Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2568 ลึกลับ
ตอนที่ 2568 ลึกลับ
หลี่ยวี่เจินอดที่จะแหงนหน้ามองท้องฟ้าทีหนึ่ง ละสายตากลับมาแล้วก็กล่าวต่อหลี่ชิเย่ว่า “การทำลายล้างโลกจะเกิดขึ้นจริงๆ รึ?” นางที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ยังไม่กล้าไปจินตนาการว่าขณะการทำลายล้างโลกมาถึง จะเป็นสภาพที่น่ากลัวเช่นใด
“ควรจะบอกว่า แดนสามเซียนนั้นโชคดี” หลี่ชิเย่อดที่ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “นับแต่อดีตมา ก้าวข้ามมายุคแล้วยุคเล่า ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาวนาน กลับหลีกหนีพ้นจากกาลเวลาที่น่ากลัวแล้วน่ากลัวเล่ามาได้ ความโชคดีเช่นนี้ได้ทั้งจังหวะเวลาและโอกาส ชัยภูมิทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ และก็การกระทำของคน สิ่งนี้ต้องขอบคุณในความพยายามของเหล่าปรัชญาเมธี จึงได้มีสภาพอย่างที่เห็น”
หลี่ยวี่เจินฟังคำบอกเล่าของหลี่ชิเย่เงียบๆ แม้ว่านางไม่สามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งถึงข้อมูลข่าวสารทั้งหมดโดยสิ้นเชิงจากคำบอกเล่านี้ แต่นางก็ได้รู้อะไรต่างๆ ไม่น้อยทีเดียว สิ่งนี้ทำให้ภายในใจของนางอดหวั่นไหวไม่ได้
นอกจากทำให้นางได้รู้ว่า ด้านนอกแดนสามเซียนยังมีโลกอื่นๆ อีกแล้ว เงาทมิฬที่น่ากลัวก็ยังปกคลุมโลกนี้ตลอดมา
“เพราะอะไรถึงมีการทำลายล้างโลกล่ะ? ถ้าหากการทำลายล้างโลกเกิดจากสวรรค์ เช่นนั้นแล้วมันเป็นเพราะเหตุผลใดกันแน่?” หลี่ยวี่เจินอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
หลี่ชิเย่ไม่ให้คำตอบ เพียงยิ้มๆ ไม่ตอบคำถามของหลี่ยวี่เจิน
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่หยุดก้าวเดินและนั่งยองๆ ลง เก็บเศษชิ้นส่วนชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากบนพื้น เศษชิ้นส่วนชิ้นนี้ดูเหมือนเป็นเศษผิวหนัง ลักษณะเหมือนเหนียวๆ อยู่บ้าง เหมือนตกลงมาจากหนวดสัมผัสอะไรสักอย่าง
“น่าสนใจ ของบ้าๆ เช่นนี้มันมาได้อย่างไรกันแน่ มันไม่มีเหตุผลนะเนี่ย” สายตาของหลี่ชิเย่อดที่จะเพ่งมองไปข้างหน้า จ้องเขม็งไปที่เศษชิ้นส่วนที่อยู่บนมือ
ในเวลานี้เอง ได้ยินเสียงดังปุขึ้นเสียงหนึ่ง เศษชิ้นส่วนเล็กๆ นี้เสมือนดั่งมีเส้นใยสัมผัสขนาดจิ๋วแต่ละเส้นงอกออกมา และจะชอนไชเข้าไปในผิวหนังของหลี่ชิเย่ ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย ได้ยินเสียงตูมเสียงหนึ่งดังขึ้น บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ปรากฏเปลวไฟลุกขึ้นมา โดยเปลวไฟดังกล่าวมีสีเขียวคราม ได้ยินเสียงดังจี๊ด จี๊ด จี๊ด เปลวไฟพลันจัดการเผาไหม้เศษชิ้นส่วนนี้จนไม่เหลือซาก กลายเป็นควันดำปลิวกระจายออกไป
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้เผาเศษชิ้นส่วนนี้ไปแล้ว อดที่จะแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าไม่ได้ สายตาเพ่งไปข้างหน้าเสมือนดั่งทะลุผ่านอดีตอย่างนั้น เหมือนก้าวข้ามตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
“ไม่มีเหตุผลนะเนี่ย” หลี่ชิเย่จ้องมองดูท้องฟ้า แม้จะเป็นตัวเขาก็รู้สึกตื่นตระหนกอยู่ในใจ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าบ้านี่มันลงมาได้อย่างไรกันแน่นะ ดูท่า โลกนี้ไม่มีสถานที่ที่ปลอดภัยได้อีกแล้ว”
ท่าทางของหลี่ชิเย่ต้องใช้สมาธิครุ่นคิดเมื่อนึกถึงโครงกระดูกโครงนั้นในคุกหลวงดึกดำบรรพ์ เรื่องราวทุกอย่างดูจะไม่ง่ายเสียแล้ว เรื่องบางเรื่องได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นลึกๆ แล้ว เพียงแต่ผู้คนบนโลกไม่รู้เท่านั้นเอง
“ข้างบนนั้นเป็นสถานที่เช่นใดกันแน่?” หลี่ยวี่เจินอดที่นึกถึงคำสนทนาเมื่อครู่ และเอ่ยถามแผ่วเบาเมื่อเห็นหลี่ชิเย่มองไปบนท้องฟ้า
“สยองขวัญ” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สยองขวัญที่เหนือจินตนาการของเจ้า” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ท่าทางของเขาดูจะใช้สมาธิ
“สยองขวัญ?” หลี่ยวี่เจินรู้สึกแปลกใจ เอ่ยถามว่า “มันเป็นการสยองขวัญอย่างใด เป็นเพราะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หรือว่าแข็งแกร่งจนถึงขั้นปราศจากผู้ใดเทียบเทียม?”
“มันเป็นการเรียกอย่างหนึ่งเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยและกล่าวว่า “ก็เหมือนเซียนอย่างนั้น มันก็เป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น หรือว่าเจ้ารู้ว่าเซียนมีหน้าตาเป็นอย่างไรรึ?”
“เซียน?” หลี่ยวี่เจินตะลึงนิดหนึ่ง แม้ว่านางที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ก็ไม่เคยพบเห็นเซียนมาก่อน ความจริงแล้ว ทั่วโลกต่อให้เป็นอดีตถึงปัจจุบันมีใครได้เคยเห็นเซียนที่แท้จริงบ้าง? เกรงว่าคงไม่มี
ถ้าหากเอ่ยถึงเซียน ทุกคนจะมีภาพความทรงจำที่เลือนรางอย่างยิ่งต่อผู้เป็นเซียน
“ทำไมจะต้องนำเอาเซียนกับสยองขวัญมาเรียงไว้ด้วยกัน?” เมื่อหลี่ยวี่เจินได้สติกลับมา รู้สึกหวั่นไหวในใจ จ้องมองหลี่ชิเย่ ในใจของนางบังเกิดแนวคิดที่ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมา
“คนเราจะมีสองประเภทกับสิ่งที่ยังไม่รู้ หนึ่งคือหวาดกลัว สองคือปรารถนาจะให้ได้มา” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “หวาดกลัวมักจะกำเนิดมาจากปราศจากผู้ต่อกรอยู่เสมอๆ ขณะที่ปรารถนาจะให้ได้มากำเนิดมาจากความโง่เขลา เพียงแต่ความโง่เขลาแบบนี้ได้หมายรวมถึงความกระหายอยากของตน และสภาพที่ตนอยากจะเห็น”
“นี่แหละคือเพราะอะไรจึงมีผู้ที่ปรารถนาแสงสว่าง มีผู้ที่หวาดกลัวต่อความมืด” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว มองดูหลี่ยวี่เจินทีหนึ่ง
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้หลี่ยวี่เจินนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
“ถ้าหากให้สภาพที่เจ้าอยากจะเห็นกับเจ้า และให้ความปรารถนาให้ได้มากับเจ้า เจ้าปรารถนาสิ่งใด? อยากเห็นสภาพเช่นใด?” ในเวลานี้ หลี่ชิเย่เผยให้เห็นรอยยิ้ม และจ้องมองไปที่หลี่ยวี่เจิน
“มีอายุวัฒนะไม่มีวันตาย…” หลี่ยวี่เจินหลุดปากพูดออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิด
การที่หลี่ยวี่เจินหลุดปากพูดสภาพที่ตนอยากได้ออกมาเช่นนี้ก็ไม่นับเป็นเรื่องแปลก ยอดฝีมือจำนวนเท่าไร ราชันแท้จริงจำนวนเท่าไร ปฐมบรรพบุรุษจำนวนเท่าไรล้วนแล้วแต่เคยเสาะแสวงหาความเป็นอมตะ จะอย่างไรเสียเมื่อเทียบกับความเป็นอมตะแล้ว หลายๆ สิ่งในโลกล้วนกลับกลายเป็นไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง ขอเพียงมีเวลาที่ไม่จำกัดอยู่ในความครอบครอง ยังจะมีสิ่งใดไม่สามารถเป็นจริงได้เล่า?
“หลังจากมีอายุวัฒนะไม่มีวันตายแล้วล่ะ…” หลี่ชิเย่มองดูหลี่ยวี่เจินด้วยท่าทีเฉยเมย และยิ้มกล่าว
หลี่ยวี่เจินถึงกับตะลึง เมื่อได้ยินปัญหาเช่นนี้ ไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ รู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แม้แต่ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะเช่นนางก็ไม่เคยคิดมาก่อน
เนื่องจากการมีอายุวัฒนะไม่มีวันตายกล่าวสำหรับทุกคนแล้ว มันเป็นเรื่องที่ห่างไกลไม่สามารถเอื้อมถึง เป็นเพียงความฝันในใจของทุกคนเท่านั้น เมื่อมีความฝันเรื่องอายุวัฒนะที่ไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้วางอยู่ตรงหน้า แล้วจะมีใครไปนึกถึงหลังจากนั้นเล่า?
แม้แต่การมีอายุวัฒนะยังทำไม่ได้ ยังจะไปนึกถึงว่าหลังจากมีอายุวัฒนะไม่มีวันตายแล้วทำไม
แต่ว่า เวลานี้หากย้อนนึกอีกที ถ้าหากตนเองสามารถเป็นอมตะไม่มีวันตายแล้ว หลังจากนั้นควรจะเสาะแสวงหาเช่นใดกันเล่า?
ในเวลานี้ หลี่ยวี่เจินก็ไม่สามารถตอบได้ นางถึงกับนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น
เวลานี้ หลี่ชิเย่มองหน้านางทีหนึ่งและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “โลกนี้ไม่มีความหมายที่แท้จริงของคำว่าอมตะไม่มีวันตาย ถ้าหากมี ก็ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทน ถ้าหากโลกนี้มีเซียนอยู่จริง เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าพบเห็นผู้ที่เป็นเซียน ฟ้าดินกว้างไกลแค่ไหนเจ้าก็หนีไปให้ไกลเท่านั้นก็แล้วกัน”
“ทำไมต้องหนี?” แววตาของหลี่ยวี่เจินถึงกับเต้นกระตุกทีหนึ่ง เนื่องจากในเวลานี้ภายในใจของนางมีความคิดๆ หนึ่งที่น่ากลัว
“เนื่องจากเขาเป็นเซียน เนื่องจากเขาเป็นอมตะไม่มีวันตาย” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉย สายตากลับกลายเป็นลึกซึ้งยิ่งนัก
ภายในใจของหลี่ยวี่เจินถึงกับหนาวสะท้าน จากคำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้นางเข้าใจอะไรบางอย่าง เซียน ในสายตาของผู้คนจำนวนเท่าไร นั่นก็ความปรารถนาที่งดงามอย่างยิ่ง ถ้าหากมีสักวันสามารถพบเจอกับเซียนจริงๆ กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนเท่าไร นั่นคือสิ่งที่พบด้วยความอัศจรรย์โดยแท้และเสาะแสวงหาไม่ได้ชั่วชีวิต กระทั่งกล่าวได้ว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ยากได้ได้พบตลอดกาล
สามารถพบเจอกับเซียนสักคนหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตาม เกรงว่าก็ต้องไม่พลาดโอกาสที่ยากจะได้พบพานตลอดกาลนี้ ล้วนแล้วแต่ทำให้คุ้มค่าและถนอมโอกาสเช่นนี้เอาไว้ กระทั่งขอคำชี้แนะหรือเรียนรู้จากเขา
แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับบอกว่าเมื่อพบกับเซียนแล้ว โลกนี้กว้างไกลเท่าไรก็ให้หนีไปไกลเท่านั้น ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับผู้คน
ถ้าหากเป็นผู้อื่นได้ยินคำพูดเช่นนี้ล่ะก็ ต้องเข้าใจว่าเป็นคำพูดที่เสียสติของหลี่ชิเย่แน่นอน แต่ว่า เวลานี้เมื่อหลี่ยวี่เจินฟังกับหูแล้ว กลับอดที่จะครุ่นคิดกับสิ่งนี้ไม่ได้
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้หยุดการก้าวเดิน มองดูรอบๆ ทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เป็นการล่าอย่างหนึ่งนะเนี่ย”
“ความหมายของพี่ท่าน ยังจะต้องมีเมื่องที่ประสบความหายนะ?” หลี่ยวี่เจินก็หยุดก้าวเดินตาม และเอ่ยถามขึ้น
“แน่นอน” หลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวว่า “การลอบโจมตีเมืองไป่หลานเฉิง เป็นเพียงการทดลองเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง มันจะมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และหิวกระหายมากยิ่งขึ้น”
“เป็นไปได้หรือไม่ที่พี่ท่านจะตามสะกดรอยมันได้ พวกเราร่วมมือจัดกันกับตัวอัปลักษณ์นี่เสีย” ภายในใจของหลี่ยวี่เจินรู้สึกหวั่นไหว นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจัง
แม้ว่านางไม่ได้คิดจะไปเป็นผู้ใจบุญอะไร หรือเป็นพระเจ้าช่วยโลกอะไรนั่น แต่ทว่า ถ้าหากนางพบว่ามีสิ่งชั่วร้ายอาละวาด เป็นภัยต่อที่ใดที่หนึ่ง นางจะไม่นิ่งดูดายอย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว
“คิดจะตามหามัน ใช่จะเป็นเรื่องง่ายดาย” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “พวกเราไปจากที่ตรงนี้ชั่วคราวก่อน” ขาดคำเหินฟ้าขึ้นไป
หลี่ยวี่เจินติดตามมาทางด้านหลัง จากนั้น พวกเขาทั้งสองได้กลับมาถึงบนพื้นดิน ยืนอยู่ตรงด้านข้างของหุบเหวลึก
ในเวลานี้ มองเห็นบนท้องฟ้าปรากฏเงาคนเลือนราง ในที่สุด การหายสาบสูญของเมืองไป่หลานเฉินอย่างกะทันหัน ก็ได้ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนบางส่วนแตกตื่น ต่างทยอยกันรุดมาดูว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อหลี่ยวี่เจินเห็นว่าที่ที่ห่างไกลออกไปปรากฏคนลางๆ ขึ้นมา นางก็รู้แล้วว่าสมควรจะไปจากได้แล้ว นางแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “พี่ท่าน น้องยังมีภารกิจรัดตัว ขอตัวก่อน วันหน้าจะต้องขอคำชี้แนะจากพี่ท่านอีก”
หลี่ชิเย่พยักหน้ากับนาง และกล่าวว่า “แล้วพบกันใหม่”
หลี่ยวี่เจินกล่าวคำอำลากับหลี่ชิเย่ จากนั้นเห็นเงาแวบหนึ่งพลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย นางที่ก้าวมาถึงระดับนี้แล้ว การจะไปมาอย่างไร้ร่องรอย หาใช่เป็นเรื่องยากเย็นอย่างสิ้นเชิง
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้รับรู้ถึงการเต้นของชีพจรพื้นดิน เมื่อดวงตาทั้งสองเพ่งไปข้างหน้า กำหนดทิศทางเอาไว้และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ดูท่าความวุ่นวายและภัยพิบัติกำลังจะก่อตัว เพียงแต่ไม่รู้ว่าบรรดาปรัชญาเมธีของแดนสามเซียนได้เตรียมตัวแล้วหรือยัง”
หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา เหินฟ้าขึ้นไปมุ่งหน้าไปยังด้านหน้า ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้กำหนดทิศทางเอาไว้แล้ว ดังนั้นเขาติดตามไปตลอดทาง
ระหว่างที่หลี่ชิเย่ก้าวข้ามภูเขาแต่ละลูกไปแล้วนั้น ระหว่างทางผ่านหุบเขาแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่ร้องขึ้นมาเป็นระลอก จึงมองตามเสียงไป
มองเห็นท่ามกลางหุบเขามีผู้เฒ่าถูกปิดล้อมเอาไว้ โดยถูกปิดล้อมจากปีศาจต้นไม้หลายต้น ต้นปีศาจแต่ละต้นได้พ่นเส้นใย และหวดด้วยแส้ ดุร้ายและแปลกประหลาด ล้อมผู้เฒ่าผู้นี้เอาไว้อย่างแน่นหนา
ผู้เฒ่าผู้นี้สู้ถวายชีวิต พยายามฝ่าวงล้อมออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ หลังจากที่ฝ่าวงล้อมมาหลายครั้ง ทำให้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือด พลังลมปราณของเขาเริ่มไม่ไหวลงเรื่อยๆ และการต่อต้านก็อ่อนกำลังลงเรื่อยๆ
เวลานี้ ต้นไม้ปีศาจแต่ละต้นได้รุกหนักมากขึ้น หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว ท่าทางเหมือนเตรียมจะดื่มเลือดคน กินเนื้อคนอย่างนั้น
เมื่อผู้เฒ่าเห็นปีศาจต้นไม้รุกคืบเข้ามามากขึ้นถึงกับสิ้นหวัง เส้นระหว่างความเป็นความตาย เขาอดที่จะร้องด้วยความโศกเศร้าในใจว่า “ข้าไม่รอดแล้ว!”
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่ผู้เฒ่าเข้าใจว่าตัวเองจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแล้วนั้น หลี่ชิเย่เพียงลงมือไปตามอารมณ์ก็ยิงทะลุลำต้นของปีศาจต้นไม้ไปหลายต้น ทำให้ปีศาจต้นไม้หวาดผวา จึงรีบเร่งหลบหนีไป
ผู้เฒ่าตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมารู้สึกดีใจอย่างยิ่ง พบว่าตัวเองรอดชีวิตมาได้
“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต…” เมื่อได้สติกลับมา ผู้เฒ่าก้มหัวแสดงคารวะทันทีที่เห็นหลี่ชิเย่
………………………………………………….