Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2203 ลอบสังหาร
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “แม้แผ่นดินกว้างใหญ่กว่านี้ข้าก็ไปมาได้อย่างสะดวก ก็แค่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเท่านั้นเอง ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึง จะทำลายล้างเสียเมื่อไรก็ได้ มันจะไปยากอะไร? อย่าว่าแต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของแดนลัทธิพรรษเลย ต่อให้เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของแดนลัทธิเซียน มันจะไปยากอะไรหากข้าจะทำลายมันเสีย!”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้เหล่าบรรพบุรุษเช่นนักบวชหยางหมิงล้วนแล้วแต่พูดอะไรไม่ออก เป็นคำพูดที่พูดได้ยโสเหลือเกิน ตัวอยู่แดนลัทธิพรรษ แต่อ้าปากว่าจะทำลายล้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของแดนลัทธิเซียน กล่าวอย่างไม่เป็นการโอ้อวดเลย นี่เป็นเรื่องที่อกตัญญู
ถ้าหากคำพูดเช่นนี้ลือไปถึงแดนลัทธิเซียน และมีผู้ยิ่งใหญ่คนใดคนหนึ่งเกิดต้องการเอาจริงเอาจังขึ้นมาล่ะก็ เมื่อระดับปราศจากผู้ต่อกรลงมาล่ะก็ มันเป็นเรื่องที่เพียงพอจะทำให้สำนักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ต้องสั่นเทาอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา จึงไม่มีใครยินดีไปต่อปากต่อคำ แม้ว่าในใจของพวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดที่อวดดีแบบนี้ของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว และเข้าใจว่าเป็นการอวดดีและโง่เขลาของหลี่ชิเย่อยู่แล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ต้องการไปวิพากวิจารณ์ จะอย่างไรเสียเมื่อต้องเกี่ยวพันถึงแดนลัทธิเซียน พวกเขาก็กลายเป็นระมัดระวังอย่างยิ่ง
ตึง…ทันทีที่หลี่ชิเย่กล่าวขาดคำในพริบตาเดียวนั่นเอง ปรากฏประกายเยือกเย็นที่ทิ่มแทงเข้าหาคอหอยของหลี่ชิเย่ เป็นการลอบโจมตีหวังผลให้หลี่ชิเย่ถึงตายในคราเดียว
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ประกายเยือกเย็นที่ปรากฏขึ้นกะทันหันไม่เป็นไปตามที่หวัง ไม่สามารถแทงทะลุคอหอยของหลี่ชิเย่ การลอบโจมตีอย่างกะทันหันนี้สามารถถึงตายได้ทันที มีความรวดเร็วที่สุดเปรียบเปรยและประกายที่แหลมคมยิ่งนัก แต่ว่า ยังคงไม่รอดไปจากฝ่ามือของหลี่ชิเย่ไปได้ นิ้วมือของหลี่ชิเย่พลันคีบประกายเยือกเย็นที่ทิ่มแทงเข้ามาเอาไว้ได้
แต่ว่า ในพริบตาเดียวที่ถูกคีบเอาไว้นั้น ประกายเยือกเย็นสายนี้ก็ได้หายไปโดยทันที เหมือนสามารถหนีรอดไปได้โดยพลัน ไม่สามารถมองเห็นว่าเป็นใครที่ลงมือ ไม่มีใครเห็นว่าเป็นการลอบฆ่าในลักษณะเช่นใด
เหมือนว่าคนที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมมาก สามารถไปมาอย่างไร้ร่องรอย โดยเฉพาะในถิ่นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ยังคงทำได้ถึงเพียงนี้ นับว่าเยี่ยมยอดมาก
“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่หัวเราะ และยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น รอให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือ
พวกของนักบวชหยางหมิงถึงกับกลั้นลมหายใจกับการที่มีผู้ลอบสังหารหลี่ชิเย่ขึ้นมากะทันหัน พวกเขาย่อมคาดหวังให้ผู้ที่แอบอยู่ในที่มืดสามารถลอบสังหารหลี่ชิเย่ได้สำเร็จ
ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น ประกายเยือกเย็นพลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อาศัยท่วงท่าสังหารที่เด็ดขาดแทงเข้าบริเวณกลางหลังของหลี่ชิเย่ นาทีนี้ประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ ภายใต้การสังหารเด็ดขาดที่รวดเร็วยิ่ง รวดเร็วจนผู้คนมีปฏิกิริยารับไม่ทัน ทำให้ในใจบังเกิดความหวาดกลัวจนขนลุกซู่
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น หลี่ชิเย่ไม่ได้หันหลังกลับไปมองด้วยซ้ำแม้ต้องเผชิญกับการสังหารที่เด็ดขาดเช่นนี้ เพียงงอนิ้วแล้วก็ดีดออกไปเท่านั้น ก็สามารถเบี่ยงเบนเป้าลอบสังหารเด็ดขาดออกไป
“ปรากฏตัวออกมาเสีย” หลี่ชิเย่ยิ้มทีหนึ่งพร้อมกับมือขนาดใหญ่ที่คว้าไปกลางอากาศ ได้ยินเสียงดังปัง อากาศดุจดั่งเป็นน้ำที่กระเพื่อมเป็นวงกว้างออกไป ถูกหลี่ชิเย่โจมตีจนทะลุ ทำลายแหล่งที่ซ่อนของศัตรูจนแหลกละเอียดไปโดยพลัน
จังหวะที่หลี่ชิเย่โจมตีทะลุอกาศธาตุนั้น ได้ยินเสียงดังแว้งค์ขึ้นมาเสียงหนึ่ง ที่ตรงนั้นได้ปรากฏเงาของคนผู้หนึ่ง เป็นเงาของผู้หญิงที่มีทรวดทรงองเอวที่พลิ้วไหวคนหนึ่ง แต่ทว่า มันเป็นการมองเห็นเพียงแวบเดียวเท่านั้น ทันทีที่ปรากฏออกมาก็ได้หายตัวไปโดยฉับพลัน ไม่รู้ว่าผู้หลบซ่อนตัวอยู่ในนั้นเป็นผู้ใด
“นับว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง กฎเกณฑ์ที่ไม่ใช่ช่องว่าง และไม่ใช่สุดยอดวิชา ยิ่งไม่ใช่อาศัยของวิเศษ อาศัยเพียงหญ้าประหลาดต้นหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจระคนกับความแปลกใจ เพียงยิ้มกล่าวเมินเฉยเมื่อมองเห็นร่างเงาที่หายตัวไปโดยพลันนั่น
หลี่ชิเย่ออกปากพูดถึงความลึกลับพิสดารที่อยู่เบื้องหลังได้ทันที พลันทำให้บรรดานักบวชหยางหมิงที่เป็นระดับบรรพบุรุษเหล่านั้นตกใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเขารู้แล้วว่าผู้ที่ลงมือลอบโจมตีนั้นเป็นใคร และพวกเขารู้ถึงผู้ลงมือลอบโจมตีมีฝีมือและของวิเศษเช่นใด
เวลานี้หลี่ชิเย่แค่พูดขึ้นมาตามอารมณ์ก็สามารถพูดได้ถูกต้อง แล้วจะไม่ให้พวกเขาต้องตกใจยิ่งได้อย่างไรเล่า
“ปิงเอ่อร์ รีบหนีไป เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา รีบกลับไปที่หวู่ถิงและรายงานแจ้งเหตุการณ์ให้บรรดาบรรพบุรุษทราบ” ในเวลานี้เอง หนึ่งในบรรดาบรรพบุรุษที่ถูกพันธนาการเอาไว้ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษที่มีชาติกำเนิดมาจากจูเซียงหวู่ถิงร้องเสียงดังขึ้นมาทันที เพื่อเตือนผู้ที่แอบซ่อนตัวอยู่ในที่มืด
“ในเมื่อมาแล้วก็อย่าคิดหนีไปได้อีก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “คนที่ข้าหลี่ชิเย่คิดจะจับ ไหนเลยจะปล่อยให้หนีไปได้ง่ายดาย”
ขาดคำ หลี่ชิเย่เปิดลัคนาออกมา ได้ยินเสียงแว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ต้นโลกดึกดำบรรพ์ปรากฏ ต้นโลกดึกดำบรรพ์พลันกวาดออกไปเสียงดังซวบบ ทุกสิ่งได้กลับคืนสู่ดั้งเดิม จะเป็นช่องว่างก็ดี กาลเวลาก็ช่าง ในขณะที่ต้นโลกดึกดำบรรพ์กวาดผ่านไปนั้น ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่กลับคืนสู่ความเป็นดั้งเดิม
จังหวะที่ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเป็นดั้งเดิมนั้น ผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่พลันเปิดเผยฐานะของตนออกมา ต่อให้ต้นหญ้าประหลาดที่นางอาศัยพรางตัวนั้นมีความฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งก็ตาม แต่ภายใต้ต้นโลกดึกดำบรรพ์ก็ไม่อาจหลบซ่อนตัวได้อีกต่อไป แม้จะย้ายที่หลบซ่อนตัวก็ยังทำไม่ได้
“หนี…” บรรพบุรุษของจูเซีนงหวู่ถิงร้องเสียงดังออกมา เมื่อเห็นว่าฐานะถูกเปิดโปงออกมา
ผู้หญิงที่ถูกเปิดเผยฐานะก็รู้สึกตกใจอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครสามารถทำลายการซ่อนเร้นกายาเช่นนี้ของนาง มาวันนี้กลับถูกหลี่ชิเย่ทำลายได้อย่างง่ายดาย นางเองก็มีปฏิกิริยาที่ว่องไวยิ่ง ในวินาทีที่มองแวบเดียวนางได้พุ่งตัวขึ้นไปหมายหลบหนีไปจากราชสำนัก
“คิดจะหนีรึ สายไปเสียแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าว พร้อมกับมือขนาดใหญ่ที่สยบลงมาอย่างรวดเร็ว
“ทำลาย…” ทวนในมือผู้หญิงดั่งมังกรที่ตื่นตระหนก ดุจมังกรคำรามบนนภา ทวนส่งประกายเยือกเย็นวูบวาบออกมา หมายแทงทะลุท้องฟ้าในทวนเดียว และทะลุผ่านมือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่ เมื่อมองเห็นมือขนาดใหญ่ที่สยบลงมา
แต่ทว่า ในขณะนี้หลี่ชิเย่มีพลังต้นกำเนิดสัจธรรมที่เพิ่มเติมเข้ามา มีพลังของผู้เฒ่ากำแหงอยู่ในครอบครอง ต่อให้เป็นราชันแท้จริงมาด้วยตนเองก็ต้องถูกสยบสถานเดียว ไม่สามารถต่อกรได้อยู่แล้ว
เสียงปังดังขึ้น นอกจากทวนจะไม่สามารถแทงทะลุมือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่ได้แล้ว พริบตาเดียวที่มือใหญ่ของหลี่ชิเย่ที่ตบลงมานั้น ทำให้นางต้องตกลงไปนอนอยู่บนพื้น
ขณะที่นางยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา เสียงโซ่เหล็กที่ดังตึงตึงตึงขึ้นมา ในเสี้ยววินาทีนั้นเองกฎเกณฑ์ปฐมบรรพบุรุษก็ทำการพันธนาการร่างกายของนางเอาไว้อย่างแน่หนา ทำให้นางแม้คิดจะกระดิกตัวยังยาก
ผู้หญิงคนนี้ดิ้นรนอย่างแข็งกร้าวแต่ก็ไร้ประโยชน์ เหมือนอย่างที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้อย่างนั้น เว้นแต่พวกเขาจะแข็งแกร่งจนสามารถพลิกต้นกำเนิดสัจธรรมขึ้นมาได้ มิฉะนั้นล่ะก็เป็นไปไม่ได้ที่จะดิ้นหลุดจากกฎเกณฑ์ปฐมบรรพบุรุษได้อยู่แล้ว
“นังหนูหัวแข็งน่าดูนี่” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้พูดขึ้นหลังจากได้พันธนาการผู้หญิงคนนี้เอาไว้แล้ว
มองเห็นผู้หญิงที่ถูกพันธนาการไว้นั้นมีอายุน้อยมาก อีกทั้งยังดูงดงามยิ่งนัก ความงามของนางนั้นเมื่อเทียบกับหวังหานและฉู่ชิงหลินแล้วเรียกได้ว่างดงามกว่าไม่มีด้อยกว่าอยู่แล้ว
ผู้หญิงคนนี้มีคู่ดวงดาที่สดใสเสมือนดั่งดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าอย่างนั้น คิ้วหนาดกแกร่งดังกระบี่ แลดูลักษณะองอาจห้าวหาญ แม้ว่านางไม่ได้สวมชุดเกราะบนตัว แต่สวมชุดรัดรูปแลดูปราดเปรียวตรงไปตรงมา ขณะเดียวกันก็ได้ทำให้รูปร่างที่สมส่วนปรากฏแก่ส่ายตาทั้งหมด
สะโพกกลมกลึงเอวคอดดั่งผึ้งปรากฏแก่สายตาโดยไม่มีการซ่อนเร้นอำพราง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้นางที่ถูกพันธนาการเอาไว้ ทำให้อกที่เต่งตึงคู่นั้นทะลุขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านับว่ามีรูปโฉมที่สวยหยาดเยิ้ม รูปร่างน่าประทับใจ แต่ว่า สิ่งที่ดึงดูดสายตาผู้คนกลับไม่ใช่รูปโฉมหรือรูปร่างที่งดงามของนาง แต่เป็นกลิ่นอายสายหนึ่งที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของนาง กลิ่นอายสายนี้รุนแรงข่มขวัญผู้คน โดยเฉพาะขณะที่สองมือของนางกำทวนเล่มนั้นไว้ ยิ่งแลดูมีปณิธานการต่อสู้ที่สูงยิ่ง เหมือนว่านางก็คือขุนพลหญิงที่พร้อมเข้าสู่สมรภูมิรบได้ทุกเวลาอย่างนั้น บางทีอาจสามารถใช้คำที่เหมาะสมยิ่งกว่ามาเปรียบเปรยนางซึ่งก็คือเทพสงครามสตรี!
บรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่ถูกพันธนาการเอาไว้ต่างได้แต่ถอนหายใจเบาๆ เมื่อเห็นผู้หยิงตกอยู่ในกำมือของหลี่ชิเย่ ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขาหมดไปแล้ว มาครั้งนี้กองทัพพันธมิตรของพวกเขาเรียกได้ว่าพ่ายแพ้หมดทั้งกองทัพ
“หน้าตาสะสวยไม่เบาเลยนี่” หลี่ชิเย่มองดูผู้หญิงที่ถูกพันธนาการตรงหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ดูเหมือนข้ากำลังขาดนังหนูอุ่นเตียงอยู่คนหนึ่งนะ”
เชอะ…ท่าทีผู้หญิงคนนี้นับได้ว่าข่มเหงผู้คนเหมือนกัน กล่าวเย็นชาออกมาว่า “จะฆ่าจะแกงสุดแล้วแต่เจ้า!”
“หยิ่งยโสไม่เบาทีเดียว” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้และกล่าวว่า “เจ้าควรจะรู้ไว้ว่า ต่อให้เป็นผู้ที่สร้างขึ้นมาจากเหล็ก เมื่อไรที่ตกมาอยู่ในมือของข้า หากข้าต้องการทรมานเขาล่ะก็ ใช้เวลาไม่นานก็จะต้องร้องขอให้ละเว้นสถานเดียว”
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้ระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พวกเขาที่เป็นเฒ่าหนังเหนียวนับว่าไม่ได้เกรงกลัวต่อการทรมาน แต่ถ้าหากนังหนูตัวน้อยๆ ตกอยู่ในมือของหลี่ชิเย่แล้วก็พูดยาก
“ไหนพวกเจ้าลองว่ามาสิ ควรจะทรมานพวกเจ้าอย่างไรดีล่ะ?” หลี่ชิเย่เอามือลูบคางและกล่าวยิ้มแต้ขึ้นมา
“ท่านผู้อาวุโสท่านนี้จะต้องเป็นท่านบรรพบุรุษที่สหายหลี่เชียนเอ่ยถึงแล้ว” จังหวะที่กำลังอยู่ในช่วงวิกฤต ฟู่หนิวหมิงจู่รีบเสนอหน้าเข้ามา แสดงคารวะแบบจีน ด้วยท่าทีดูเคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
ฟู่หนิวหมิงจู่เป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ลงมือในศึกครั้งนี้เลย มาคราวนี้เขาถือว่าเป็นพยานรู้เห็นให้กับทั้งสองฝ่าย
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ทำการสยบพวกของนักบวชหยางหมิงที่เป็นเหล่าบรรพบุรุษแล้วนั้น ฟู่หนิวหมิงจู่ก็ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันสั้นๆ เนื่องจากฟู่หนิวหมิงจู่มีบุญคุณต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ดังนั้น หลี่เชียนจึงไม่ได้ปกปิดเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่ชิเย่
“มีธุระอะไรอย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวและจ้องมองฟู่หนิวหมิงจู่แวบหนึ่ง
“ท่านบรรพบุรุษ ภาษิตกล่าวไว้ว่า ความแค้นควรละไม่ควรผูก” ฟู่หนิวหมิงจู่รีบกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ข้าก็ได้สนทนากับสหายหลี่เชียนแล้ว ทราบว่าตัวการที่ก่อเรื่องขึ้นมาในครั้งนี้ก็คือสามเทพเลือดกำแหง และท่านบรรพบุรุษก็ได้สยบเหตุการณ์ในครั้งนี้แล้ว สามเทพเลือดกำแหงได้ตายอนาถด้วยมือของท่านบรรพบุรุษ กวาดล้างสิ้นพวกชั่วร้ายของ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ที่ยังหลงเหลือจนราบคาบ…”
“…เหตุการณ์ในครั้งนี้นับว่าสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ แม้ว่ากองทัพพันธมิตรของบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ บุกโจมตีเข้ามายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนับว่าไม่เหมาะไม่ควร แต่ว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้สืบเนื่องจากสามเทพเลือดกำแหงเป็นผู้ก่อ และมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง ในเมื่อเข้าใจกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ใยพวกเราทุกฝ่ายจะต้องจ่ายค่าตอบแทนต่อไปกับสิ่งที่พวกของสามเทพเลือดกำแหงซึ่งเป็นพวกชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปเล่า?…”
“…ถ้าหากทุกท่านทำเพื่อสถานการณ์ที่เป็นภาพรวม ทำเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตน และเพื่อความปลอดภัยของทุกๆ คน พวกเราเปลี่ยนจากสงครามให้กลายเป็นสันติภาพไม่ทราบเห็นเป็นเช่นใด? ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิฟู่หนิวพวกเรายินดีเสนอตัว ยินดีเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งในครั้งนี้ ในครั้งนั้นบรรดาเหล่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ ก็ยินดีบรรลุข้อตกลงกัยระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง มาคราวนี้ไหนเลยจะให้มีการดำเนินการไปตามข้อตกลงในครั้งนั้นต่อไปไม่ได้เล่า?”
คำพูดของฟู่หนิวหมิงจู่ในครั้งนี้กล่าวได้ว่าสมเหตุสมผลดี และตัวเขาเองได้ใช้ความพยายามอย่างหนัก เพื่อให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กับเหล่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ทั้งหลาย
พวกของนักบวชหยางหมิงที่ถูกพันธนาการเอาไว้ถึงกับสบตากันและกัน เมื่อได้ฟังคำพูดของฟู่หนิวหมิงจู่แล้ว
………………………