Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2560 ศิโรราบทั่วหล้า
ตอนที่ 2560 ศิโรราบทั่วหล้า
ด้านชื่อเสียง เขาจิ่วเหลียนซานไม่เท่าห้าแกร่ง แต่ว่า กำลังความสามารถของมันลึกซึ้งยากจะหยั่งถึงตลอดมา แม้แต่ฮ่องเต้ไท่ชิงที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวในหล้ายังต้องยอมให้มันสามส่วน
มาวันนี้ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้ให้คำมั่นเช่นนี้ย่อมมีความหมายที่ไม่ธรรมดา สมควรทราบว่า ช่วงพันล้านปีที่ผ่านมาเขาจิ่วเหลียนซานวางตัวอยู่เหนือโลกมนุษย์ปุถุชนธรรมดาตลอดมา ไม่เคยเหยียบย่ำเข้ามาในโลกมนุษย์ มาวันนี้ ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานได้ให้คำมั่นว่าจะถวายความจงรักภักดี ความหมายที่อยู่ภายในย่อมไม่ธรรมดา
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่พยักหน้าสำหรับการแสดงความจงรักภักดีของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซาน สั่งการออกไปพร้อมกับโบกมือเบาๆ
ชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานแสดงคารวะอีกครั้ง จากนั้นจึงล่องลอยจากไป แม้ตัวเขาที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แม้ธาตุแท้ภายในที่แข็งแกร่งเช่นเขาจิ่วเหลียนซานของพวกเขา แต่ว่า ภายในใจของชายตัดฟืนแห่งเขาหนานซานรับรู้อย่างชัดเจนว่า ทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่มองเห็นได้แต่จับต้องไมได้
แม้ธาตุแท้ภายในของเขาจิ่วเหลียนซานพวกเขาจะแข็งแกร่งมากไปกว่านี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ ก็ดำรงอยู่ในสถานะมดปลวกเท่านั้นเอง จะทำลายล้างเขาจิ่วเหลียนซานพวกเขาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับหนึ่งความนึกคิดของหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง
กล่าวได้ว่า การถวายความจงรักภักดีถือเป็นเกียรติของเขา จิ่วเหลียนซานพวกเขา และเป็นเขาจิ่วเหลียนซานพวกเขาที่ได้เกาะบุคคลที่มีตำแหน่งฐานะสูงกว่า
หลังจากที่สังหารพวกของโต้วจ้านหวงแล้ว หลี่ชิเย่ไม่ได้รั้งอยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานนาน แต่ออกเดินทางกลับวัง มุ่งหน้าไปยังเมืองกัวชางเฉิง
ขบวนของหลี่ชิเย่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร มีเพียงมังกรทองแปดแขนที่ทำหน้าที่สารถี และมีพวกของปิ้งจวินที่เดินเคียงข้าง ข้างกายมีปิงฉือหานยวี่ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ จำนวนคนเช่นนี้ไม่อาจเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่
แต่ทว่า ด้วยขบวนที่มีเพียงไม่กี่คนเช่นนี้ ทำให้ผู้คนต้องผวาดกลัวจนขนลุกซู่เมื่อมองเห็นแต่ไกล เฉกเช่นผู้ที่แข็งแกร่งน่ากลัวอย่างพวกของปิ้งจวินล้วนแล้วแต่เป็นได้เพียงผู้ติดตามเท่านั้น ด้วยตำแหน่งฐานะลักษณะเช่นนี้ ทอดสายตาไปทั่วหล้าก็ไม่มีใครอีกแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ไท่ชิงในครั้งนั้นก็ไม่ได้มีมาดเช่นนี้
ขบวนของหลี่ชิเย่เดินทางไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า รถม้าที่วิ่งผ่านอากาศมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองกัวชางเฉิง
แต่ทว่า ที่ที่รถม้าของหลี่ชิเย่แล่นผ่านไป ศิษย์ของสำนักทุกๆ สำนักในผืนแผ่นดินตรงนั้น อาณาประชาราษฎร์ของแคว้นต่างๆ ได้ทยอยกันมารอน้อมส่งเสด็จกันนานแล้ว
ขณะที่ขบวนของหลี่ชิเย่ยังมาไม่ถึง ณ เส้นทางที่จะต้องเดินทางผ่าน ได้มีศิษย์ของสำนักต่างๆ ยืนเข้าแถวเป็นระเบียบบริเวณสองข้างทาง
“เชิญเสด็จฝ่าบาท…” ขณะรถม้าของหลี่ชิเย่ยังคงปรากฎบริเวณที่ห่างไกลออกไป บรรดาศิษย์ผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่ยืนอยู่บริเวณสองข้างทางต่างทยอยกันคุกเข่าลงกราบกับพื้น และตะโกนเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน
ขณะที่รถม้าซึ่งหลี่ชิเย่โดยสารแล่นผ่านมานั้น บรรดาศิษย์ที่คุกเข่าหมอบกราบอยู่บนพื้นเหล่านี้ ตัวสั่นงันงกไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองหน้าหลี่ชิเย่ กระทั่งรถม้าที่หลี่ชิเย่โดยสารมาหายไปในเส้นขอบฟ้าแล้ว บรรดาศิษย์ผู้บำเพ็ญตนหมอบกราบอยู่บนพื้นจึงกล้าลุกขึ้นมา
กล่าวได้ว่ารถม้าที่หลี่ชิเย่นั่งมานั้น ไม่ว่าจะแล่นผ่านไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสำนัก หรือแคว้นใดๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นต่างตัวสั่นงันงก พวกเขาล้วนแล้วแต่ระมัดระวังตัว และรอบคอบอย่างยิ่ง พวกเขาต่างเกรงว่าหากไม่ทันระวังทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่พอใจล่ะก็ สามารถทำลายสำนักหรือแคว้นของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
หลี่ชิเย่จากเขาจิ่วเหลียนซานตรงไปยังเมืองกัวชางเฉิง เรียกได้ว่าตลอดทางที่ผ่านไปมีผู้คนคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด มีผู้บำเพ็ญตนที่เป็นศิษย์ของสำนักเจ้าลัทธิ และแคว้นต่างๆคุกเข่าอยู่จนมืดฟ้ามัวดินไปหมด ตลอดทางจากเขาจิ่วเหลียนซานไปยังเมืองกัวชางเฉิง พวกเขาคุกเข่าก้มกราบอยู่บนพื้น ล้วนแล้วแต่ให้การต้อนรับการเสด็จกลับเมืองหลวงของฮ่องเต้องค์ใหม่
ภาพลักษณะเช่นนี้นับว่าอลังการอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยความพาลและความเป็นเผด็จการ การกลับมาของผู้เป็นเจ้าก็คงไม่เกินไปกว่านี้อีกแล้ว
ล่วงเลยมาถึงวันนี้แล้ว หลี่ชิเย่ไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆ สักคำ ขอเพียงตัวเขาไปยืนอยู่ ณ ที่ใด ก็สามารถสยบทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดๆ หรือผู้บำเพ็ญตนคนใดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็จะต้องคุกเข่าลงกับพื้น
“เชิญเสด็จฝ่าบาท” ขณะที่รถม้าของหลี่ชิเย่ถึงยังเมืองกัวชางเฉิง ปรากฏผู้บำเพ็ญตนที่เป็นศิษย์ของแต่ละกลุ่มคุกเข่าอยู่เต็มเมืองกัวชางเฉิงไปหมด สำหรับแม่ทัพและทหารทั้งหมดที่สังกัดหน่วยองครักษ์วังหลวงและกองทัพต่างๆ ทั้งห้าต่างถอดชุดเกราะออกมาและคุกเขาหมอบอยู่กับพื้น รอการลงโทษจากฝ่าบาท
ในเวลานี้ บรรดาทหารทั้งหมดที่สังกัดอยู่ในกองทัพทั้งห้าต่างตัวสั่นงันงก พวกเขาถูกทำให้ตกใจจนมีใบหน้าขาวซีด และเหงื่อเย็นไหลโทรมกายจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว
กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว วันนี้คือวันที่ฝันร้ายสำหรับพวกเขา หรือกล่าวอย่างไม่เป็นการเกินเลย วันนี้ก็คือวันสุดท้ายของพวกเขา
ครั้งนั้น พวกเขาเปลี่ยนขั้วกะทันหัน ทรยศต่อฮ่องเต้องค์ใหม่ นำกำลังทหารโจมตีเมืองหลวง กองทัพทั้งห้าพวกเขามีส่วนร่วมในการนี้ ทหารทั้งหมดของห้ากองทัพก็ได้เข้าร่วมในครั้งนั้น
แต่เดิมในวันนั้น ขณะที่พวกเขาหันมาเล่นงานพวกเดียวกันก็เพื่อให้ทังเฮ่อเสียงได้ขึ้นแทน เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว แต่ทว่า พวกเขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่พวกเขาขับไล่ให้ลงจากบัลลังก์ในวันนั้น มาวันนี้ถึงกับกลับมาอย่างผู้เป็นเจ้า
เวลานี้สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือ การหมอบกราบกับพื้น และฟังการตัดสินลงโทษจากฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างตัวสั่นงันงก
วันเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้ พวกทหารองครักษ์ที่เป็นห้ากองทัพไม่มีกองทัพใดมีแนวคิดที่จะต่อต้านอีกแล้ว ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดมีแนวคิดที่จะเสี่ยงอย่างเต็มที่อีกแล้ว
เนื่องจากมีตัวอย่างให้ได้เห็นก่อนหน้าแล้ว กองทัพส่วนกลางหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว ปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดตายอย่างไร้ที่ฝัง เมื่อเปรียบกับกองทัพส่วนกลาง เปรียบกับปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดแล้ว กองทัพทั้งห้าของพวกเขานับเป็นอะไรได้ ถ้าหากยังกล้าต่อต้านฮ่องเต้องค์ใหม่อีกล่ะก็ ย่อมต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเดียวตามกันไป และถูกสังหารจนไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียวอย่างแน่นอน
ดังนั้น มิสู้ยอมออกตัวเพื่อรับโทษก่อนที่อีกฝ่ายจะลงโทษดีกว่า รอคอยการตัดสินลงโทษจากฝ่าบาท ไม่แน่นัก หากฮ่องเต้องค์ใหม่เกิดเมตตาขึ้นมา พวกเขายังมีทางรอด
ต่อให้มีทหารบางส่วนจะต้องถูกกำจัด แต่ว่า กล่าวสำหรับกองทัพทั้งห้าที่มีทหารจำนวนนับสิบล้านแล้ว ยังคงมีทหารจำนวนมากที่มีความเป็นไปได้จะรอดชีวิต
ดังนั้น นาทีนี้ ไม่มีผู้ใดในห้ากองทัพกล้าต่อต้านฮ่องเต้องค์ใหม่ ต่างทยอยกันถอดชุดเกราะออกมาและคุกเข่าก้มกราบอยู่กับพื้น รอรับการลงโทษจากฮ่องเต้องค์ใหม่
เวลานี้ ที่เมืองกัวชางเฉิงมีผู้คนที่คุกเข่าอยู่เต็มไปหมด ท่าทีหลี่ชิเย่ดูเรียบเฉยและอิสระโดยไม่ได้มองอะไรมากมาย
เพียงชั่วพริบตาเดียวไอรีนโนเวล รถม้าก็มาถึงยังกำแพงพระราชวังแล้ว หลี่ชิเย่มองดูกำแพงเมืองที่เหลืองอร่ามแวววาว หัวเราะและกล่าวว่า “ทำงานได้รวดเร็วดีนี่ เก็บกวาดกำแพงพระราชวังจนสะอาดสะอ้านได้รวดเร็วจริงๆ กำแพงด้านที่ถูกทำลายก็ซ่อมเสร็จแล้ว”
คำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเอาบรรดาผู้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับร่างสั่นเทาขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสำนัก แคว้น และกองทัพที่เคยเข้าร่วมบุกโจมตีพระราชวังต่างตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ตื่นตระหนกจนต้องคุกเข่าและร่างสั่นเทาอยู่ตรงนั้น
ครั้งนั้น ราชันแท้จริงปาเจิ้นได้ร่วมกับหลายฝ่ายบุกโจมตีเมืองกัวชางเฉิง ไม่รู้ว่ามีกำแพงที่ถูกโค่นไปกี่ด้าน ทั่วทั้งพระราชวังสับสนวุ่นวายไปสิ้น ในขณะนั้น มีผู้ที่ถือโอกาสฉกฉวยประโยชน์ขณะที่กำลังชลมุนวุ่นวาย ได้ปล้นเอาของวิเศษต่างๆ ไปจากวัง ถือโอกาสหยิบฉวยเอาของมีค่าต่างๆ ไปจากวังหลวง
แต่ทว่า มาวันนี้หลี่ชิเย่กลับมาอย่างผู้เป็นเจ้า บรรดากำแพงที่ถูกโค่นถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างดี โดยภาพรวมของวังมีความระเบียบเรียบร้อย เหลืองอร่ามแวววาว บรรดาของวิเศษ และทรัพย์สินมีค่าที่ถูกขโมยไปในวันนั้น ทั้งหมดถูกนำกลับมาไว้ตามเดิม
เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ปราศจากผู้ต่อกรใต้หล้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หลี่ชิเย่ออกคำสั่ง ทุกคนต่างตื่นตระหนกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ บรรดาผู้บำเพ็ญตนที่เป็นศิษย์ของสำนักต่างๆ ที่เคยทำลายกำแพงเมือง ต่างรีบเร่งซ่อมกำแพงเมืองเหล่านี้ให้คืนสู่สภาพเดิม แม้ต้องเร่งหามรุ่งหามค่ำก็ต้องซ่อมให้เสร็จ
สำหรับบรรดาผู้ที่ถือโอกาสขโมยของวิเศษเหล่านั้น พลันได้ยินว่าฮ่องเต้องค์ใหม่กำลังจะกลับมา พวกเขาล้วนแล้วแต่ถูกทำให้อกสั่นขวัญแขวน ต่างคายเอาสิ่งของทุกอย่างออกมาแต่โดยดี และนำไปวางไว้ที่เดิม
เวลานี้ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ล้วนแล้วแต่ตัวสั่นงันงก ทุกคนต่างเกรงกลัวฮ่องเต้องค์ใหม่กริ้ว ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็เสมือนดั่งภัยพิบัติใหญ่หลวงมาเยือน เกรงว่าเมื่อถึงขั้นนั้นจะต้องเลือดไหลนองเป็นธาร ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องตายอย่างอนาถ และไม่รู้ว่ามีสำนักกี่มากน้อยที่ต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว
ในเวลานี้ คำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคำหนึ่งของหลี่ชิเย่ ทำเอาบรรดาศิษย์ที่เป็นผู้บำเพ็ญตนซึ่งคุกเข่าอยู่บริเวณใกล้ๆ ทั้งหมดต่างต่อใจจนขวัญหนีดีฝ่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เคยร่วมทำลายโค่นกำแพงเหล่านั้น ต้องตกใจจนตัวสั่นเทา ด้วยเกรงว่าหากฮ่องเต้องค์ใหม่โกรธขึ้นมาล่ะก็ และมีการสืบสาวราวเรื่อง เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงตนเองที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เกรงว่ายังจะทำให้ครอบครัวต้องเดือดร้อน และเดือดร้อนถึงสำนักของพวกเขาอีกด้วย
แน่นอน หลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ แค่พูดออกมาตามอารมณ์เท่านั้น ก็เข้าไปภายในวังพร้อมกับพวกหลิ่วชูฉิง
ภายในวังหลวงเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ยังคงมีความงดงามอลังการเช่นเดิม ยังคงมีความน่าเกรงขามเหมือนเดิม บรรดาคนรับใช้ทั้งหมดที่เคยหลบหนีไปล้วนแล้วแต่พากันกลับมาแล้ว
ทั้งหมดนี้หลี่ชิเย่ไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งออกไป ทุกคนในวังที่หลบหนีเอาตัวรอดในวันนั้นเมื่อทราบว่าฮ่องเต้องค์ใหม่กำลังจะกลับมาในฐานะผู้เป็นเจ้า ต่างทยอยกันกลับมากันแล้ว
ภายในพระราชวัง คนรับใช้ต่างคุกเข่าให้การต้อนรับการกลับมาของฮ่องเต้องค์ใหม่ พระราชวังที่เคยถูกทำลายเสียหาย มาในวันนี้ได้กลับกลายเป็นเหลืองอร่ามแวววาว ดูจะมีความหรูหรามากกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงในยุครุ่งเรืองเสียอีก
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ โดยไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ เดินเข้าไปด้านในพร้อมกับพวกหลิ่วชูฉิง
เดิมการกลับมาของฮ่องเต้องค์ใหม่สมควรเป็นเวลาที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จะมีการเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเมืองกัวชางเฉิงยิ่งสมควรประดับโคมไฟและผ้าแพรจึงจะถูก แต่ว่า ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ หรือเมืองกัวชางเฉิงล้วนแล้วแต่ดูเงียบสงบอะไรอย่างนั้น
เนื่องจากไม่มีคำสั่งจากฮ่องเต้องค์ใหม่ จึงไม่มีใครกล้าตัดสินใจ ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าจัดงานฉลองโดยพละการ เกิดไปทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่โกรธขึ้นมา อาจนำมาซึ่งภัยถึงแก่ชีวิตได้
ดังนั้น เมืองกัวชางเฉิงในฐานะที่เป็นเมืองหลวงก็ดูจะเงียบสงบเป็นพิเศษ ไม่มีความปิติของการกลับมาของผู้เป็นเจ้า คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ตัวสั่นงันงก ด้วยจิตใจที่คอยระแวดระวัง
หลังจากที่หลี่ชิเย่กลับมาถึงเมืองกัวชางเฉิงได้ไม่กี่วัน จางเจี๋ยตี้ที่เคยถูกสั่งให้อพยพไปก็ได้กลับมาแล้วในที่สุด
“ฝ่าบาท…” พลันที่จางเจี๋ยตี้เห็นหลี่ชิเย่ก็ได้ก้มกราบกับพื้น และกล่าวว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไม่สามารถอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายฝ่าบาท ขอฝ่าบาทลงพระอาญา”
“ไม่พบกันเสียนาน ลุกขึ้นมาเถอะ ให้เจ้าไร้ความผิด” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉย มองดูจางเจี๋ยตี้ที่คุกเข่าอยู่กับพื้น
จางเจี๋ยตี้ยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่ได้ลุกขึ้นยืนทันที
“เช่นนี้แล้ว แสดงว่าเจ้ามีอะไรจะพูดแล้วสิ?” หลี่ชิเย่หัวเราะ และไม่เคยถามว่าเขาไปอยู่ที่ไหนมา ท่าทางสบายๆ เหมือนรู้ละเอียดทุกอย่าง
“ที่ข้าน้อยกลับมาในครั้งนี้ หนึ่งคือมาขอรับอาญาจากฝ่าบาท สองคือมาขอลาออกกับฝ่าบาท” จางเจี๋ยตี้ก้มหน้า และเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“อ๋อ ขอลาออกรึ?” หลี่ชิเย่อดเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาไม่ได้
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ข้าน้อยไร้ความสามารถ ถึงรั้งอยู่ข้างกายฝ่าบาทก็ไม่สามารถทำอะไรแม้แต่น้อยนิด ดังนั้น ข้าน้อยจึงขอลาออกต่อฝ่าบาท ขอฝ่าบาทอนุญาตให้ข้าน้อยกลับไปยังบ้านเกิด หากไม่อนุญาต ขอให้ฝ่าบาทลดตำแหน่งข้ากลับไปยังหน่วยเดิม ให้ข้าน้อยกลับไปเป็นทหารชราคนหนึ่งในหน่วยก็ได้” จางเจี๋ยตี้กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา
“ใครบอกว่าเจ้าไร้ความสามารถแล้ว?” หลี่ชิเย่อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ และกล่าวว่า “ครั้งนั้นเจ้ารั้งอยู่ข้างกายของข้าเรียกได้ว่ามีความซื่อสัตย์และจงรักภักดี และเรียกได้ว่าเหน็ดเหนื่อยตรากตรำและมีผลงานใหญ่หลวง คือขุนนางที่มีผลงานมาก และเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี ไหนเลยจะไร้ความสามารถ”