Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2164 เขาฟันหลอ
ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องกลั้นลมหายใจอยู่ด้านนอกโรงเตี้ยม ต่างเฝ้ารอการลงมือของฉู่ชิงหลิน ทุกคนสามารถจินตนาการได้ว่า ยามที่ฉู่ชิงหลินลงมือนั้น เกรงว่าคงเป็นการรื้อถอนฟ้าดิน โรงเตี้ยมทั้งหลังคงถูกทำลายจนกลายเป็นผุยผง
ยามที่ผู้คนจำนวนมากต่างเฝ้ารออยู่ด้านนอกของโรงเตี้ยม ต่างรอคอยการมาถึงของพายุฝนฟ้าคะนอง ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการเห็นว่าฉู่ชิงหลินจะจัดการอัดหลี่ชิเย่เจ้าคนอวดดีผู้นี้อย่างหนักเช่นใด
กระทั่งแม้แต่องครักษ์เมืองหลวงอย่างเฉินซูเหว่ยก็มีสีหน้าที่แฝงด้วยความเยาะเย้ย เขาได้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับหลี่ชิเย่ไปแล้ว แม้ว่าเขาไม่สามารถเชือดเจ้าคนอวดดีผู้นี้ด้วยมือของตนเอง แต่หากได้เห็นเขาถูกฉู่ชิงหลินอัดอย่างหนัก ก็ทำให้รู้สึกสบายใจได้เหมือนกัน
สำหรับจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยนั้น เขาได้เผยให้เห็นท่าทีที่เรียกว่าจะยิ้มก็ไม่เชิง ผู้ที่ไปหาเรื่องกับฉู่ชิงหลินล้วนแล้วแต่ไม่มีจุดจบที่ดีทั้งนั้น เพียงแต่เขากลับจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้างที่ไม่สามารถได้สิ่งที่มีประโยชน์มากกว่านี้จากปากของหลี่ชิเย่ มิฉะนั้นล่ะก็ หากสามารถอาศัยสิ่งนี้มาทำลายจวนหวังได้ และสามารถช่วงชิงบัลลังก์ได้ก่อนผู้อื่นก้าวหนึ่งั้งสิ
แต่ทว่า ขณะที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยอยู่ด้านนอกโรงเตี้ยมนั้น ปรากฏว่าภายในโรงเตี้ยมเงียบสงัดยิ่งนักไม่มีเสียงใดๆ ให้ได้ยินเลย และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ได้เป็นเหมือนดั่งที่ทุกคนได้จินตนาการเอาไว้ว่าจะเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และยิ่งไม่ได้มีการทำลายโรงเตี้ยมจนพังไปทั้งหลังจากการอาละวาดของฉู่ชิงหลินอย่างที่ทุกคนคิดเอาไว้ กระทั่งจัดการส่งเจ้าหลี่ชิเย่คนอวดดีลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และไม่มีภาพของฉู่ชิงหลินที่ซัดจนหลี่ชิเย่คลานกับพื้นเหมือนที่ได้จินตนาการเอาไว้
ในเวลานี้ได้ทำให้ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน ไม่มีใครรู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นภายในโรงเตี้ยมกันแน่ ตามหลักแล้วฉู่ชิงหลินต้องเป็นผู้ที่สามารถกวาดทุกคนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยในกลุ่มคนรุ่นใหม่จะเป็นเช่นนี้ ขณะที่ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงเช่นหลี่ชิเย่นั้น ทุกคนเข้าใจว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่ชิงหลิน
แต่ ภายในโรงเตี้ยมยังคงเงียบสงัดปราศจากเสียงใดๆ ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโจมตีชนิดฟ้าถล่มดินทลาย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ได้ยินเสียงดังเอี๊ยดดขึ้นมาเสียงหนึ่ง มองเห็นประตูใหญ่ของโรงเตี้ยมถูกเปิดออก ทุกคนต่างอดใจไม่ไหวต้องรีบมองเข้าไปภายในโรงเตี้ยม และกลั้นลมหายใจเอาไว้ ต่างต้องการดูว่าสภาพการณ์ภายในโรงเตี้ยมเป็นเช่นใดกันแน่
เวลานี้ปรากฏคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา คือฉู่ชิงหลินนั่นเอง ท่าทางนางไม่ได้เป็นอะไร เวลานี้นางได้เก็บงำกลิ่นอายไว้หมดแล้ว ไม่เห็นร่องรอยของการต่อสู้แม้แต่น้อย นางยังคงดูเยือกเย็นดั่งหิมะ เสมือนหนึ่งเป็นดอกเหมยที่ทระนงอยู่ท่ามกลางหิมะ มองไม่รู้ถึงเส้นสนกลในใดๆ จากท่าทีของนางแม้แต่น้อย
ดูจากท่าทีของฉู่ชิงหลินแล้ว เหมือนว่าไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้นอย่างนั้น เหมือนหนึ่งนางแค่แวะพักอยู่ที่โรงเตี้ยมเพียงชั่วครู่เท่านั้นเอง
ในขณะนี้ทุกคนที่อยู่ด้านนอกโรงเตี้ยมต่างจ้องมองไปที่ฉู่ชิงหลิน ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นภายในโรงเตี้ยมกันแน่
หลังจากที่ฉู่ชิงหลินออกมาแล้วไม่ได้พูดอะไรสักคำ เพียงมองหน้าทุกคนแวบหนึ่ง จากนั้นล่องลอยจากไปโดยไม่ได้หยุดแวะแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ทุกคนที่อยู่ด้านนอกโรงเตี้ยมต่างมองหน้ากันและกัน ขณะมองดูฉู่ชิงหลินที่ล่องลอยจากไป เพราะอะไรฉู่ชิงหลินที่โกรธจนคลั่งกลับสามารถดับเพลิงแห่งความโกรธลงได้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
ในขณะนี้ ภายในโรงเตี้ยมได้มีคนสามคนก้าวเดินออกมา คือหลี่ชิเย่นั่นเอง โดยมีหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งเดินตามมาด้านหลัง
ท่าทีของหลี่ชิเย่ในเวลานี้ดูสบายๆ เป็นธรรมชาติ สบายอกสบายใจ ประดุจไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หลังจากที่พวกเขาทั้งสามก้าวออกมาจากโรงเตี้ยมแล้วก็ไม่ได้หยุดเช่นกัน ขึ้นรถม้าและขับออกไปมุ่งหน้าสู่เขาฟันหลอ
ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกโรงเตี้ยมเพิ่งจะได้สติคืนกลับมา หลังจากมองดูเงาหลังของรถม้าที่แล่นไกลออกไป ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับเสียวสันหลังวาบ และรู้สึกสั่นเทิ้มภายในใจ
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” แม้แต่ระดับผู้อาวุโสของสำนักก็คาดเดาไม่ถูกว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ได้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฐานะของฉู่ชิงหลินคือแม่ทัพใหญ่ของกองทัพระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง อำนาจในมือล้นฟ้า ยิ่งกว่านั้นเบื้องหลังของนางยังมีระดับบรรพบุรุษแต่ละคนที่ให้การสนับสนุนนางอยู่ เรียกได้ว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีไม่กี่คนที่กล้าเป็นศัตรูกับฉู่ชิงหลิน
บวกกับกำลังความสามารถของตัวฉู่ชิงหลินเอง เรียกได้ว่านางนั้นปราศจากผู้ต่อกร อย่างน้อยที่สุดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเป็นเช่นนี้
เวลานี้ฉู่ชิงหลินถึงกับดับเพลิงแห่งความโกรธลง ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้กับหลี่ชิเย่ ไม่ว่าใครก็ตามต่างมองว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ต่อให้เป็นซี๋วจื่อเจี๋ย เฉินซูเหว่ยพวกเขาหากทำให้ฉู่ชิงหลิงต้องโกรธล่ะก็ ต่อให้สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ เกรงว่าคงต้องถูกฉู่ชิงหลังอัดจนน่าเวทนาอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เวลานี้หลี่ชิเย่กลับปลอดภัยไม่เป็นอะไร ตัวเขาที่ยั่วโมโหฉู่ชิงหลินโกรธจัดไม่เพียงไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อยนิด แม้แต่ฉู่ชิงหลินเองก็มีเพลิงโกรธที่ดับสนิทลง ล่องลอยจากไปเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
ภายในใจของทุกคนต่างต่างเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ใช้วิธีการอะไรกันแน่ทำให้เพลิงโกรธของฉู่ชิงหลินดับลงได้ ทุกคนต่างไม่รู้ว่าเจ้าหลี่ชิเย่ที่ไร้ชื่อไร้เสียงผู้นี้มีเสน่ห์อะไรกันแน่
ทั้งองครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ย และจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่กลับออกมาอย่างปลอดภัยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกทั้งแม้แต่เพลิงแห่งความโกรธของฉู่ชิงหลินก็ดับมอดลงด้วย
ทั้งเฉินซูเหว่ยและซี๋วจื้อเจี๋ยต่างก็เป็นแกนกลางอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแห่ง พวกเขายิ่งมีความเข้าในธาตุแท้ภายในของฉู่ชิงหลิน กล่าวได้ว่า ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยากจะหาคนที่สามารถทำให้ฉู่ชิงหลินและค่ายฉู่ต้องหวั่นเกรงได้ ต่อให้มีก็เป็นระดับบรรพบุรุษที่มีอันดับ ซึ่งบรรพบุรุษอันดับดังกล่าวมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แน่นอนที่สุด หลี่ชิเย่ไม่ได้อยู่ในจำนวนนั้น
แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับปลอดภัยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะเดียวกัน ฉู่ชิงหลินก็ได้ดับความโกรธลงแล้ว ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าฉู่ชิงหลินทำอะไรหลี่ชิเย่ไม่ได้ ไม่ว่าหลี่ชิเย่จะอาศัยวิธีการใดๆ ก็ตาม สรุปก็คือฉู่ชิงหลินไม่ได้ลงมือต่อหลี่ชิเย่ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ได้เรื่องหนึ่งว่า หลี่ชิเย่มีวิธีการหรือสิ่งที่ทำให้ฉู่ชิงเหลินต้องหวาดหวั่นอยู่
ถ้าหากฉู่ชิงหลินไม่หวาดหวั่นล่ะก็ เกรงว่าหลี่ชิเย่คงถูกฉู่ชิงหลินอัดจนลงไปคลานกับพื้นแล้ว ใบหน้าที่สุดแสนจะธรรมดาคงถูกอัดจนบวมเป่งเหมือนหัวหมูไปแล้ว
เริ่มจากราชินีหวังหานที่หนุนหลี่ชิเย่เต็มที่ เวลานี้ก็เป็นฉู่ชิงหลินที่หวาดหวั่นต่อหลี่ชิเย่ เบื้องหลังนี้มีเหตุผลใดกันแน่ มีความลับอะไรซ่อนอยู่เล่า?
นาทีนี้ เฉินซูเหว่ยและซี๋วจื้อเจี๋ยทั้งสองคนต่างเก่งแย่งซึ่งกันและกัน ต่างก็เป็นศัตรูกันและกันถึงกับมองตาซึ่งกันและกัน ฉับพลันนั้น พวกเขาทั้งสองคนต่างบังเกิดความคิดเดียวกันนั่นก็คือ ดึงตัวหลี่ชิเย่ให้มาอยู่ฝ่ายของตนเอง
ไม่ว่าจะด้วยวิธีล่อหลอกด้วยผลประโยชน์ หรือใช้กำลังบังคับก็ตาม ต้องนำตัวหลี่ชิเย่มาอยู่กับตนให้ได้ ในมือของหลี่ชิเย่ต้องกุมธาตุแท้ภายในที่น่ากลัวเอาไว้อย่างแน่นอน!
ขณะเดียวกัน ภายในใจของเฉินซูเหว่ยและซี๋วจื้อเจี๋ยทั้งสองคนก็มีแนวความคิดในทิศทางเดียวกัน ถ้าหากหลี่ชิเย่ไม่สามารถใช้ประโยชน์เพื่อฝ่ายตนแล้วล่ะก็ให้ทำลายเสีย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามก็ต้องให้เขาหายไปจากโลกนี้ให้ได้ เนื่องจากหากหลี่ชิเย่ไม่สามารถใช้ประโยชน์เพื่อพวกเขาแล้ว กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วมันคือเรื่องที่อันตรายมาก
ถ้าหากหลี่ชิเย่ไม่สามารถเป็นฝ่ายของพวกเขา ย่อมบ่งบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะยืนอยู่ข้างฝ่ายของจวนหวัง ยืนอยู่ข้างฝ่ายของหวังหาน เมื่อเป็นเช่นนี้หลี่ชิเย่ก็จะกลายเป็นสิ่งกีดขวางที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ของพวกเขา หากเป็นเช่นนี้จริง พวกเขาต้องจัดการกำจัดหลี่ชิเย่ที่เป็นเครื่องกีดขวางนี้เสียก่อนแน่นอน
ดังนั้น ในเวลาเดียวกันทั้งเฉินซูเหว่ยและซี๋วจื้อเจี๋ยทั้งสองคนต่างบังเกิดปณิธานการฆ่าในใจที่แวบผ่านไป
เขาฟันหลอหาใช่เป็นภูเขาลูกหนึ่ง แต่เป็นเทือกเขาที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก ตัวเทือกเขาทั้งลูกเปรียบเสมือนดั่งเป็นมังกรยักษ์ที่ยึดครองพื้นที่ตรงนั้น ท่ามกลางเทือกเขาลูกนี้ มีภูเขาที่ขึ้นลงสลับ มีภูเขาขนาดยักษ์ที่ทะลุเมฆา เมื่อมองจากระยะห่างไกลเหมือนเป็นหิมะที่ขาวสะอาด คล้ายเป็นภูเขาหิมะขนาดยักษ์อย่างนั้น และยังมีหุบขาลึกขนาดยักษ์ที่เหมือนหนึ่งสามารถจุโลกทั้งโลกได้อย่างนั้น มองไม่เห็นก้นเหว…
หลายๆ จังหวะเขาฟันหลอจะปลอดผู้คนมาเยือน และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองก็ได้มีการปิดกั้นไม่ให้ผู้คนได้เข้าไปอยู่หลายครั้ง เบื้องหลังสาเหตุนั้นไม่มีใครทราบ
แต่ว่า มีข่าวเล่าลือกันว่า ในขณะที่ผู้เฒ่ากำแหงก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงขึ้นมานั้น เขาฟันหลอคือเส้นชีพจรใหญ่เส้นหนึ่งที่ลอยล่องอยู่ในแดนพรรษ มีโชคชะตาที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ภายหลังผู้เฒ่ากำแหงได้ลากเอาเทือกเขาฟันหลอทั้งลูกมายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กลายเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
หยางเซิ่นผิงภายใต้การชี้แนะ ได้ควบรถม้าเข้าไปยังบริเวณที่ลึกที่สุดของเขาฟันหลอ หลังจากที่ไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว มองเห็นที่ตรงนี้ปรากฏภูเขาแต่ละลูกที่สูงตระหง่าน โดยที่ภูเขาท สูงตระหง่านแต่ละลูกนั้นเรียงเป็นหน้ากระดาน
เมื่อมองดูจากระยะห่างไกล ภูเขาแต่ละลูกที่เรียงเป็นแถวเป็นแนวเหมือนเป็นฟันที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หนึ่งเดียวที่ทำให้ดูไม่สมบูรณ์ก็คือตรงกลางขาดฟันไปซี่หนึ่ง เหมือนว่าฟันที่เรียงเป็นแถวเป็นแนวมีอยู่ซึ่ตรงกลางหักไปซี่หนึ่งอย่างนั้น
ทั้งหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งต่างมองตากันและกัน เนื่องจากพวกเขาได้มาถึงสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ครั้นมองเห็นภูเขาที่เป็นแถวตรงหน้าตรงกลางหักไปหนึ่ง พวกเขาจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเพราะอะไรที่ตรงนี้จึงได้ชื่อว่าเขาฟันหลอ เรียกว่าเป็นไปตามภาพจริงๆ
หลี่ชิเย่ให้หยางเซิ่นผิงบังคับรถม้าวิ่งผ่านเข้าไปยังภูเขาที่เรียงเป็นแถวโดยวิ่งตรงช่องที่เป็นช่องโหว่นั่น เมื่อรถม้าได้หยุดบริเวณด้านหน้าภูเขาที่เหมือนฟันและหักไปซี่หนึ่งนั้น มองเห็นด้านหน้าเป็นหุบเขาขนาดยักษ์ มันดูเหมือนเป็นหุบเหวขนาดยักษ์และลึกมาก แต่ก็เหมือนเป็นบ่อเหมืองแร่ที่ถูกคนเขาขุดเจาะจนทะลุ ลักษณะคล้ายเป็นกรวยกรอกน้ำที่ข้างบนกว้างข้างล่างแคบ
“นี่ นี่เกิดจากการขุดอย่างนั้นรึ?” หยางเซิ่นผิงถึงกับพึมพำออกมาเมื่อมองเห็นหุบเขาขนาดใหญ่สุดเปรียบเปรยตรงหน้า แม้ว่าหุบเขาขนาดใหญ่สุดเปรียบเปรยตรงหน้าไม่ได้มีร่องรอยของการขุดเจาะ แต่ทว่า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าที่ตรงนี้ต้องเป็นเหมืองแร่ที่ถูกคนเขาขุดมาแล้วแน่นอน
“สถานที่แห่งนี้เคยเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ยิ่ง ในขณะที่ผู้เฒ่ากำแหงยังไม่ทันได้ก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงขึ้นมา ที่ตรงนี้ก็เคยถูกผู้ที่อยู่ในระดับสุดยอดขุดเจาะมาก่อน เพียงแต่ภายหลังได้เสื่อมลง เมื่อผู้เฒ่ากำแหงได้ก่อตั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงขึ้นจึงได้ลากเอาเทือกเขาทั้งลูกมาดื้อๆ ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไปเท่านั้นเอง” ขณะที่หยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งต่างตระหนกกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า หลี่ชิเย่ได้กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“ข้างในนั้นมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่รึ?” จูซือจิ้งถามขึ้นด้วยความแปลกใจ ด้วยหุบเหวที่มีขนาดใหญ่และลึกถึงเพียงนี้ ย่อมสามารถประเมินได้ว่า ครั้งนั้นมีการขุดลึกลงไปเท่าไรกัน นางสงสัยว่าหุบเหวลึกนี้ลึกจนไม่เห็นก้นเหวหรือไม่
“พูดยาก บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าขุมทรัพย์เสียอีก” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เฉกเช่นโสมโลหิตที่ว่านั่น ต่อให้เป็นโสมโลหิตอายุพันล้านปีเมื่อเทียบกับมันแล้ว เกรงว่าไม่มีคู่ควรจะกล่าวถึง”
ทั้งหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อได้ฟังคำนี้แล้ว กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว โสมโลหิตพันล้านปีคือของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้แล้ว สิ่งนี้เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในปัจจุบันก็ไม่มี แต่โสมโลหิตลักษณะเช่นนี้กลับไม่คู่ควรจะกล่าวถึง มันคือสิ่งของอะไรกันแน่นะ?
……………