Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2572 มองโลกมนุษย์
ตอนที่ 2572 มองโลกมนุษย์
ครั้นหลี่ชิเย่เห็นหลินยี่เสวี่ยจะจากไป อดที่จะยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้นมากับเงาหลังของนางว่า “นังหนู ไปจากเสีย ยังสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ มิฉะนั้นล่ะก็ จะต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง”
ความจริงแล้ว กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว เขาไม่ได้แคร์ว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงจะอยู่หรือไป จะอย่างไรเสีย นับแต่อดีตเป็นต้นมาเขาได้เห็นการล่มสลายมามากเหลือเกิน ต่อให้เมืองหมิงลั่วเฉิงที่เป็นเมืองเล็กๆ ขนาดนี้ล่มสลายลง ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาวไกล ไม่สามารถก่อเกิดแม้กระทั่งฟองคลื่นเพียงเล็กน้อย
ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา เคยมีการสิ่งมีชีวิตต้องเสียชีวิตไปกี่สิบล้าน แต่ทว่า ก็ไม่ได้มีการบันทึกอะไรเอาไว้ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา
แค่เมืองหมิงลั่วเฉิงเล็กๆ กับประชากรสองสามแสนเท่านั้นเอง เมื่อใดที่ล่มสลายก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างมากที่สุดมีคนบางคนเอ่ยถึงขึ้นมาบ้าง ณ ขณะนั้นเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือนไป
จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับโลกผู้บำเพ็ญตนแล้ว สำนักเจ้าลัทธิแห่งใดแห่งหนึ่งล่มสลาย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีหลายแสนชีวิตที่ต้องหายวับไปกับตาในพริบตาตามไปด้วย กล่าวได้ว่า แค่การล่มสลายของเมืองหมิงลั่วเฉิง จะก่อเกิดผลกระทบขึ้นมาได้เท่าไรในแดนลัทธิราชันกันเล่า?
ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงไม่ค่อยจะใส่ใจต่อการล่มสลายของเมืองหมิงลั่วเฉิงเท่าไรนัก การคงอยู่หรือล่มสลายของเมืองหมิงลั่วเฉิงไม่ค่อยเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเท่าไรนัก เขาให้ขอทานเอาข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ถือว่าได้พยายามบ้างแล้วก็เท่านั้นเอง
เพียงแต่ หลินยี่เสวี่ยนังหนูคนนี้ดูน่าสนใจอยู่บ้าง ดังนั้นหลี่ชิเย่จึงได้กล่าวเตือนนางคำหนึ่ง มิฉะนั้นล่ะก็ หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปใส่ใจอยู่แล้ว
“ฮึพูดเพ้อเจ้ออีกแล้ว” หลินยี่เสวี่ยหันหลังกลับมา ส่งเสียงฮึเย็นชาและกล่าวว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเราจะไม่ล่มสลายอย่างเด็ดขาด”
“เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า” หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะพูดให้มากความ ยิ้มนิดหนึ่งและก็หลับตาลงช้าๆ
ท่าทางเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้หลินยี่เสวี่ยที่เดิมทีคิดจะไปจากกลับไม่ไปแล้ว นางจ้องเขม็งที่หลี่ชิเย่และส่งเสียงฮึออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “เจ้ามีเหตุผลอะไรมาบอกว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเราจะล่มสลาย?”
หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงนั่งนิ่งและหลับตาอยู่ตรงนั้น เหมือนว่านอนหลับไปแล้วอย่างนั้น
นี่เมื่อหลินยี่เสวี่ยเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่สนใจตน จึงกระทืบเท้าทีหนึ่ง มือเท้าเอวเอาไว้และจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ข้ากำลังพูดกับเจ้านะ อย่าแกล้งทำเฉย”
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่จึงค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้นมาอย่างช้าๆ มองดูหลินยี่เสวี่ยแวบหนึ่ง และกล่าวว่า “ถ้าหากว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงกำลังจะล่มสลายแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
หลินยี่เสวี่ยที่เดิมทีต้องการระเบิดอารมณ์ใส่หลี่ชิเย่ เมื่อถูกถามด้วยคำถามเช่นนี้ ทำให้นางถึงกับตะลึงงันอยู่ตรงนั้น แน่นอน นางไม่เคยคิดว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงจะต้องล่มสลายมาก่อน
“ย่อมต้องร่วมเป็นร่วมตายกับเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเรา” เมื่อหลินยี่เสวี่ยได้สติกลับมาแล้วตอบโดยไม่ต้องคิดมาก และกล่าวด้วยท่าทีเคืองๆ ว่า “ใครหน้าไหนกล้าทำลายเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเรา พวกเราจะต้องต่อต้านสู้ตายกับมัน!”
“แค่เมืองๆ หนึ่งเท่านั้นเอง หนีไปก็สิ้นเรื่อง” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยและเอ่ยขึ้น
“เหลวไหล” หลินยี่เสวี่ยตวาดเสียงดังกับหลี่ชิเย่ทันที ค้อนหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ท่าทีจริงจังเข้มขรึม และกล่าวว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงคือสถานที่ที่ให้กำเนิดข้า ข้ากำเนิดที่นี้ โตที่นี่ ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าย่อมต้องรักษามันให้ดีแม้ต้องแลกด้วยชีวิต”
“ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ที่ใดเป็นบ้านไม่ได้?” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “เมื่อไร้ซึ่งชีวิต แล้วจะมีบ้านได้อย่างไรกัน?”
“ฮึ ฮึ ฮึเจ้าจะไปรู้อะไร” หลินยี่เสวี่ยแสดงความไม่พอใจ ส่งเสียงฮึเย็นชาและกล่าวว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงก็คือบ้านของพวกเรา เมื่อออกไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิง สถานที่อื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นดินแดนที่ไม่คุ้นเคย! ท้องฟ้าของพวกเรามีขนาดเพียงเท่านี้ บ้านอยู่คนอยู่ บ้านสิ้นคนม้วย!”
“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่มองดูหลินยี่เสวี่ยแล้วกล่าวว่า “หรือว่าเจ้าไม่เคยคิดที่จะไปที่อื่นเลยรึ? และหรือบางทีเจ้าสามารถเปลี่ยนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ ใหม่ที่แข็งแกร่งมากกว่านี้”
“ทำไมจะต้องเปลี่ยน? ฮึถึงเปลี่ยนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหม่ พวกเรามิใช่ยังคงเป็นศิษย์ธรรมดาเหมือนกัน!” หลินยี่เสวี่ยอดที่จะค้อนหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง และกล่าวอย่างเคืองๆ ว่า “หรือว่าพวกเราเปลี่ยนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหม่แล้วจะได้เป็นราชันแท้จริงอย่างนั้นรึ? เมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเรามีกันหลายแสนคน หรือว่าทุกคนล้วนแล้วแต่สามารถเปลี่ยนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหม่ได้อย่างนั้นรึ? ต่อให้เปลี่ยนระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหม่ก็มิใช่เหมือนเดิม มิสู้พวกเรายังคงรั้งอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเราต่อไป อย่างน้อยที่สุดที่นี่ก็เป็นบ้านของพวกเรา!”
คำพูดของหลินยี่เสวี่ยทำให้หลี่ชิเย่ถึงกับนิ่งเงียบกับสิ่งนี้ อดที่จะมองไปยังที่ที่ห่างไกล
คำพูดของหลินยี่เสวี่ยไปสะกิดความทรงจำบางอย่างของหลี่ชิเย่ ทำให้เขานึกถึงคนบางคน นึกถึงเรื่องราวบางอย่าง
เฉกเช่นกองพันเลือดทระนงแห่งกองทัพจิ้งจอกเงิน หรือว่าพวกเขาไม่สามารถไปให้ไกลมากกว่านี้รึ? หรือว่าพวกเขาไม่สามารถไปตั้งถิ่นฐานยังที่อื่นรึ? เปล่าเลย พวกเขามีศักยภาพ และมีธาตุแท้ภายในที่จะมีความเป็นอยู่อย่างมีความสุขในสถานที่อื่นๆ แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาต่างกลับไปยังบ้านเกิด นั่นเป็นเพราะพวกเขารักผืนแผ่นดินผืนนั้นอย่างลึกซึ้ง ทำให้พวกเขาไม่อยากไปจาก
เหมือนดั่งที่หลินยี่เสวี่ยพูดเอาไว้อย่างนั้น ท้องฟ้าของพวกเขากว้างใหญ่เพียงเท่านี้เอง ภายใต้ท้องฟ้าแห่งนี้ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา บางที พวกเขาอาจไม่รู้ว่ายังมีที่ที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงเสียอีก พวกเขาไม่รู้หรอกว่านอกจากระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว ยังมีโลกที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าอีก
ในสายตาของหลี่ชิเย่มองว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นเพียงเมืองขนาดเล็กเท่านั้นเอง แต่ว่า ในสายตาของพวกเขามองว่า นั่นคือบ้านของพวกเขา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา เป็นฟ้าดินของพวกเขา เป็นโลกของพวกเขา!
เนื่องจากพวกเขาเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง พวกเขากระโดดออกจากแผ่นฟ้านี้ไปไม่ได้ พวกเขามีชีวิตที่แสนจะสั้นเพียงน้อยนิดเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นเมืองหมิงลั่วเฉิงเล็กๆ เมืองหนึ่งก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา
“บางที นี่ก็คือความสุขของคนที่ไม่มีความสำคัญกระมัง เมืองๆ หนึ่งก็คือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต” หลี่ชิเย่อดที่จะปลงอนิจจังอยู่บ้าง และเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ฮึ ฮึต่อไปนี้ห้ามเจ้าพูดเพ้อเจ้ออีก” สุดท้าย หลินยี่เสวี่ยจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างเคืองๆ และกล่าวว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเราจะไม่เกิดเรื่องอย่างเด็ดขาด เด็ดขาด!” กล่าวพลางหันหลังจากไป
ประโยคสุดท้ายนางไม่ได้พูดกับหลี่ชิเย่อีกแล้ว จิตใต้สำนึกนั้น นางให้กำลังใจกับตัวเอง ให้ความมั่นใจกับตัวเอง นางไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
หลังจากที่หลินยี่เสวี่ยจากไปแล้ว หลี่ชิเย่อดที่จะยิ้มเฉยเมยขึ้นและหลับตาลงช้าๆ ในเวลานี้ร่างทั้งร่างของหลี่ชิเย่เริ่มเลือนลางขึ้นช้าๆ ร่างทั้งร่างเสมือนหนึ่งจะหลอมละลายอย่างนั้น และค่อยๆ หลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกันกับช่องว่างอย่างช้าๆ
สุดท้าย ร่างของหลี่ชิเย่ได้จางหายไป บริเวณที่เขานั่งขัดสมาธิเดิมนั้นไม่ปรากฎร่องรอยของเขาอีกแล้ว
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ใช่เพียงหายไปเท่านั้นเอง เขาใช่เพียงแค่หลอมเป็นเนื้อเดียวกันกับช่องว่างบริเวณนี้เท่านั้น ในเวลานี้ ร่างทั้งร่างของเขาได้หลอมรวมอยู่ในแผ่นดินผืนนี้ จากนั้นได้หลอมรวมเข้าไปอยู่ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ภายในระยะเวลาอันสั้น หลี่ชิเย่ก็ได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นทั้งหมด
ครั้นดวงตะวันได้โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง ณ ตำแหน่งที่หลี่ชิเย่ นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ร่างเงาของหลี่ชิเย่ค่อยๆ ปรากฏ ตัวเขาเสมือนดั่งมาจากช่องว่างอีกช่องหนึ่ง จากโลกอีกโลกหนึ่งก้าวข้ามมาถึงตรงนี้อย่างนั้น
หลี่ชิเย่ในเวลานี้อยู่ในสภาพหลับตา นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ลักษณะเหมือนกับหนึ่งวันก่อนหน้าไม่มีผิดเพี้ยน เหมือนว่าผ่านมาวันหนึ่งเต็มๆ เขาไม่ได้มีการเคลื่อนไหวเลยอย่างนั้น
เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ลืมตาขึ้นช้าๆ ขณะที่เขาลืมตาขึ้นมานั้น ได้ยินเสียงดังปุเสียงหนึ่งดังขึ้น คล้ายเป็นช่องว่างเกิดกระเพื่อมขึ้นมาทีหนึ่ง พริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่เหมือนลอกออกมาจากช่องว่างอย่างนั้น
“มาเถอะ ม่านฟ้าแหดินได้วางไว้เรียบร้อยแล้ว การปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งจะทำให้เจ้าไม่มีทางที่จะหนีไปได้” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย และกล่าวว่า “ดูท่าลึกลงไปด้านล่างของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้มีสิ่งที่ยอดเยี่ยมฝังเอาไว้จริงๆ มิน่าเล่าเจ้าสิ่งอัปมงคลจึงได้มาที่นี่ สิ่งนี้หาใช่เป็นการบังเอิญ” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว สายตาของเขากลับกลายเป็นลึกซึ้งยิ่ง
ก่อนหน้านั้น ภายในใจของหลี่ชิเย่ก็ได้มีการคาดเดาเอาไว้แล้ว เกี่ยวกับเหตุใดระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจึงไม่ตกลงไปยังแดนลัทธิพรรษ ท่ามกลางหุบเหวลึกที่เมืองไป่หลานเฉินหายตัวไป ทำให้เขาได้ยืนยันถึงการคาดเดาของเขาไปได้อีกขั้น เวลานี้เขาสามารถแน่ใจได้อย่างสิ้นเชิงว่า ลึกลงไปในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น มีสิ่งของสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการพอดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสื่อมลงของเมืองไป่หลานเฉิงเกรงว่าคงมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ สิ่งชั่วร้ายที่ลงมาจากฟ้าหาใช่เป็นเรื่องบังเอิญ บางทีอาจกล่าวได้ว่า เจ้าบ้านี้ก็มาด้วยเรื่องของของสิ่งนี้
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ลุกขึ้นยืน ยืดเส้นยืดสายนิดหนึ่ง มองดูด้านนอก แล้วหัวเราะเรียบเฉยและกล่าวว่า “ช่างเถอะ ไปเดินเล่นบ้างก็ดีเหมือนกัน”
หลี่ชิเย่ออกจากบริเวณซากปรักหักพัง มุ่งหน้าไปในเมืองโดยลำพัง
เมืองหมิงลั่วเฉิงยังคงคึกคักเช่นนั้น ผู้คนเดินกันขวักไขว่ รถราก็วิ่งกันขวักไขว่ สามารถได้ยินเสียงร้องตะโกนของพ่อค้าได้ทุกที่ ทั่วทั้งเมืองหมิงลั่วเฉิงเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
หลี่ชิเย่เพียงเดินทอดน่องไปช้าๆ ตามอารมณ์ในเมืองหมิงลั่วเฉิง เดินท่องไปสบายๆ โดยไม่มีจุดหมาย เสมือนหนึ่งต้องการหลอมรวมเข้าไปภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงอย่างนั้น
ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิง มีประชาชนจำนวนมากที่ยุ่งวุ่นวายเพื่อความเป็นอยู่ในแต่ละวัน บางทีการยุ่งวุ่นวายของพวกเขาในแต่ละวันก็เพียงพอที่จะได้กินได้ใช้เท่านั้นเอง แต่ว่า พวกเขายังคงไม่มีการหยุดพัก ยังคงขยันพยายามทำงานเพื่อปากท้องของคนทั้งครอบครัว
ดูเหมือนว่านี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดากับผู้บำเพ็ญตน มนุษย์ปุถุชนธรรมดาเพียงเพื่อต้องการอิ่มท้องมื้อหนึ่ง เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ขณะที่ผู้บำเพ็ญตนเสมือนดั่งอินทรีย์ ฝันแต่จะโบยบินขึ้นไปยังเก้าชั้นฟ้า
หลี่ชิเย่เป็นเพียงผู้ชมคนหนึ่งที่ยืนชมอยู่เงียบๆ ข้างๆ มองดูพ่อค้าที่ยุ่งวุ่นวายไม่มีหยุดเหล่านั้น
ถ้าหากว่าประชาชนทั้งหมดในเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างรู้ว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขาจะล่มสลายในอีกไม่กี่วันแล้ว พวกเขากระทั่งอาจต้องตายอย่างไร้ที่ฝัง เช่นนั้นแล้ว ประชาชนเหล่านี้จะทำเช่นใดกันเล่า?
เมื่อหลี่ชิเย่นึกถึงตรงนี้แล้ว ได้ยิ้มเรียบเฉยขึ้นมา
“บางที” สุดท้ายหลี่ชิเย่อย่างไรก็ได้ หัวเราะตามอารมณ์ และกล่าวว่า “ถือโอกาสทำสักหน่อยก็ดี”
ความจริงแล้วก่อนหน้านั้น เป็นความจริงที่หลี่ชิเย่ไม่แคร์ต่อการคงอยู่หรือดับไปของเมืองหมิงลั่วเฉิง กล่าวสำหรับเขาแล้ว เขาเป็นเพียงผู้ที่เดินทางผ่านมาเท่านั้น การคงอยู่หรือล่มสลายของเมืองหมิงลั่วเฉิงเขาไม่ได้นำมาใส่ใจ
เพียงแต่ คำพูดของหลินยี่เสวี่ยไปสะเทือนอารมณ์ของเขา ทำให้เขานึกถึงคนบางคน ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวบางเรื่อง
แน่นอน หลี่ชิเย่เองก็ไม่ได้บังเกิดจิตเมตตาขึ้นมากะทันหัน เหมือนดั่งที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เขาไม่ใช่พระเจ้าที่ช่วยโลก
เพียงแต่คำพูดของหลินยี่เสวี่ยทำให้เขารู้สึกรำลึกถึงบ้างเท่านั้น ผู้คนบางคนที่ไม่ได้ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว บางคนที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามา ล้วนแล้วแต่หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ล้วนแล้วแต่ถูกเก็บเอาไว้ในส่วนลึกของความทรงจำแล้ว
เพียงแต่ถูกคำพูดของหลินยี่เสวี่ยทำให้สะเทือนใจ ทำให้เขานึงถึงคนบางคน เรื่องบางเรื่อง ดังนั้น ทำให้ภายในใจของเขารู้สึกทอดถอนใจ ถ้าหากมันสะดวก ก็สามารถช่วยเมืองหมิงลั่วเฉิงไปตามอารมณ์ได้เหมือนกันหากจำเป็น
“บางทีนี่ก็คือวาสนากระมัง” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ หากไม่เป็นเพราะคำพูดของหลินยี่เสวี่ยทำให้เขานึกถึงคนบางคน เรื่องบางเรื่องล่ะก็ บางทีหลี่ชิเย่ก็อาจไม่มีความคิดเช่นนี้