Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2187 ป้าซั่ง
ตระกูลเผิงถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งก็เพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้นเอง ในขั้นตอนระหว่างนี้หลี่ชิเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรตลอดเวลาไม่ได้ห่างแม้เพียงก้าวเดียว กระทั่งไม่ได้ลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นและกางมือขนาดใหญ่ขึ้นมา เพียงเท่านี้ก็จัดการทำลายตระกูลเผิงจนสิ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไรอย่างนั้น
เวลานี้ แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของหอศักดิ์สิทธิ์และกองกำลังซั่งก็ถูกทำให้ตกใจสุดขีด ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งต่างมีสีหน้าที่ซีดเผือด ขาทั้งสองข้างของพวกเขาถึงกับสั่นเทาด้วยใจไม่สู้
หลี่ชิเย่นั่งอยู่ที่ตรงนั้น ในเวลานี้เขาไม่ได้มีกลิ่นอายที่สะเทือนฟ้า ไม่มีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ยิ่งไม่มีอำนาจที่อยู่เหนือเก้าชั้นฟ้า เขานั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ธรรมดามาก และตามอารมณ์ แต่ว่า เพียงเท่านี้เขาก็อยู่สูงเด่น และปราศจากผู้ต่อกรเสียแล้ว
ในเวลานี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองตากันและกันเงียบๆ แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม แต่ภายในใจเริ่มเชื่อแล้วว่าหลี่ชิเย่ก็คือบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากหุบเหวบรรพชนแล้ว มีเพียงบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากหุบเหวบรรพชนเท่านั้นจึงสามารถแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
“พวกเจ้าต้องการให้ข้าลงมือ หรือว่าจะจัดการตัวเองล่ะ?” หลี่ชิเย่ในเวลานี้มองดูตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งด้วยท่าทีที่เรียบเฉยยิ่ง และกล่าวด้วยท่าทางเอ้อระเหยสบายอกสบายใจ
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทุกต่างต่างมองไปที่ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่ง แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว พวกเขาถึงกับทำอะไรไม่ถูกในเวลานี้
นาทีนี้แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นสูงก็ปราศจากความมั่นใจในทันที เนื่องจากต่อให้พวกเขาที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ดร่วมมือกันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงเหมือนพลิกฝ่ามือ แม้จะกล่าวว่าอาศัยกำลังของพวกเขา ขอเพียงเทพแท้จริงเช่นพวกเขาร่วมมือกัน การที่จะทำลายล้างตระกูลเผิงที่เป็นตระกูลขุนนางโบราณเช่นนี้ไม่มีข้อกังขาอยู่แล้ว แต่ทว่า หากคิดจะทำอย่างหลี่ชิเย่ที่ทำลายล้างตระกูลเผิงตามอารมณ์แล้วล่ะก็ เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว
“เจ้า เจ้า เจ้าอย่าได้ข่มเหงกันมากเกินไป” เวลานี้ปราชญ์ภูผาพิโรธร้องเสียงดังออกมาด้วยท่าทีแข็งนอกอ่อนใน
“ถูกต้อง ข้านี่แหละข่มเหงคนเกินไป” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ว่าใครก็ตามเป็นศัตรูกับข้า ฆ่าไม่มีละเว้น นี่เป็นการเลือกที่ง่ายมาก”
“สุดยอดบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพ!” ในเวลานี้เอง เสียงที่เย็นชาดังขึ้น กล่าวน่าเกรงขามว่า “หากอยู่ในฐานะบรรพบุรุษ ก่อนอื่นต้องอาศัยคุณธรรมทำให้ผู้อื่นยอมรับ!”
ในขณะนี้เอง ปรากฏคนผู้หนึ่งที่ก้าวเดินออกมา และเขาได้ยืนอยู่ข้างกายของปราชญ์ภูผาพิโรธ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้เห็นว่าเขาไปยืนอยู่ข้างกายของปราชญ์ภูผาพิโรธได้อย่างไรกัน คล้ายดั่งเขาแค่ก้าวเท้าก้าวเดียวก็จากฟากฟ้ามายืนอยู่ข้างกายของปราชญ์ภูผาพิโรธอย่างนั้น
เขาคือผู้เฒ่าผู้หนึ่ง สวมชุดคลุมแพรสีแดงทั้งชุด บนผ้าคลุมแพรมีการเดินริ้นทองเอาไว้ ยิ่งกว่านั้นยังได้ปักมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง แยกเขี้ยวกางเล็บเปี่ยมด้วยความพาล และสูงส่งสุดจะเอ่ย
ยามที่ผู้เฒ่านี้ปรากฏตัวขึ้นมานั้น เขาเสมือนหนึ่งศีรษะค้ำท้องฟ้าอย่างนั้น เปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่ดุจดั่งภูเขายักษ์ที่สูงตระหง่าน เหมือนว่าการยืนอยู่ที่ตรงนั้นของเขาก็ได้ครอบครองฟ้าดิน ประดุจเขาสามารถบงการฟ้าดินนี้อย่างนั้น
“ท่านบรรพบุรุษ…” ปราชญ์ภูผาพิโรธถึงกับดีใจเป็นยิ่งนัก เมื่อมองเห็นบรรพบุรุษผู้นี้ปรากฏตัวออกมา สี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งพวกเขาต่างแสดงความเคารพยิ่ง แม้แต่ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ก็ได้แสดงความเคารพเช่นกัน
มีคนหนุ่มไม่กี่คนที่รู้จักเขาเมื่อมองเห็นผู้เฒ่าลักษณะผู้นี้ แต่ทว่า ในเมื่อกระทั่งสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งยังให้ความเคารพนอบน้อมถึงเพียงนี้ ก็เข้าใจได้ถึงผู้เฒ่าผู้นี้ว่ามีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาแล้ว
“ป้าซั่ง…” เทพดาบเดือดซวี๋เฮ่าตงที่ยืนอยู่ข้างรถกษัตริย์ตลอดถึงกับมีสีหน้าที่บึ้งตึง เมื่อได้เห็นผู้เฒ่าผู้นี้ ม่านตาหรี่ลงและเรียกชื่อนี้ออกมา
“ป้าซั่ง…” ระดับผู้อาวุโสสำนัก และระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วชื่อนี้ดั่งเสียงที่ดังก้องอยู่ในรูหู
“ป้าซั่ง! บุคคลอันดับหนึ่งของกองกำลังซั่งในตำนาน” ระดับผู้อาวุโสสำนักแห่งหนึ่งถึงกับเสียวสันหลังวาบ พึมพำออกมาว่า “ตามตำนาน เขา เขาได้เสียชีวิตไปนานแล้วไม่ใช่รึ? ทำไมจึงยังมีชีวิตอยู่บนโลกอีก”
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับหวาดกลัวจนขนลุกซู่ เนื่องจากกล่าวสำหรับคนรุ่นอาวุโสแล้ว ชื่อป้าซั่งชื่อนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน มีความแข็งแกร่งมากเหลือเกิน
ป้าซั่งคือบุคคลอันดับหนึ่งของกองกำลังซั่ง ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ได้วางรากฐานให้กับกองกำลังซั่งถึงฐานะในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ในครั้งนั้นขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ กองกำลังซั่งเคยครองอำนาจในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก ภายหลังลือกันว่าป้าซั่งได้เสียชีวิตลง และส่งผลให้กองกำลังซั่งสูญเสียความได้เปรียบในการครองอำนาจไป
“ที่แท้ท่านยังไม่ตาย เพียงแต่กักตนไม่ยอมปรากฏตัว” เทพดาบเดือดซวี๋เฮ่าตงดูจะหวั่นเกรงเมื่อมองเห็นป้าซั่ง
เนื่องจากข่าวการเสียชีวิตของป้าซั่งที่แพร่ออกมาในเวลานั้น เขาก็อยู่ในระดับเทพแท้จริง ขั้นสวรรค์ชั้นที่หนึ่งแล้ว เมื่อมีการกักตนมาอย่างยาวนานถึงเพียงนี้ ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเขาได้กลับกลายเป็นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมอีก
“กาลเวลาอันยาวนาน“ ป้าซั่งเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ครั้งนั้นขณะอยู่ในขั้นสวรรค์ชั้นที่หนึ่งนั้น การบำเพ็ญเพียรได้ตกอยู่ที่คอขวด ดังนั้น จึงได้กักตน มาวันนี้ได้ก้าวสู่ขั้นสวรรค์ชั้นที่สามแล้วจึงกลับคืนสู่โลกภายนอก ไม่นึกเลยว่าก็ได้พบกับเรื่องเช่นนี้เข้า”
บรรดาระดับผู้อาวุโส และระดับบรรพบุรุษจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ กระทั่งมีผู้ที่ร้องเสียงหลงออกมา “เทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สาม!”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าป้าซั่งคือเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สาม ถึงกับใจหายใจคว่ำขึ้นมา
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากต่างมองหน้ากันและกัน ป้าซั่งในฐานะเทพแท้จริง ขั้นสวรรค์ชั้นที่สาม หรือเขาจะกลายเป็นเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงรึ? หรือว่าเขาจะได้เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงรึ?
กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนของแดนสามเซียนนั้น เมื่อฝึกจนก้าวไปถึงระดับเทพแท้จริงขั้นสูงแล้ว ถือว่าเป็นการเดินไปถึงสุดทางของเส้นทางสายนี้แล้ว
ท่ามกลางสุดสายทางเช่นนี้ หากคิดจะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าก็จะมีเส้นทางสองทางที่จะเดิน ไม่ก็ขึ้นสู่สวรรค์เป็นเทพ ไม่ก็บรรลุสัจธรรมเป็นราชัน
ทว่าการบรรลุสัจธรรมเพื่อเป็นราชันนั้นจะยากยิ่งกว่า ตรงกันข้ามการก้าวขึ้นสวรรค์เป็นเทพจะง่ายกว่ากันนิดหนึ่ง
ดังนั้น ยามที่ระดับเทพแท้จริงบรรลุขั้นสูงสมบูรณ์แล้ว ถ้าหากผู้บำเพ็ญตนสามารถทะลุคอขวดนี้ไปได้ สร้างลัคนาที่สองขึ้นมา เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่ลัคนาที่สองบุกเบิกสร้างเสร็จแล้ว ก็จะก้าวขึ้นสู่ขั้นที่เรียกว่าขั้นขึ้นสู่สวรรค์!
หากบุกเบิกสร้างลัคนาที่สามได้สำเร็จ ก็ได้รับการยกย่องว่าเทพแท้จริงขั้นชั้นฟ้าที่หนึ่ง สร้างลัคนาที่สี่ได้ก็จะเป็นเทพแท้จริงขั้นชั้นฟ้าที่สอง…และจะนับเช่นนี้ต่อเนื่องกันไป
สวรรค์ชั้นฟ้าจะมีอยู่ด้วยกันเก้าชั้น ดังนั้นการก้าวขึ้นสู่สวรรค์เป็นเทพ ระดับเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งมากที่สุดก็คือเทพแท้จริงขั้นชั้นฟ้าที่เก้า และจะมีสิบเอ็ดลัคนาในครอบครอง
ครั้นฝึกจนสำเร็จเทพแท้จริงขั้นชั้นฟ้าที่เก้าสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้ว หากสามารถทะลุคอขวดได้อีก ด้วยการสร้างลัคนาทีสิบสองขึ้นมาได้ ก็จะก้าวขึ้นสู่ขั้นที่เรียกว่า ขั้นอมตะ!
ขณะที่การบรรลุสัจธรรมเพื่อเป็นราชันจะแตกต่างกัน การบรรลุสัจธรรมเป็นราชันจะเริ่มต้นด้วยลัคนาจตุลักษณ์ เมื่อทะลุคอขวดได้แล้วทำการฝึกต่อให้ลัคนาจตุลักษณ์กลายเป็นน้ำพุแห่งสัจธรรม ก็เท่ากับบรรลุสัจธรรมได้เป็นผลสำเร็จ และได้รับการยกย่องว่าเป็นราชันแท้จริง
หลังจากที่บรรลุสัจธรรมได้เป็นผลสำเร็จแล้ว ราชันแท้จริงก็จะมีสิบสองลัคนาในครอบครอง แน่นอน การบรรลุสัจธรรมเป็นราชันสำเร็จไม่ได้บ่งบอกว่าคือผู้ปราศจากผู้ต่อกรโดยแท้จริง เส้นทางสำหรับราชันแท้จริงยังอีกยาวไกลให้ได้ก้าวเดิน เขาจะต้องทำการจุดติดลัคนาแต่ละลัคนาให้ได้! สุดท้าย จึงสามารถก้าวต่อไปยังเส้นทางที่มุ่งสู่การเป็นปฐมบรรพบุรุษได้
อาจกล่าวได้ว่า การบรรลุสัจธรรมเป็นราชันยากกว่าการก้าวขึ้นสู่สวรรค์เป็นเทพมากมายยิ่งนัก ขณะที่ราชันแท้จริงต้องการเป็นปฐมบรรพบุรุษยิ่งยากกว่า ไม่รู้ว่ายากกว่าการบรรลุสัจธรรมเป็นราชันกี่ร้อยกี่พันเท่า
กล่าวอย่างไม่เป็นการโอ้อวดว่า ทุกยุคทุกสมัยสามารถมีราชันแท้จิรงได้หลายองค์ กระทั่งในช่วงรุ่งเรืองขีดสุดสามารถให้กำเนิดราชันแท้จริงได้เป็นสิบองค์ แต่ทว่า ต้องการให้กำเนิดปฐมบรรพบุรุษสักคนล่ะก็ยากนัก กระทั่งบางครั้งหลายยุคหลายสมัยจึงสามารถให้กำเนิดปฐมบรรพบุรุษได้คนหนึ่ง!
เนื่องเพราะการบรรลุสัจธรรมเป็นราชันยากกว่าการก้าวขึ้นสู่สวรรค์เป็นเทพ หากจะพูดถึงในระดับเดียวกัน ราชันแท้จริงย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าเทพแท้จริงอยู่มากทีเดียว หากเทพแท้จริงต้องการแย่งชิงความเป็นหนึ่งกับราชันแท้จริงล่ะก็ ต้องสำเร็จขั้นอมตะก่อนจึงจะทำได้!
ถ้าหากจะกล่าวถึงในแดนลัทธิเซียน แดนลัทธิราชันแล้ว เทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สามนั้นบางทีอาจไม่นับเป็นอะไรได้ แต่ทว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในวันนี้ได้เสื่อมไปมากแล้ว ระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สามเรียกได้ว่าปราศจากผู้ต่อกรเสียแล้ว
เวลานี้ป้าซั่งที่อยู่ตรงหน้าถึงกับเป็นเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สาม แล้วจะไม่ให้ผู้คนต้องลุกขึ้นยืนแสดงความเคารพเลื่อมใสอย่างสุดซึ้งได้อย่างไร จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกหวั่นเกรงได้อย่างไรเล่า
ป้าซั่งในเวลานี้จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ถ้าหากท่านเป็นบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเราจริง สมควรอาศัยคุณธรรมทำให้ผู้อื่นยอมรับ ทุ่มเทเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง…”
“ข้าควรจะต้องทำอย่างไร ยังจะให้เจ้ามีโอกาสมาชี้มือชี้ไม้อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ได้กล่าวตัดบทป้าซั่ง กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “เวลานี้เจ้าคุกเข่าลงแทบเท้าข้ายังทัน ข้าสามารถละเว้นความตายให้กับเจ้า!”
พลันที่คำพูดนี้ออกมาจากปากของหลี่ชิเย่ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ตัวของเขา ทุกคนล้วนแล้วแต่สะดุ้งในใจ คำพูดลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่าอันธพาลไร้ที่ติแล้ว
ถึงกับสั่งให้เทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สามมาคุกเข่า ช่างเป็นความพาลเช่นใดเล่า ในโลกนี้ยังจะมีใครทำได้อีก?
เวลานี้ทุกคนต่างไม่สงสัยในฐานะของหลี่ชิเย่อีกแล้ว ถ้าหากจะบอกว่ามีใครกล้าสั่งให้ระดับเทพแท้จริงที่มีกำลังความสามารถขั้นสวรรค์ชั้นที่สามมาคุกเข่าให้ตน ก็คงมีเพียงบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเขาแล้วล่ะ
เวลานี้ ไม่รู้ว่ามีสายตาจำนวนเท่าไรที่มองไปที่หลี่ชิเย่กับป้าซั่ง ศึกระหว่างพวกเขาทั้งสองเป็นการบ่งบอกถึงการแย่งชิงอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงระหว่างขั้วอำนาจใหม่และเก่า โดยมีหลี่ชิเย่เป็นตัวแทนของคนรุ่นเก่า ขณะที่ป้าซั่งแทนคนรุ่นหลัง
สีหน้าของป้าซั่งดูไม่จืดถึงขีดสุด เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ดวงตาทั้งสองดูเข้มและเผยปณิธานการฆ่าออกมา กล่าวน่าเกรงขามว่า “ข้ากลับจะไม่เจียมตน ต้องการทดสอบดูว่าผู้เป็นบรรพบุรุษจะแข็งแกร่งสักเพียงใด”
“ท่านไม่เจียมตัวจริงๆ ใยต้องให้บรรพบุรุษลงมือ” ในเวลานี้เอง เสียงที่แก่หง่อมเสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นผู้เฒ่าผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าสุด ผู้เฒ่าผู้นี้มีกระบี่โบราณเล่มหนึ่งที่กอดแนบอกเอาไว้
พลันที่ผู้เฒ่าผู้นี้ก้าวออกมา ผู้คนจำนวนมากต่างไม่รู้จักเขา แต่หยางเซิ่นผิงกลับรู้จัก เขาก็คือผู้เฒ่าที่พวกเขาเคยพบเจอมาก่อนที่เขาทิ้งกระดูก
“หลี่เชียน เป็นท่าน…” แม้แต่ป้าซั่งที่อยู่ในฐานะระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นที่สามก็ต้องมี่สีหน้าที่เปลี่ยนไป ถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวหลังจากมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้แล้ว
“ถูกต้อง เป็นข้าเอง” ผู้เฒ่าผู้นี้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ โดยไม่ได้มีอำนาจที่สะเทือนฟ้า แต่ทว่า ขณะที่เขายืนอยู่ตรงนั้นกลับทำให้ป้าซั่งรู้สึกหวาดหวั่นยิ่งนัก
“หลี่เชียน เทพกระบี่ผู้พิทักษ์!” ระดับบรรพบุรุษร้องเสียงดังขึ้นมาด้วยความหวาดผวา เมื่อได้ยินชื่อผู้เฒ่าผู้นี้
ขณะที่ผู้เฒ่าผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมานั้น ไม่ว่าจะเป็นเทพดาบเดือดซวี๋เฮ่าตง หรือระดับบรรพบุรุษคนอื่นๆ ต่างทยอยกันโค้งคำนับให้กับเขาเพื่อแสดงความเคารพ
“เทพกระบี่ผู้พิทักษ์…” หยางเซิ่นผิงถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินฉายานี้แล้ว เขารู้ว่าผู้เฒ่าผู้นี้ต้องมีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา นึกไม่ถึงว่ากลับมีประวัติความเป็นมาที่สะเทือนฟ้าถึงเพียงนี้
ผู้เยาว์ที่ไม่เคยได้ยินชื่อฉายาเทพกระบี่ผู้พิทักษ์มาก่อน ถึงกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ใครคือเทพกระบี่ผู้พิทักษ์รึ?”
…………………………………….