Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2569 เมืองหมิงลั่วเฉิง
ตอนที่ 2569 เมืองหมิงลั่วเฉิง
หลี่ชิเย่เห็นผู้เฒ่าก้มหัวแสดงคารวะ จึงกล่าวเรียบเฉยว่า “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะพูดแบบเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กล่าวสำหรับผู้เฒ่าแล้ว มันคือบุญคุณที่ช่วยชีวิต รู้สึกซาบซึ้งจนหาที่สุดมิได้ รีบคารวะอีกครั้งและกล่าวว่า “เก่ากะลาหวูโย่วเจิ้ง บุญคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน วันหน้าหากมีอะไรต้องการเก่ากะลาล่ะก็ เก่ากะลาอย่างข้าพร้อมรับคำสั่ง เพื่อเป็นม้ารับใช้ให้ท่าน…”
อย่างไรก็ตาม คำพูดของผู้เฒ่าพูดยังไม่ทันจบ หลี่ชิเย่ก็ลอยล่องจากไปแล้ว และหายไปในเส้นขอบฟ้าเพียงชั่วพริบตา กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เรื่องเช่นนี้เป็นความจริงที่ทำได้อย่างง่ายดาย เขาขี้คร้านจะไปสนใจ ไหนเลยจะไปใส่ใจเรื่องการซาบซึ้งบุญคุณของผู้เฒ่าเล่า
เมื่อผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นมา มองดูร่างเงาของหลี่ชิเย่ที่หายไปในเส้นขอบฟ้า เขาอดที่จะทอดถอนใจเบาๆ ออกมา รู้ว่าวันนี้ตนเองได้พบยอดฝีมือเข้าให้แล้ว ยอดฝีมือที่สามารถสังหารปีศาจต้นไม้อย่างสบายๆ วิชาตัวเบาสูงส่ง ไหนเลยจะเข้าใกล้ได้เล่า
หลี่ชิเย่ล่องลอยด้วยการเหินฟ้าจากไป การย่างก้าวดั่งเมฆดุจสายน้ำ ดูเหมือนช้า แต่ความจริงแล้วหนึ่งก้าวหนึ่งอาณาเขต เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ก้าวข้ามแต่ละอาณาจักรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นในฐานะที่เป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของแดนลัทธิราชัน อีกทั้งยังเคยเป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่ปกครองใต้หล้ามาแล้ว เรียกได้ว่า เป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่มีพื้นที่กว้างขวางไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง
แต่ทว่า ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ กลับมีผู้คนอาศัยอยู่น้อยมาก มีเมืองอยู่ไม่กี่แห่ง ภูเขาแม่น้ำมีลักษณะที่เหมือนพระอาทิตย์อัสดง ภาพรวมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเสมือนดั่งเป็นคนแก่ที่อยู่ในบั้นปลายของชีวิต เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ทอดสายตามองออกไป สิ่งที่มองเห็นล้วนแล้วแต่เป็นควางเงียบสงัด ท่าทางเหมือนป่วยเป็นโรค แม้แต่สิงสาราสัตว์ก็ไม่ได้มีกลิ่นอายของความฮึกเหิมดั่งมังกร และเสือที่ผาดโผน ดูไปแล้วคือมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้น
พื้นดินผืนนี้ดูไปแล้วช่างกันดารอะไรอย่างนั้น ช่างตกต่ำ เหมือนว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินี้พร้อมจะแตกละเอียดได้ทุกเวลาอย่างนั้น
ความจริงแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเคยมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ภายหลังได้ตกต่ำลงภายในชั่วข้ามคืน หลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากร หรือว่าสิงสาราสัตว์ของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิทั้งหมด ในด้านจำนวนนั้นล้วนแล้วแต่ไวต่อความรู้สึกยิ่ง
ในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านไป สำนักที่มีกำลัง และมีผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งเพียงพอ หากไม่อพยพไปไกลจากที่นี่ ก็ไปสวามิภักดิ์ต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ แต่ก็มีสำนักบางแห่งล่มสลายตามการตกต่ำลงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ
ส่วนสิงสาราสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะสิงสาราสัตว์ที่แข็งแกร่งถึงระดับหนึ่ง ต่างทยอยกันไปจากระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นไปอาศัยยังที่อื่นๆ ดั่งนกที่ดีย่อมเลือกกิ่งไม้ที่จะเกาะ
จากการตกต่ำลงทุกวันๆ ของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ทำให้สมุนไพรหญ้าทิพย์ที่มีอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลดน้อยลงเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้สภาพโดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิตกต่ำลงรวดเร็วยิ่งขึ้น
หลี่ชิเย่เหินฟ้าไปตลอดทาง ก้าวข้ามพื้นที่ของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นไปครึ่งหนึ่ง ทุกๆ ที่ที่ผ่านไปเรียกได้ว่ามีแต่ความเงียบเชียบ กระทั่งกล่าวได้ว่า ยากจะได้พบเห็นผู้บำเพ็ญตนที่เหินฟ้าดำดินสักคน
เฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่ตกต่ำเช่นนี้ สิ่งที่พบเห็นก็คือบรรดาหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ลึกเข้าไปในป่า หากมีสักสามสิบถึงห้าสิบครัวเรือนก็ต้องถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองแล้ว อีกทั้งหมู่บ้านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ห่างกันมาก ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไม่ได้มีลักษณะของความเจริญรุ่งเรืองให้เห็นอย่างสิ้นเชิง
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลักษณะเช่นนี้ พูดไปก็ยากจะมีคนเชื่อ หากบอกว่าเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิระดับชั้นลัทธิราชัน ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลักษณะเช่นนี้ใกล้จะล่มสลายอยู่แล้ว
แต่ว่า กล่าวสำหรับราษฎรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้ว มันคือความโชคร้ายอย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง ที่โชคร้ายคือระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นตกต่ำ ทำให้ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิกลับกลายเป็นแห้งแล้วกันดาร ที่โชคดีคือ ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพวกเขายังคงอยู่ อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งอุดมสมบูรณ์ ทำให้สภาพโดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดยังห่างไกลจากการล่มสลาย
หากจะกล่าวว่าการล่มสลายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง สำหรับสิ่งมีชีวิตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินั้นๆ เป็นความจริงที่มันดุจดั่งเป็นภัยพิบัติอย่างหนึ่ง คล้ายเป็นภัยทางธรรมชาติอย่างนั้น ทั่วฟ้าดินเสมือนดั่งพินาศย่อยยับไปอย่างนั้น จังหวะที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหนึ่งล่มสลายนั้น สิ่งมีชีวิตที่มีศักยภาพได้แต่หนีไปยังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ และหรือไปอาศัยยังสถานที่อื่นๆ ส่วนสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีศักยภาพจะหลบหนีไปก็ได้แต่มองตาปริบๆ เห็นการล่มสลายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิดังกล่าว สุดท้ายก็จะถูกฝังไปด้วยกันกับการล่มสลายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้
แน่นอน หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็มีวันแห้งเหือดสักวัน ปฐมบรรพบุรุษที่มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ ก็ไม่สามารถทำให้ต้นกำเนิดสัจธรรมของตนเจริญรุ่งเรื่องไปได้ตลอดกาล
การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสามารถเจริญรุ่งเรืองไปได้ตลอดกาลนั้น ต้องอาศัยยอดฝีมือ และปรัชญาเมธีรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่คอยค้ำจุน มีเพียงอาศัยพลังที่ไม่ขาดสายทำการหล่อเลี้ยงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิดังกล่าว จึงสามารถทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้สืบทอดต่อไปรุนสู่รุ่น และมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
เวลานี้สิ่งมีชีวิตของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ผู้บำเพ็ญตนก็มีน้อยลงทุกวัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชันแท้จริง และขั้นอมตะอีกเลย เมื่อไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงสืบต่อไปรุ่นสู่รุ่น เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็ต้องก้าวเดินไปถึงจุดที่แห้งเหือดลงสักวัน ท้ายที่สุดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดก็จะแตกละเอียดตามมา
หลี่ชิเย่ไล่ติดตามไปตลอดทาง มองดูระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นที่รกร้างตกต่ำลงโดยไม่ได้มีความรู้สึกมากมายนัก พันล้านปีที่ผ่านมา สำนักต่างๆ ที่เจริญรุ่งเรืองตกต่ำเขาเห็นมามากแล้ว เรียกได้ว่าชาชินเสียแล้วล่ะ
“นี่มันไม่ง่ายดายเพียงแค่การอิ่มเอมสักมื้อเท่านั้น” หลี่ชิเย่ที่ไล่ติดตามมาตลอดทาง ในใจของเขามีความเขาใจที่เป็นภาพรวมแล้ว รู้ว่ามันจะต้องเป็นลักษณะเช่นใดต่อไป ในเวลานี้ จิตเทพที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรของเขาได้ล็อกผืนแผ่นดินผืนนี้เอาไว้แล้ว ดังนั้น ไม่มีอะไรสามารถรอดไปจากดวงตาคู่นั้นของเขาไปได้
หลี่ชิเย่รู้ว่าการหายไปของเมืองไป่หลานเฉิงเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้นเอง บางทีภาพความน่ากลัวเช่นนี้อาจจะลุกลามไปทั่วแดนลัทธิราชันก็เป็นได้
จากการไล่ติดตามมาตลอดทาง สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้หยุดลง ปรากฎเมืองโบราณขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้นที่เส้นขอบฟ้าด้านหน้า
เมืองโบราณแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตยิ่งนัก มองออกไปจากที่ห่างไกล เกรงว่าเมืองโบราณแห่งนี้จะกินพื้นที่ถึงหมื่นลี้ เสมือนหนึ่งเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตหมอบอยู่กับพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต
เพียงแต่เมืองโบราณแห่งนี้ได้เสื่อมลงแล้ว บริเวณโดยรวมของเมืองโบราณหดตัวเล็กลง ในเมืองโบราณมีพื้นที่หลายแห่งถูกทอดทิ้ง สุดท้ายแล้ว สภาพโดยรวมของเมืองโบราณหดเล็กลงเหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบจากเดิม เมืองโบราณลักษณะเช่นนี้ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
หลังจากที่บริเวณของเมืองโบราณถูกทิ้งร้างไปแล้วนั้น ได้คงเหลือไว้ซึ่งกำแพงเมืองที่สูงตระหง่านอยู่เป็นจำนวนมาก และสิ่งปลูกสร้างห้องหอที่ตั้งตระหง่านไม่ล้ม ดู่จากสภาพของกำแพงเมืองและห้องหอเหล่านี้แล้ว ช่างโอ่อ่างดงามอลังการอะไรอย่างนั้นในวันนั้น เมื่อหวนนึกไปถึงครั้งนั้น สถานที่แห่งนี้มีความเจริญรุ่งเรืองเพียงใด บางที สถานที่ตรงนี้อาจเป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้เคยปกครองใต้หล้า รับการเข้าเฝ้าจากทั่วทุกสารทิศ
มาวันนี้เหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง หญ้าและเถาวัลย์ที่ขึ้นรกร้างเท่านั้น
หลี่ชิเย่หยุดเดินและมองดูเมืองโบราณที่อยู่ตรงหน้า มองดูบริเวณกว้างใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างของเมืองโบราณ หลี่ชิเย่มองห็นควันไฟจากปล่องไฟที่ลอยม้วนตัวขึ้นมา เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เป้าหมายต่อไปอยู่ที่ตรงนี้แหละ”
ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า หลังจากนี้ไม่นาน เมืองโบราณที่เห็นอยู่ตรงหน้าแห่งนี้ จะเป็นเหมือนดั่งเมืองไป่หลานเฉิงอย่างนั้น หายไปจากเส้นขอบฟ้าโดยสิ้นเชิง สุดท้าย เหลือไว้เพียงหลุมลึกเท่านั้นเอง
“ความตายกำลังจะมาเยือน” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและก้าวเท้าเข้าไปยังเมืองโบราณแห่งนี้
เมืองหมิงลั่วเฉิง ซึ่งก็คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดแข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นในปัจจุบัน และเป็นสถานที่ที่มีผู้บำเพ็ญตนอยู่มากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น
แน่นอนที่สุดในอดีตที่ผ่านมา ขณะที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นอยู่ระหว่างรุ่งเรืองสุดขีดนั้น เมืองหมิงลั่วเฉิงก็เป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น จากการที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นตกต่ำลง ทำให้ภาพรวมของเมืองหมิงลั่วเฉิงก็เสื่อมสลายตามไปด้วย โดยอาณาบริเวณของเมืองได้ลดขนาดลง มาถึงวันนี้ตัวของเมืองหมิงลั่วเฉิงมีขนาดไม่เท่าหนึ่งในสิบของวันนั้น
เมืองหมิงลั่วเฉิงในวันนี้มีประชากรอยู่สองถึงสามแสนคน นับว่าเป็นสถานที่ที่มีความเจริญและแข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว ถ้าหากเมืองหมิงลั่วเฉิงไม่ได้มีธาตุแท้ภายในที่แกร่งมากเช่นนี้ เกรงว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงคงสลายไปเหมือนดั่งเช่นเมืองอื่นๆ ไปแล้ว
ขณะหลี่ชิเย่ก้าวเท้าเข้าไปในเมืองหมิงลั่วเฉิงนั้น ถนนของเมืองโบราณยังคงรักษาขนาดที่มีการก่อสร้างตั้งแต่ครั้งนั้นเอาไว้ ขนาดของถนนกว้างขวาง และมีความอลังการอย่างยิ่ง ภาพรวมของเมืองโบราณก็มีความคึกคักยิ่ง ผู้คนที่เดินการขวักไขว่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าตามถนน หรือว่าลูกจ้างร้านรวงร้านเหล้าต่างส่งเสียงโหวกแหวก ความคึกคักไม่แพ้สถานที่ใหญ่อื่นๆ แม้แต่น้อย
เมื่อก้าวผ่านพื้นที่ที่รกร้างว่างเปล่ามาเป็นจำนวนมากแล้ว พลันเดินเข้าไปในเมืองที่คึกคักและเจริญเช่นนี้อย่างกะทันหัน มากหรือน้อยก็ต้องถูกทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาบ้าง
ขณะที่ยามค่ำคืน ทั่วทั้งเมืองโบราณเรียกได้ว่าแสงไฟสว่างไสว ทำให้จิตใจหลงไหลไปกับสภาพที่มีความเจริญและฟุ้งเฟ้ออยู่บ้าง ทำให้รู้สึกได้ถึงความมีเสน่ห์ของโลกมนุษย์ สถานที่เช่นนี้เหมือนว่าจะมีพลังโน้มน้าวของชีวิตมากกว่า ไม่เหมือนสถานที่อื่นๆ ที่มีแต่ความเงียบเหงามีผู้บำเพ็ญตนที่เหาะเหินไปมา มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์และหรือวิหารโบราณที่สูงส่งไม่อาจเอื้อมไปถึง
ที่ตรงนี้ดูจะเหมือนเป็นดินแดนของมนุษย์ปุถุชนธรรมดามาก เนื่องจากที่นี่มีจำนวนผู้บำเพ็ญตนน้อย สำนักต่างๆ ก็มีอยู่น้อย
กล่าวสำหรับมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแล้ว พวกเขามีอายุขัยเพียงแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น พวกเขาเปรียบประดุจเป็นมดปลวกของฟ้าดินแห่งนี้ พวกเขาไม่สามารถเบิ่งตาไปมองดูโลกทั้งโลก พวกเขามองไม่เห็นการเสื่อมสลายของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น พวกเขามองไม่เห็นโลกของตนที่ก้าวเดินสู่ความล่มสลาย กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ขอเพียงอยู่ไปวันๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ หลายสิบปีนี้สามารถมีกินมีใช้ก็เพียงพอแล้ว
นี่แหละคือช่วงห่างระหว่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดา กับผู้บำเพ็ญตน ผู้บำเพ็ญตนนั้นมีอายุขัยหลายร้อย หลายพัน กระทั่งหลายหมื่นปี ส่วนมนุษย์ปุถุชนธรรมดามีอายุขัยแค่หลายสิบปีเท่านั้น นับว่าเป็นความจริงที่เหมือนดั่งดอกไม้ไฟอย่างนั้น
หลี่ชิเย่เดินอยู่ท่ามกลางถนนของเมืองที่มีสภาพของความเจริญและฟุ้งเฟ้อ โดยไม่ได้ถูกกลิ่นอายความเจริญและคึกคักโน้มน้าวให้คล้อยตาม ความเจริญของโลกมนุษย์เขาพบเห็นมามาก เสมือนดั่งหมอกควันที่ลอยผ่านไปเท่านั้น เขาแค่ก้าวเดินบนถนนอย่างช้าๆ เหมือนเป็นผู้ที่เดินทางผ่านมาของโลกใบนี้เท่านั้น เขากับโลกใบนี้เข้ากันไม่ได้เลย
“การเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ใช่ว่าจะไม่ดีตรงไหน” หลี่ชิเย่มองดูรถราที่วิ่งกันขวักไขว่บนถนน อดที่จะยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “แม้ว่าการล้างโลกจะมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่รู้อะไรเลย ยังคงก้าวเดินไปพลาง มีความสุขไปพลาง มดปลวกก็มีความสุขของมดปลวก”
ตัวเขาที่เคยมีความเป็นอมตะไม่มีวันตาย จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นของเขาได้ผ่านการขัดเกลา และผ่านการทรมานในสภาพที่ยากลำบากมานับไม่ถ้วน เขาจึงมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แกร่งดั่งหินผา ทุกสิ่งบนโลกมนุษย์ล้วนไม่สามารถทำให้หวั่นไหวได้
“หลังจากนี้อีกไม่นาน ความตายก็จะมาเยือน พวกเขากลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย” หลี่ชิเย่มองดูแสงไฟสลัวที่อยู่ด้านหน้า ยิ้มเรียบเฉยและก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
ย่อมไม่ต้องสงสัย เมืองหมิงลั่วเฉิงจะถูกเลือกให้เป็นเป้าหมายที่สอง เมื่อถึงตอนนั้น เมืองหมิงลั่วเฉิงก็จะเผชิญกับความตาย เมืองหมิงลั่วเฉิงทั้งเมืองจะหายไปอย่างสิ้นเชิง
การมาที่นี่ของหลี่ชิเย่ไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือเมืองหมิงลั่วเฉิง และไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือราษฎรของที่นี่ เขามาที่นี่เป็นเพราะมีเรื่องของเขาเองที่ต้องทำ
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การอยู่หรือไปของเมืองหมิงลั่วเฉิงเขาไม่เคยเคย ควรจะช่วยเมืองหมิงลั่วเฉิงหรือไม่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อน
เนื่องจากเขาไม่ใช่พระเจ้าที่ช่วยโลก เขาไม่มีเหตุผลจะต้องไปช่วยเมืองหมิงลั่วเฉิง
ความจริงก็คือ หลี่ชิเย่มองว่า การที่เมืองหมิงลั่วเฉิงจะอยู่หรือไปก็ไม่มีข้อแตกต่าง เนื่องจากต่อให้วันนี้เมืองหมิงลั่วเฉิงโชคดีคงอยู่ไว้ได้ สักวันก็ต้องก้าวเดินไปสู่ล่มสลาย
นับแต่อดีตเป็นต้นมา ความเจริญและความเสื่อมก็จะเป็นเช่นนี้ ไม่มีเจริญรุ่งเรืองตลอดไป และก็ไม่มีสิ่งใดไม่สลายเป็นนิรันดร์
ดังนั้น กล่าวสำหรับเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ช่วยหรือไม่ช่วยในอนาคตก็ไม่มีอะไรแตกต่าง คงมีสักวันที่เมืองหมิงลั่วเฉิงก็ต้องเสื่อมโทรมและหายไป และกลายเป็นซากปรักหักพังเช่นเดียวกัน เพียงแต่เป็นปัญหาเรื่องของช้าและเร็วเท่านั้น
หลี่ชิเย่เดินทางต่อไปข้างหน้า สุดท้าย เขาได้มาถึงซากปรักหักพังที่หนึ่ง สถานที่แห่งนี้คือพื้นที่ใจกลางเมืองที่กว้างใหญ่ที่กลายเป็นซากปรักหักพัง ณ ที่ตรงนี้มีหญ้าขึ้นรกร้าง และเป็นที่อาศัยของงูเงี้ยวเขี้ยวขอ
ลักษณะของซากปรักหักพังเช่นนี้แตกต่างกับพื้นที่ที่เป็นซากปรักหักพังที่อยู่นอกเมือง ซากปรักหักพังนองเมืองแม้ว่าจะทิ้งร้างไปแล้ว แต่ยังคงสามารถมองเห็นตึกรามบ้านช่องที่ตั้งตระหง่านไม่ล้มลง ยังคงสามารถมองเห็นเค้าโครงของวิหารโบราณ และหอศักดิ์สิทธิ์ได้บางส่วน
แต่บริเวณซากปรักหักพังของที่นี่ สิ่งปลูกสร้างห้องหอล้วนแล้วแต่พังครืนลงมากลายเป็นเศษดินใต้พื้นดิน