน
แต่ทว่า เผิงเวยจิ่นในเวลานี้ถูกตบจนเลือดกบปาก ถูกหยางเซิ่นผิงตบหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายถึงสองครั้ง ซึ่งกล่าวสำหรับเขาแล้วคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้นที่อำมหิตยิ่งนัก
“เจ้าคนแซ่หยาง เจ้าจำไว้ให้ดี ข้าไม่เพียงจะทำลายสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเจ้า ข้ายังจะให้พวกเจ้าตายทั้งเป็น ให้พวกเจ้าไม่ได้ผุดได้เกิดตลอดไป ข้าจะเฉือนเนื้อของพวกเจ้าออกมา พวกเจ้ารอข้าอยู่นี่แหละ…” ท่าทางของเผิงเวยจิ่นดูย่ำแย่มาก หนีออกไปจากโรงเตี้ยมแบบล้มลุกคลุกคลาน แต่ก่อนจากยังคงมีความโกรธแค้นอย่างยิ่ง ฝากคำพูดที่เหี้ยมโหดนักเลงอย่างยิ่งเอาไว้
จิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยยิ้มและส่ายหน้าสำหรับนิสัยเช่นนี้ของเผิงเวยจิ่น และกล่าวว่า “สวะ ทำบ้านตระกูลเผิงขายหน้าจนสิ้น!”
จิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยหลังกล่าวจบคำแล้ว รีบสาวเท้าขึ้นไปและแสดงคารวะด้วยการโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ข้าน้อยซวี๋จื้อเจี๋ย เป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ท่านผู้นี้จะต้องเป็นพี่หลี่แน่นอน”
ดูท่าขณะซวี๋จื้อเจี๋ยมาที่นี่ก็ได้สืบทราบข่าวเกี่ยวกับหลี่ชิเย่มาบ้างแล้ว เพียงแต่เขายังไม่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ ซึ่งข้อมูลด้านนี้ไม่ว่าจะเป็นหวังหานหรือว่าจวนหวังก็ไม่ได้เปิดเผยฐานะของหลี่ชิเย่ให้กับบุคคลภายนอกได้ทราบ
“อืม…” หลี่ชิเย่เพียงพยักหน้า ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนัก ยังคงดื่มสุราของตนต่อไป
“ที่โรงเตี้ยมแห่งนี้คนมากปากมาก สถานที่คับแคบไม่ค่อยสะดวก ไม่ทราบว่าพี่หลี่สนใจไปพักที่ค่ายของข้าหรือไม่” ซวี๋จื้อเจี๋ยยิ้มกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “ข้าจะได้ให้การต้อนรับในฐานะเจ้าบ้าน”
บรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ หรือระดับผู้อาวุโสของสำนักจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกแปลใจ เมื่อมองเห็นซวี๋จื้อเจี๋ยทำดีกับหลี่ชิเย่เช่นนี้ พวกเขาต่างทยอยกันมองไปที่หลี่ชิเย่ และเปี่ยมด้วยความแปลกใจในฐานะของหลี่ชิเย่ ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจว่าเจ้าหนูที่มองดูแล้วไม่สดุดตาเอาเสียเลยมีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่
“ไม่มีอารมณ์…” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
ท่าทางซวี๋จื้อเจี๋ยดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง เมื่อถูกหลี่ชิเย่ปฏิเสธทันควัน เขาถึงกับแสดงคารวะแบบจีน และกล่าวว่า “พี่หลี่ ขณะนี้สถานการณ์กำลังกระเพื่อม เหตุการณ์ไม่ปรกติ มันจะเป็นอะไรไปเล่าหากพี่หลี่จะไปอยู่ในค่ายของข้าเล่า? นั่งเฝ้าดูชมสถานการณ์ออย่างสงบ ถือเป็นการกระทำที่สบายอกสบายใจ”
ทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นซวี๋จื้อเจี๋ยตั้งใจดึงหลี่ชิเย่ไปเป็นพวก เจ้าหนูคนนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับสามารถทำให้ซวี๋จื้อเจี๋ยให้เกียรติถึงขนาดนี้ จะอย่างไรเสียซวี๋จื้อเจี๋ยเองก็เป็นผู้ที่มีฐานะและอำนาจสูงส่งคนหนึ่งเหมือนกัน
การที่ซวี๋จื้อเจี๋ยต้องการดึงหลี่ชิเย่เป็นพวกถึงเพียงนี้ย่อมมีเหตุผลของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ก็ตาม แต่เขาได้ข่าวมาจากทางพระราชวังว่า ราชินีหวังหานให้ความสำคัญกับเจ้าหนูที่มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจนผู้นี้มากทีเดียว
การที่ราชินีหวังหานสามารถให้ความสำคัญกับคนๆ หนึ่งเช่นนี้ เบื้องหลังต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน จะอย่างไรเสียหวังหานใช่เป็นผู้ที่ไร้ความสามารถ นางสามารถทำให้กษัตริย์นั่งอยู่บนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง นางนั้นมีความสามารถที่เหนือผู้คนทั่วไป
เป็นไปไม่ได้ที่ราชินีหวังหานจะดีต่อคนผู้หนึ่งโดยไม่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ความสำคัญกับคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าคนหนึ่ง การที่คนผู้นี้สามารถทำให้ราชินีหวังหานให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ ไม่ก็ในมือของเขาได้กุมความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ ไม่ก็ตัวของเขาเองก็มีประวัติที่ผู้อื่นไม่รู้
ด้วยเหตุนี้เอง ซวี๋จื้อเจี๋ยจึงต้องการดึงตัวหลี่ชิเย่เป็นพวก หวังจะอาศัยหลี่ชิเย่ทำให้เกิดเป็นช่องว่าง และอาศัยสิ่งนี้เอาชนะจวนหวัง
จะอย่างไรเสีย ในเวลานี้ศึกแย่งชิงอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ถึงจุดเดือดแล้ว เป็นเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ เพียงแต่ทุกคนยังไม่ถึงขั้นหักหน้ากันอย่างเปิดเผยเท่านั้น
ในฐานะผู้มีหวังได้เป็นกษัตริย์รุ่นต่อไป แม้ว่าดูเหมือนซวี๋จื้อเจี๋ยจะไม่มีความเคลื่อนไหว แต่ภายในใจของเขาก็ร้อนรน กล่าวสำหรับเขาแล้ว ไม่ต้องกังขาเลยว่าจวนหวังคือคู่ต่อสู้คนหนึ่งของเขา
หากเขาต้องการกลายเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ไม่ก็คือเอาชนะจวนหวัง ไม่ก็คือดึงจวนหวังมาเป็นพวก ให้จวนหวังมายืนอยู่ข้างเขาและสนับสนุนให้เขาได้เป็นกษัตริย์
แต่ทว่า ระยะหลังนี้ข่าวคราวในจวนหวังปิดกันเงียบ ทุกระดับชั้นในจวนหวังถูกปิดกั้นชนิดน้ำก็ยังเล็ดรอดไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ซวี๋จื้อเจี๋ยจึงต้องการหลี่ชิเย่ที่เป็นเงื่อนไข โดยอาศัยหลี่ชิเย่ทะลวงเปิดประตูของจวนหวังออกมา
ไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะจวนหวัง หรือว่าดึงเอาจวนหวังมาเป็นพวก เขาจำเป็นต้องงัดเอาตัวหลี่ชิเย่ขึ้นมาให้ได้เสียก่อน ดูให้แน่ชัดว่าหลี่ชิเย่มีอะไรกันแน่ที่คู่ควรให้ราชินีหวังหานให้ความสำคัญถึงเพียงนี้
ไอลีนโนเวล
“ไม่สนใจ อย่ามารบกวนการดื่มสุราของข้า!” หลี่ชิเย่กระทั่งไม่ได้เลิกหนังตาด้วยซ้ำสำหรับคำพูดของซวี๋จื้อเจี๋ย กล่าวเรียบเฉยออกมา โดยขี้คร้านจะไปสนใจซวี๋จื้อเจี๋ยด้วยซ้ำ!
แม้ซวี๋จื้อเจี๋ยเห็นว่าหลี่ชิเย่นั้นเป็นคนที่ดื้อรั้นมาก แต่ก็ยังคงหน้าด้านหัวเราะทีหนึ่ง ทำท่าคารวะแบบจีนและกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ฝืนใจพี่หลี่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะนั่งดื่มสุรากับพี่หลี่จักจอกจะเป็นไร?”
“ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์มานั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนกับข้าได้” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยออกมา
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้บรรยากาศทั่วทั้งโรงเตี้ยมตึงเครียดขึ้นมาทันที แม้แต่สีหน้าของซวี๋จื้อเจี๋ยก็ยังแปรเปลี่ยนไป
จิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยเป็นบุคคลเช่นใด? เสาหลักของหอศักดิ์สิทธิ์ บุคคลที่เป็นตัวแทนของแดนอุดร ตัวเขาเองยังอยู่ในชั้นกษัตราแท้จริงขั้นต่ำ มีกำลังกล้าแข็ง อีกทั้งยังมีตำแหน่งสูงมากด้วยอำนาจ
เฉกเช่นคนอย่างเขานั้น ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม้ให้เกียรติจิ้งจอกเงินซวี๋จื้อเจี๋ยบ้าง กระทั่งกล่าวสำหรับบรรดาศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณ หรือระดับผู้อาวุโสของสำนักแล้ว สามารถนั่งดื่มสุรากับซวี๋จื้อเจี๋ยด้วยกันมันคือเกียรติยศอย่างหนึ่ง
แต่เอากับหลี่ชิเย่สิ พูดออกมาตรงๆ ว่าซวี๋จื้อเจี๋ยนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งดื่มสุรากับเขา มันคือการตบหน้าซวี๋จื้อเจี๋ยฉาดหนึ่งชัดๆ
ต่อให้ซวี๋จื้อเจี๋ยได้รับการอบรมด้านจิตใจมาอย่างดี เมื่อถูกคำพูดที่ตีแสกหน้าของหลี่ชิเย่เข้าให้ก็รับไม่ไหว มันเป็นคำพูดที่ไม่ให้เกียรติเอาเสียเลย
เวลานี้ท่าทางของซวี๋จื้อเจี๋ยดูเหมือนจะขี่หลังเสือ เมื่อถูกคำพูดของหลี่ชิเย่ตีแสกหน้าแล้ว หากเขายังคงยิ้มแย้มต่อไป จะทำให้เขายากที่จะสร้างบารมีโดยแท้
ตูม…เสียงดังสนั่นขึ้นมา จังหวะที่ซวี๋จื้อเจี๋ยกำลังอยู่ในสภาพขี่หลังเสืออยู่นั้น ด้านนอกโรงเตี้ยมพลันปรากฎกำลังทหารจำนวนมากได้ทำการปิดล้อมโรงเตี้ยมทั้งหลังเอาไว้!
ในขณะนี้ ด้านนอกของโรงเตี้ยมปรากฏคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา คนหนุ่มที่เดินนำหน้าเข้ามาพลันชี้หน้าหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางนักเลง และกล่าวว่า “ท่านองครักษ์ เจ้าหนูคนนี้แหละ ขอท่านโปรดแก้แค้นให้กับข้า!”
ชายหนุ่มที่ชี้หน้าด้วยท่าทางนักเลงใช่คนอื่นไกล คือเผิงเวยจิ่นที่เพิ่งจะถูกตบปากอย่างแรงเมื่อครู่นี้เอง ที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือ เผิงเวยจิ่นเพิ่งจะจากไป ก็สามารถหาผู้ช่วยมาได้แล้ว!
…………………………………..