Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2567 เรื่องที่แปลกประหลาด
ตอนที่ 2567 เรื่องที่แปลกประหลาด
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ สำหรับการขอคำชี้แนะด้วยความจริงใจของหลี่ยวี่เจิน และกล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ทำไมจะไม่ได้เล่า”
หลี่ยวี่เจินมองดูหลี่ชิเย่แล้วพูดว่า “สัจธรรมของพี่ท่าน ยวี่เจินสังเกตไม่เห็น เหมือนเห็นได้แต่จับต้องไม่ได้ คล้ายไม่เหมือนจริง ไม่ทราบว่าที่พี่ท่านฝึกปรือมาคือเคล็ดวิชาใด สัจธรรมใด?”
ที่หลี่ยวี่เจินพูดมานั้นหาใช่เป็นคำพูดสุภาพที่คนทั่วไปมักนำมาพูดกัน ที่นางพูดนั้นเป็นความจริง หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าแลดูธรรมดายิ่งนัก เมื่อพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดแล้ว รู้สึกได้ว่าหลี่ชิเย่ให้ความรู้สึกผู้คนที่ลึกซึ้งยากจะหยั่งถึง มีความรู้สึกที่เหมือนล่องลอยไม่เป็นความจริง เหมือนว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้อยู่ในสามแดน และได้ออกจากธาตุทั้งห้า ให้ความรู้สึกที่ไม่แท้จริงมากเป็นพิเศษแบบนั้น
แม้ว้าหลี่ยวี่เจินจะไม่ใช่ประเภทโอหังอวดดี แต่ก็ไม่ดูถูกตนเองมากจนเกินไป เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่ให้ความรู้สึกถึงไม่แท้จริงแบบนี้นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน เหมือนว่าทำให้ผู้คนไม่สามารถสำรวจพบเห็นตัวเขาได้อย่างสิ้นเชิงอย่างนั้น
ในสายตาของหลี่ยวี่เจินมองว่า แดนลัทธิราชันยามนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สามารถแข็งแกร่งมากไปกว่านางเกรงว่าคงไม่มี เวลานี้ปรากฏหลี่ชิเย่ที่โผล่ออกมา ให้ความรู้สึกที่ประหลาดเช่นนี้ จะไม่ให้หลี่ยวี่เจินอยากรู้อยากเห็นได้อย่างไร?
“สัจธรรมที่มีเพียงหนึ่งเดียวตลอดกาล อนาคตชั่วกาลนานจะริเริ่มศักราชที่ใหม่ทั้งหมด จะก่อตั้งระบบการฝึกปรือที่ใหม่ทั้งหมด” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ พลันทำให้หลี่ยวี่เจินถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง จ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยท่าทียากจะเชื่ออยู่บ้าง
ถ้าหากไม่ได้ฟังจากปากของหลี่ชิเย่ด้วยตนเอง ยังเข้าใจว่าคนที่พูดเช่นนี้เสียสติไปแล้ว ชั่วกาลนานที่ผ่านมา แดนสามเซียนเคยปรากฏปฐมบรรพบุรุษแล้วจำนวนเท่าไร เคยสร้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิมาแล้วเท่าไร
มีใครบ้างล่ะที่กล้าพูดออกมาว่าสัจธรรมของตนเองคือสัจธรรมเพียงหนึ่งเดียวตลอดกาล แล้วมีใครบ้างล่ะที่กล้าบอกว่าตนเองจะริเริ่มศักราชที่ใหม่ทั้งหมด สร้างระบบการฝึกปรือที่ใหม่ทั้งหมด?
ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษก็ไม่เห็นจะกล้าคุยโวเช่นนี้ เกรงว่าเกาหยางที่มีความปราดเปรื่องน่าทึ่งอย่างยิ่งก็ไม่กล้าคุยโวเช่นนี้ แต่ว่า หลี่ชิเย่ในเวลานี้กลับพูดคำพูดที่อวดดีเช่นนี้ออกมา อีกทั้งยังเป็นการพูดออกมาโดยอาศัยน้ำเสียงที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สิ่งนี้หาใช่หลี่ยวี่เจินดูถูกหลี่ชิเย่ แต่ว่า การที่ลักษณะท่าทางและน้ำเสียงการพูดของหลี่ชิเย่ พลันทำให้หลี่ยวี่เจินตะลึงนิดหนึ่ง เวลานี้นางจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางตะลึงงัน นางไม่รู้ว่าควรจะพูดให้รับกับคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างไรดี
“ระบบการฝึกปรือที่ใหม่ทั้งหมด มันจะเป็นระบบเช่นใดกันเล่า?” หลังจากชั่วครู่ใหญ่ เมื่อหลี่ยวี่เจินได้สติกลับมาแล้ว อดที่จะเอ่ยถามขึ้น
แม้ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่ฟังดูแล้วเหมือนคุยโวโอ้อวดจนไม่รู้จะโอ้อวดมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว แต่ทว่า หลี่ยวี่เจินไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามหลี่ชิเย่ และไม่ได้คิดว่าหลี่ชิเย่นั้นโง่เขลาและอวดดี นางเพียงรู้สึกสนใจอย่างยิ่งในการฝึกปรือที่เป็นระบบใหม่ทั้งหมดที่หลี่ชิเย่พูดถึง
“รอให้วันนั้นมาถึง เจ้าก็จะรู้เอง” หลี่ชิเย่ยิ้มอย่างลับลมคมใน และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หากรอจนถึงการมาถึงของวันนั้น อย่าว่าแต่แดนสามเซียนเลย เกรงว่าทุกแดนก็จะต้องพลิกหน้าที่ใหม่ทั้งหมดขึ้นมา ส่วนจะเป็นการต้อนรับแสงสว่าง หรือต้อนรับการมาของความมืด ก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเข้าไว้”
“คำพูดนี้หมายความว่ะอะไร?” แม้แต่หลี่ยวี่เจินที่มีประสบการณ์กว้างไกลเมื่อได้ฟังคำของหลี่ชิเย่แล้ว ก็รู้สึกงงงัน ฟังไม่ค่อยจะเข้าใจจัก
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ ท่าทางสงบนิ่งดูเป็นธรรมชาติ
หลี่ยวี่เจินก็รู้จักกาลเทศะ เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่ต้องการจะพูดต่อก็ไม่เซ้าซี้ถามอีก ผู้ที่ก้าวมาถึงระดับเช่นพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีญาณรู้ตัวเองดี
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดพวกของหลี่ชิเย่สองคนก็ได้ถึงยังส่วนที่เป็นก้นเหวของหุบเหวหมื่นจ้างแล้ว ขาทั้งสองข้างได้เหยียบลงพื้นแล้วในที่สุด
หลังจากที่ขาทั้งสองข้างได้เหยียบลงบนพื้นแล้ว หลี่ชิเย่และหลี่ยวี่เจินอดที่จะมองไปรอบๆ ไม่ได้ ปรากฏมืดตึ๊ดตื๋อไปทั่ว ไม่สามารถมองอะไรได้อย่างชัดเจน
แน่นอนที่สุด ผู้ที่ก้าวมาถึงเช่นหลี่ชิเย่และหลี่ยวี่เจินระดับนี้แล้ว ต่อให้สถานที่มืดมิดกว่านี้ก็ปิดบังสายตาของพวกเขาไม่ได้ พวกเขายังคงสามารถมองเห็นสภาพโดยรอบได้อย่างชัดเจน
มองดูดินที่อยู่ใต้เท้า แล้วมองดูสภาพโดยรอบ พวกของหลี่ชิเย่ และหลี่ยวี่เจินพบว่า ในขณะนี้พวกเขาอยู่ท่ามกลางหลุมลึกขนาดยักษ์ นอกจากบริเวณใต้เท้าจะมีดินที่ออกจะฟูฟ่องอยู่บ้างแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย
“หายไปหมดเลย” สิ่งนี้ได้สร้างความตระหนกในใจของหลี่ยวี่เจิน เมื่อเห็นว่ารอบๆ นี้เป็นเพียงหลุมลึกขนาดใหญ่ และไม่มีอะไรเลยเท่านั้น จึงกล่าวว่า “เมืองที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ ไม่หลงเหลืออะไรเอาไว้เลย นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ”
เมืองไป่หลานเฉินทั้งเมืองที่มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตยิ่ง หลังจากที่เมืองซึ่งมีขนาดยักษ์เช่นนี้ตกลงไปในลุมลึกแล้ว ถึงกับไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ทั้งไม่เหลือไว้ซึ่งศพของประชาชนในเมือง และไม่เหลือซึ่งร่องรอยใดๆ ของเมืองไป่หลานเฉิง แม้แต่เศษวัสดุของสิ่งปลูกสร้างก็ไม่มีสักชิ้น
เหมือนว่าเมืองไป่หลานเฉิงทั้งเมืองก็ระเหิดหายไปเช่นนี้โดยสิ้นเชิงอย่างนั้น ทั้งตัวเมืองและคนได้ระเหิดหายไปอย่างสิ้นเชิง นับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง เหมือนว่าเมืองไป่หลานเฉิงทั้งเมืองถูกสัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์กลืนกินเข้าไปคำเดียวเลยอย่างนั้น ไม่หลงเหลือแม้แต่ซากนักนิด
“การที่เมืองทั้งเมืองหายไปในอากาศ บางทีอาจมีเหตุผลของมันอยู่” หลี่ชิเย่หยิบเอาดินที่อยู่บนพื้นขึ้นมากำหนึ่ง ใช้มือบีบให้มันแหลกอย่างละเอียด ดินที่ถูกบีบละเอียดได้ไหลผ่านช่องระหว่างนิ้วมือลงมา
“เมืองทั้งเมือง ประชาชนอีกหลายหมื่นคน หายไปไหนกันแน่นะ?” จิตเทพของหลี่ยวี่เจินก็ได้ทำการสำรวจพื้นที่บริเวณนี้ในเชิงลึก แต่ทว่า บริเวณพื้นที่แห่งนี้นอกเหนือจากพวกเขาแล้ว มีแต่ความว่างเปล่าทั่วบริเวณ ไม่มีสิ่งใดอีกเลย
“สถานที่ที่ลึกยิ่งกว่านี้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “มีบางสิ่งเคยมาที่นี่ ทุกอย่างถูกกวาดเอาไปสิ้น” กล่าวพลางมองดูรอบๆ ทีหนึ่ง
“ยังอยู่หรือไม่?” หลี่ยวี่เจินกวาดตามองไปทีหนึ่ง ย่อมไม่ต้องสงสัย นางที่แข็งแกร่งเพียงนี้เมื่อไรที่ลงมือย่อมสะเทือนเลื่อนลั่นน่าหวาดผวายิ่งนัก
“ไปไกลแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่โยนดินที่อยู่ในมือไป สัมผัสมือขึ้นลง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ในที่สุดโอกาสก็สุกงอมแล้ว ได้เวลาที่ต้องลงมือแล้วในที่สุด”
“ความหมายของพี่ท่าน มีสิ่งชั่วร้ายอาละวาดอยู่ที่นี่จริงรึ?” หลี่ยวี่เจินเอ่ยถามขึ้นมาช้าๆ
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และกล่าวว่า “เป็นสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ข้าไมรู้หรอกนะ แต่ สิ่งนี้ต้องไม่ใช่สิ่งดีอะไรแน่นอน ไหนเลยจะไม่มีเหตุผลที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจะตกต่ำลงภายในชั่วข้ามคืนได้”
“เจ้าสิ่งนี้คืออะไร?” หลี่ยวี่เจินเอ่ยถามขึ้นช้าๆ ว่า “ครั้งนั้นระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นนับได้ว่าเจริญรุ่งเรือง เคยมีราชันแท้จริงนั่งบัญชาการอยู่ กำลังความสามารถเหนือกว่าตระกูลหลี่ และตระกูลมู่อยู่มากทีเดียว เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า หากไม่ได้ปฐมบรรพบุรุษลงมือ คิดจะทำลายล้างระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นใช่เป็นเรื่องง่ายดาย ครั้งนั้นที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเสื่อมลง ไม่เคยได้ยินว่ามีการผ่านการสู้รบที่สะเทือนเลื่อนลั่นมาก่อน”
“เรื่องบางเรื่องอยู่เหนือความคาดคิดของผู้คนเป็นอันมาก” หลี่ชิเย่เดินอยู่บนหลุมขนาดใหญ่หลุ่มนี้ สำรวจดินที่อยู่บริเวณหลุมขนาดใหญ่ทุกตารางนิ้ว และกล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “อย่างน้อยที่สุดสามารถมั่นใจได้ว่า เจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่ของโลกใบนี้”
“ไม่ใช่ของโลกใบนี้?” แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหลี่ยวี่เจินก็อดที่จะตระหนกในใจไม่ได้ และกล่าวว่า “หรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายนอกแดนสามเซียน?”
ครั้นหลี่ยวี่เจินเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้หยุดนิดหนึ่ง จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “นอกเหนือจากแดนสามเซียนแล้วเป็นโลกแบบไหนกัน?”
แน่นอน ผู้บำเพ็ญตนและสิ่งมีชีวิตของแดนสามเซียนไม่รู้หรอกว่าโลกที่อยู่นอกเหนือจากแดนสามเซียน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่รู้หรอกว่านอกเหนือจากแดนสามเซียนแล้ว ยังมีเก้าแดน ยังมีสิบสามทวีปอยู่
“ไม่ได้ง่ายปานนั้น” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “บรรดาสิ่งมีชีวิตนอกแดนสามเซียนไหนเลยจะมาถึงที่ตรงนี้ได้ กล่าวให้ถูกต้องมากกว่านั้นคืออยู่เหนือแดนสามเซียนขึ้นไป”
“เหนือแดนสามเซียนขึ้นไป?” หลี่ยวี่เจินอดที่จะเพ่งสายตาไปข้างหน้าและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เรียกว่าเป็นอมตะได้หรือไม่?” เล่าลือกันว่า เหนือแดนลัทธิเซียนขึ้นไป อาจเป็นไปได้ว่าสามารถอยู่เป็นอมตะ”
“ไม่” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เหนือแดนสามเซียนขึ้นไปที่เรียกกันว่าอมตะนั้น ผู้คนบนโลกก็ไม่ทราบแน่ว่าจริงหรือเท็จ และไม่รู้ว่ามีแดนอมตะอยู่จริงหรือไม่อย่างไร แต่ว่า อยู่เหนือแดนสามเซียนที่ข้าพูดถึงหาใช้แดนอมตะที่ว่า สถานที่แห่งนั้นเรียกได้ว่าก้าวข้ามสวรรค์”
“สวรรค์…” หลี่ยวี่เจินอดที่จะแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า พวกเขาอยู่ท่ามกลางหุบเหวลึก สายตาจะต้องทะลุผ่านเป็นหมื่นลี้จึงสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้
ความจริงแล้วกล่าวสำหรับหลี่ยวี่เจิน กระทั่งผู้บำเพ็ญตนใดๆ ของแดนสามซียนแล้ว ทุกคนมีภาพความทรงจำเกี่ยวกับสวรรค์ ที่เลือนรางยิ่งนัก กระทั่งในใจของผู้คนจำนวนมากไม่ได้มีภาพความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับสวรรค์ อย่างมากที่สุดก็คือท้องฟ้าที่สูงมากขึ้นไปกว่านั้นเท่านั้น
“เป็นความจริงที่ว่า เมื่อขาดเรื่องวิบากภัยไป ภาพความทรงจำเกี่ยวกับสวรรค์ก็จะเลือนราง” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย สามารถเข้าใจในท่าทีของหลี่ยวี่เจินได้
แดนสามเซียนไม่เหมือนดั่งเก้าแดน และหรือสิบสามทวีป ในสิบสามทวีปและเก้าแดนนั้น ทุกครั้งที่ก้าวไปอีกขั้นก็จะต้องเผชิญกับวิบากสวรรค์ เผชิญกับฟ้าผ่า กล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นเก้าแดน หรือสิบสามทวีปจะมีภาพความทรงจำต่อสวรรค์ที่ลึกซึ้งยิ่งนัก กระทั่งมีผู้ที่ด่าว่าเป็นสวรรค์โจร
“เรื่องวิบากสวรรค์ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ยามที่ปรัชญาเมธีต้องการก้าวทะลุไประดับที่สูงกว่านั้นอีก ก็มีโอกาสพบกับวิบากสวรรค์เหมือนกัน” หลี่ยวี่เจินกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ความหมายของพี่หลี่ก็คือ หรือว่าการหายตัวไปของเมืองไป่หลานเฉิงเป็นวิบากภัยจากสวรรค์?”
“สวรรค์โจรยังไม่ว่างถึงขั้นนี้” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “อีกอย่าง หากสวรรค์โจรจะทำให้เกิดวิบากภัยขึ้นมาจริงๆล่ะก็ มันคงจะไม่ใช่แค่วิบากภัยเล็กๆ แล้วล่ะ และไม่ง่ายเพียงแค่เมืองไป่หลานเฉิงเมืองเดียวที่หายไปเท่านั้น”
“ถ้าหากสวรรค์จะให้เกิดวิบากภัยต่อใต้หล้า มันจะเป็นวิบากภัยเช่นใดกัน?” ในเวลานี้หลี่ยวี่เจินรู้สึกเหมือนไม่เป็นมงคลอย่างหนึ่ง อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“ทำลายล้างโลก…” หลี่ชิเย่กล่าวคำๆ นี้ด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ทำลายล้างโลก…” แม้แต่หลี่ยวี่เจินที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็ต้องสะดุ้งในใจ และสะเทือนหวั่นไหวในใจทีหนึ่ง
เมื่อหลี่ยวี่เจินได้สติกลับมาแล้ว อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ทำลายล้างโลกมีอานุภาพแค่ไหน?”
“เฉกเช่นกำลังความสามารถเช่นเจ้า?” หลี่ชิเย่เลิกหนังตาทีหนึ่ง มองหน้าหลี่ยวี่เจินทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “ภายใต้การทำลายล้างโลก เป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้น ต่อให้เป็นปฐมบรรพบุรุษก็คงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ใช่มดปลวก”
คำพูดเช่นนี้ทำให้หลี่ยวี่เจินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ตะลึงนิดหนึ่ง หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงพาลโกรธขึ้นมา จะอย่างไรเสียนางที่แข็งแกร่งจนถึงระดับนี้ คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ในสายตาของคนอื่น มันคือการดูถูกนาง เป็นการจงใจทำให้นางต้องอับอาย ความโกรธในใจต้องแล่นขึ้นมาอย่างแน่นอน
ขณะที่หลี่ยวี่เจินกลับสะดุ้งในใจ แม้ว่านางไม่คิดว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกร แต่ว่านางยังคงมีความมั่นใจในศักยภาพของตนเองอยู่ หากภายใต้การทำลายล้างโลกเหมือนดั่งมดปลวกจริงล่ะก็ ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า ยามเมื่อนาทีนั้นมาถึง มันจะเป็นภาพที่น่ากลัวเพียงใด