Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2207 ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
หวู่ปิงหนิงในฐานะตัวประกันถูกควบคุมตัวอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่ว่านางกลับไม่ได้รู้สึกว่าเหมือนดั่งตัวประกันที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเลย
ความจริงแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่นางรั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง นางก็ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณแม้แต่น้อย หรือได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดี
ช่วงเวลาที่หวู่ปิงหนิงรั้งอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง บนตัวของนางทั้งไม่ได้ถูกล่ามด้วยโซ่ตรวน และไม่ได้จับนางมาคุมขังเอาไว้เยี่ยงนักโทษ
กระทั่งกล่าวได้ว่า การรั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของนางมีร่างกายที่อิสระอย่างเด็ด่ขาด นับแต่วันแรงที่นางรั้งอยู่ที่ตรงนี้ ก็ไม่เคยมีใครคอยเฝ้าจับตานาง และไม่เคยมีใครคนใดคนหนึ่งเคยกลั่นแกล้งนาง
การรั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของนางคือแขก แต่ไม่ใช่ตัวประกัน
การรั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของหวู่ปิงหนิงสามารถทำได้ถึงขั้นเข้าออกอย่างอิสระโดยสิ้นเชิง อีกทั้งนางอยากจะไปที่ใดก็จะไม่มีใครคอยติดตามอยู่ข้างกาย ซึ่งทำให้นางรู้สึกสงสัยในหลี่ชิเย่ว่ามีแผนการอะไรในตัวของนางหรือไม่อย่างไร
ทว่าเมื่อนึกดูให้ละเอียดแล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะมีความเป็นไปได้ เวลานี้นางตกอยู่ในกำมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยสิ้นเชิงแล้ว ถ้าหากหลี่ชิเย่มีแผนการกับนางล่ะก็ เกรงว่าคงลงมือไปนานแล้วไม่จำเป็นต้องวางแผนระยะยาวถึงเพียงนี้
ดังนั้น การรั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของหวู่ปิงหนิงเสมือนดั่งมาอยู่ในฐานะของแขกโดยสิ้นเชิง มีความเป็นอิสระเสรี กระทั่งนางคิดจะทำอะไรก็ไม่มีผู้ใดมายุ่งเกี่ยวกับนาง ซึ่งสิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้กับหวู่ปิงหนิงเป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกัน หวู่ปิงหนิงก็รู้สึกว่าหลี่ชิเย่ออกจะมั่นใจตนเองมากเกินไปแล้วกระมัง ถึงกับเอาศัตรูเช่นนางรั้งอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ปล่อยปละละเลยต่อนาง โดยไม่ได้ไปจำกัดการกระทำใดๆ ของนางทั้งสิ้น
เนื่องเพราะความเป็นอิสระเสรีในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนี้เอง กระทั่งเรียกได้ว่าตัวประกันอย่างนางไม่ได้มีความทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อยขณะอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กล่าวคืออ้าปากเมื่อข้าวมา ยืนมือออกเมื่อเสื้อมา มีความเป็นอยู่โดยที่ไม่ต้องทำงานทำการอะไร กินแล้วก็นอน เสพสุขยิ่งนักไร้ซึ่งความกังวลใดๆ
ลักษณะเช่นนี้ทำให้หวู่ปิงหนิงกำลังคิดว่า ช่วงเวลาที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่ได้แย่ไปกว่าขณะอยู่ที่จูเซียงหวู่ถิงเลยนี่ ถึงกับมีความรู้สึกว่าการรั้งอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่อไปนับว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยจริงๆ
ตัวของหวู่ปิงหนิงนั้นคือผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิง และคือศิษย์ระดับอัจฉริยะบุคคลของจูเซียงหวู่ถิง กล่าวได้ว่าได้รับความรักและโปรดปรานทั้งหมดบนตัวของนางคนเดียว แต่ในระยะหลังกล่าวสำหรับนางแล้ว นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่สู้จะสมปรารถนาสักเท่าไร ดังนั้น เวลานี้นางจึงกำลังคิดว่า การเป็นตัวประกันในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ไม่มีอะไรที่มันไม่ดีตรงไหน
แม้จะกล่าวว่า การที่หวู่ปิงหนิงมาเป็นตัวประกันในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะไม่มีใครไปจำกัดนาง นางสามารถไปมาอย่างเป็นอิสระ ไม่มีใครคอยควบคุมนาง แต่ว่านางไม่เคยคิดที่จะหนีไปเลย
หวู่ปิงหนิงเองก็ไม่โง่ นางรู้ว่าหลี่ชิเย่ในฐานะเป็นผู้สามารควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรม ในแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเขามีความสามารถในการควบคุมที่เด็ดขาด ถ้าหากคิดจะหนีจากหลี่ชิเย่ไปแบบต่อหน้าต่อตา หรือเล่นตุกติกอะไรล่ะก็ หาใช่การกระทำที่ชาญฉลาดอย่างแน่นอน ไม่แน่นักอาจทำให้เขาโกรธขึ้นมาจริงๆ คนวิปริตเช่นนี้อาจทำเรื่องที่วิปริตขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นได้
อีกอย่าง หวู่ปิงหนิงรู้สึกว่าเวลานี้การรั้งอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของนางไม่มีอะไรเสียหาย ไร้ซึ่งความกังวลใดๆ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องหลบหนี
แต่ว่า เมื่อวันเวลาผ่านไปช่วงหนึ่งแล้ว หวู่ปิงหนิงยังคงพักอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างอิสระเสรี ซึ่งนับเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งสำหรับนาง แต่นางกลับรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจเสียแล้ว
เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านไป นางไม่เคยได้พบแม้แต่เงาของหลี่ชิเย่ และภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองก็ไม่มีใครสักคนมายุ่งเกี่ยวกับนาง เหมือนว่านางถูกลืมเลือนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
หวู่ปิงหนิงได้รับการยกย่องจากผู้คนว่าเป็น ‘เทพสงครามหญิงแห่งจูเซียง’ ต่อให้นางมีปณิธานมากกว่านี้ แต่ภายในใจนั้นจะมากหรือน้อยก็มีความภาคภูมิใจเล็กๆ อยู่
แม้ว่าเวลานี้นางพักอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะมีคนคอยปรนนิบัติดื่มกินอยู่ แต่กลับเหมือนว่าถูกหลี่ชิเย่ลืมเลือนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใดถามถึงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของนาง แน่นอนที่สุดนางที่มีความภูมิใจเล็กๆ ย่อมรู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจนัก ชั่วดีอย่างไรนางก็เป็นคนๆ หนึ่ง
ในขณะที่ภายในใจของหวู่ปิงหนิงบังเกิดอารมณ์เคียดแค้นเล็กๆ ขึ้นมานั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันที่รอจนหลี่ชิเย่ได้เรียกพบนางพอดี
เมื่อหวู่ปิงหนิงได้ยินว่าหลี่ชิเย่ต้องการพบนางนั้น แม้ว่าจะส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา แม้จะทำวางมาดเล็กน้อย แต่ความจริงแล้วรู้สึกสบายใจอยู่ไม่น้อย
หลี่ชิเย่เรียกพบหวู่ปิงหนิงที่ตำหนักใหญ่ ขณะที่หวู่ปิงหนิงได้พบกับหลี่ชิเย่นั้น มองเห็นหลี่ชิเย่อยู่ในท่าครึ่งนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทีที่สบายอย่างบอกไม่ถูก และพึงพอใจอย่างยิ่ง
มองเห็นหลี่ชิเย่ในเวลานี้กึ่งนอนอยู่บนตัวของหวังหาน หัวหนุนอยู่บนขาของนางดูเสพสุขยิ่งนัก มือขาวๆ ของหวังหานนำเอาผลที่ปอกเปลือกแล้วโน้มตัวเบาๆ ป้อนเข้าไปในปากของเขา ระหว่างการนโน้มตัวทุกครั้งอกเต่งของนางก็จะแนบชิดอยู่บนใบหน้าของเขา จนใบหน้าของเขาจมมิดอยู่ท่ามกลางอกอวบนั่น
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง จูซือจิ้งทำการทุบคลายเส้นให้กับขาของเขาด้วยท่าทางที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง และเอาอกเอาใจยิ่ง
นอกจากนี้ ฉู่ชิงหลินก็อยู่ด้วย มองเห็นฉู่ชิงหลินในมือถือประวัติศาสตร์โบราณเล่มหนึ่ง อ่านเบาๆ และช้าๆ ให้หลี่ชิเย่ฟัง ทุกครั้งที่จบหน้าหนึ่งก็จะชะลอนิดหนึ่ง ดูเป็นจังหวะจะโคนอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนไม่ต้องการทำลายบรรยากาศที่กำลังเสพสุขและสบายใจยิ่งเช่นนี้
หลี่ชิเย่นอนหลับตาพักผ่อนกายาอยู่ตรงนัน กินผลไม้ที่ป้อนมาให้ นอนฟังประวัติศาสตร์โบราณ เสมือนดั่งจิตใจกำลังอยู่ในขั้นว่างเปล่า ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้อย่างนั้น
หวังหานคือกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ขณะที่ฉู่ชิงหลินคือผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้แล้ว
เมื่อหวู่ปิงหนิงมองเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่ที่ดูเหมือนกำลังเสพสุขยิ่งนั้น ถึงกับส่งเสียงฮึอยู่ในใจเบาๆ และกระซิบเบาๆ ว่าชั้นต่ำ…
แม้ว่าหวู่ปิงหนิงจะมาถึงแล้ว แต่หลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งหลับลึกไปแล้วจึงไม่มีใครกล้ารบกวนเขา หวู่ปิงหนิงเองก็ต้องนั่งรอแต่โดยดีอยู่ตรงนั้น ทำให้ในใจของนางมีเคืองอยู่บ้าง แต่ก็จนด้วยเกล้า
หลี่ชิเย่ในเวลานี้ที่นอนอยู่ตรงนั้นคล้ายดั่งเป็นผู้อยู่ในฐานะสูงสุดอย่างนั้น มีอำนาจสูงสุดอยู่ในครอบครอง ไม่ว่าใครก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็คล้ายดั่งเป็นมดปลวกอย่างนั้น
ครั้นฉู่ชิงหลินอ่านประวัติศาสตร์โบราณจบไปหนึ่งหน้าแล้ว หลี่ชิเย่จึงค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างและจ้องมองไปที่หวู่ปิงหนิง
“นังหนูน้อย มาอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของเรา รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง? เล่าให้ฟังหน่อยซิ”
“ข้ามีชื่อมีแซ่ ไม่ได้ชื่อนังหนูน้อย” หวู่ปิงหนิงพลันรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของหลี่ชิเย่ กล่าวเย็นชาขึ้นมา
“อ้อ เป็นข้าที่เสียมารยาทไปแล้ว” หลี่ชิเย่ที่คล้อยตามดั่งสายน้ำที่ไหลไป ยิ้มแต้กล่าวว่า “ยังไม่ได้เรียนถามชื่อแซ่ของแม่นางเลย”
“ฮึ ศิษย์จูเซียงหวู่ถิง หวู่ปิงหนิง!” หวู่ปิงหนิงส่งเสียงฮึและกล่าวเสียงเย็นชาออกมา
“ที่แท้คือแม่นางหวู่นะเนี่ย ชื่อเสียงก้องอยู่ในหู เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวขึ้นไม่มีท่าทีที่ไม่ให้ความเคารพ
คำพูดที่ยั่วเย้าของหลี่ชิเย่พลันทำเอาหวู่ปิงหนิงโมโหจนมันเขี้ยว ถึงกับกำหมัดเสียแน่น หากที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง นางจะต้องต่อยใบหน้าที่ยิ้มแต้ของเจ้าจิตวิปริตบ้าจนเละแน่นอน!
ฉู่ชิงหลินที่ยืนอู่ด้านข้างถึงกับเม้มปากหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ยั่วเย้าหวู่ปิงหนิง หลังจากที่อยู่ด้วยกันมาช่วงระยะหนึ่งแล้ว พวกนางเองก็เข้าใจนิสัยของหลี่ชิเย่แล้ว
“แม่นางหวู่ที่รักและงดงามของพวกเรา ระยะนี้ดูจะไม่เป็นธรรมกับท่านแล้ว เวลานี้เล่า ข้าจะบอกข่าวดีเรื่องหนึ่งกับท่านอย่างจริงจัง เป็นข่าวดีที่ยอดเยี่ยมที่สุด พรุ่งนี้ท่านก็สามารถไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกับข้าได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถกลับบ้านได้ทุกเวลาแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวยิ้มแต้ขึ้นมา
“ฮึ ทราบแล้ว” เมื่อหวู่ปิงหนิงได้ยินข่าวนี้แล้วเพียงส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา ตามหลักแล้วนางที่อยู่ในฐานะของตัวประกันสมควรรู้สึกดีใจจึงจะถูก เมื่อได้รับอิสระกลับคืนและกลับบ้านได้ในที่สุด
แต่ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร หลังจากที่หวู่ปิงหนิงรับทราบข่าวนี้แล้ว กลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่น้อย เนื่องเพราะหลังจากที่กลับไปยังจูเซียงหวู่ถิงแล้ว มันจะมีเรื่องที่กลัดกลุ้มใจรุมเร้าเข้ามา สู้ยังคงพักอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่อิสระเสรีไม่ได้
“แต่ว่า ข้ากลับจะมีปัญหาอยากจะเรียนถามแม่นางหวู่ที่รักและงดงามของพวกเราอยู่ข้อหนึ่ง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“ฮึ มีคำพูดก็รีบพูดออกมา มีลมก็รีบผาย” จูเซียงหวู่ถิงมีท่าทีที่หยิ่งเล็กน้อย ส่งเสียงฮึแสดงความไม่พอใจออกมา สรุปก็คือขณะนี้ภายในใจของนางไม่สบายใจนัก เห็นหลี่ชิเย่แล้วก็รู้สึกขวางหูขวางตา
ดวงตาทั้งสองหลี่ชิเย่แฝงด้วยรอยยิ้ม มองดูหวู่ปิงหนิงแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้ากำลังหนีอะไรอยู่?”
“ข้า ข้ามีอะไรต้องหนี” คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ที่พูดขึ้นมากะทันหัน ทำให้ภายในใจของหวู่ปิงหนิงตกใจอย่างยิ่ง นางถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว และจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความระมัดระวัง
วันเวลาที่รั้งอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างอิสระเสรี ได้ทำให้นางคลายความระแวดระวังลงไปแล้ว
“ไม่มีรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าหากไม่มีล่ะก็ เหตุใดเจ้าจะต้องแย่งชิงเพื่อมาเป็นตัวประกัน”
“แบ่งเบาความทุกข์ให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ เป็นเรื่องที่พวกเราในฐานะศิษย์สมควรกระทำ” หวู่ปิงหนิงเมื่อระแวดระวังตัวขึ้นมาแล้ว คำพูดก็กลับกลายเป็นรอบคอบยิ่งขึ้นแล้ว
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะพลางและกล่าวว่า “ข้าว่าคงไม่ใช่เรื่องนั้นกระมัง ข้าให้เจ้ามาเป็นตัวประกันดูท่าบรรพบุรุษของพวกเจ้าตื่นเต้นมาก เช่นนี้แล้วเจ้ามีความสำคัญไม่น้อยเลยนี่ ดูจะเกินกว่าความสำคัญในฐานะผู้สืบทอดของจูเซียงหวู่ถิงไปมากทีเดียว”
“ปั้นน้ำเป็นตัว” หวู่ปิงหนิงกล่าวปฏิเสธคำพูดของหลี่ชิเย่เย็นชา
“ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสักแห่งน่ะ ต่อให้เจ้ามีพรสวรรค์ที่สูงมาก ต่อให้เจ้าเป็นผู้สืบทอด แต่ด้านหลังยังมีผู้สืบทอดสำรองเอาไว้เป็นโขยง ต่อให้ผู้สืบทอดตายไปสักคน ข้างหลังก็ยังคงมีคนที่มาแทนที่” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “แต่ว่า ตามความเห็นของข้าความสำคัญของเจ้าไม่ได้เป็นแค่เพียงผู้สืบทอดเท่านั้น” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เขาได้เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมา
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ภายในใจของหวู่ปิงหนิงเย็นวาบ รู้สึกว่าเรื่องไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้น
หลี่ชิเย่ หัวเราะและกล่าวว่า “ข้าก็ไม่คิดจะทำอะไร เพียงแต่เจ้าในฐานะที่เป็นตัวประกัน เมื่อได้ยินว่าจะได้กลับบ้านสมควรดีใจจึงจะถูก ข้าดูแล้วเจ้าไม่ได้ดีใจเลย เช่นนี้แล้วเจ้าคงไม่คิดจะกลับไปที่จูเซียงหวู่ถิงแล้วล่ะ เอาเถอะ ถ้าหากเจ้าไม่คิดจะกลับไปที่จูเซียงหวู่ถิง ข้าก็จะรับตัวเจ้าเอาไว้”
“ใครบอกว่าข้าไม่ต้องการกลับไปที่จูเซียงหวู่ถิง” หวู่ปิงหนิงถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และกล่าวว่า “สามารถกลับไปที่จูเซียงหวู่ถิง ข้ารู้สึกดีใจอย่างยิ่งเลยล่ะ”
สิ่งนี้ทำเอาหวู่ปิงหนิงตกใจยิ่งนัก เมื่อถูกหลี่ชิเย่มองทะลุถึงความในใจของนางในทันที เหมือนว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้วไม่หลงเหลือความลับแม้แต่น้อย เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถรอดจากดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ไปได้
“เป็นอย่างนี้จริงรึ?” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มออกมา กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ก็ดี ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันส่งตัวเจ้ากลับไปที่จูเซียงหวู่ถิงก่อน ใครใช้ให้ข้าเป็นคนใจอ่อนเล่า ทนมองเห็นคนสวยไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ได้”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่กลับรุกฆาตจนหวู่ปิงหนิงตั้งรับแทบไม่ทัน เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมานางมีความเป็นอยู่อย่างอิสระเสรี พลันจะต้องกลับไปยังจูเซียงหวู่ถิงอย่างกะทันหัน ทำให้นางที่อยู่อย่างไร้กังวลดูจะไม่ชินนัก เนื่องจากภายในใจของนางยังไม่ทันได้เตรียมความพร้อมที่จะกลับไปยังจูเซียงหวู่ถิง
……………………………………………………