Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2573 หวูโหย่วเจิ้ง
ตอนที่ 2573 หวูโหย่วเจิ้ง
หลี่ชิเย่ก้าวเดินอยู่บนถนน มองดูรถราที่วิ่งกันขวักไขว่แล้วเพียงยิ้มเรียบเฉยเท่านั้น และเสพสุขกับความสบายอกสบายใจและความคึกคัก
แม้ว่าบนถนนจะมีผู้คนที่เดินกันอย่างเร่งรีบ แต่ว่าหลี่ชิเย่กลับเอ้อระเหยเป็นพิเศษ ก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ดูเอ้อระเหยยิ่งนัก
“ผู้มีพระคุณ…” ขณะที่หลี่ชิเย่เดินทอดน่องบนถนนอยู่นั้น ทันใดนั้นข้างกายมีผู้ร้องเสียงดังขขึ้นมากะทันหัน ก้มศีรษะคารวะทันที คนผู้นี้เป็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง
หลี่ชิเย่มองดูผู้เฒ่าผู้นี้แล้วไม่ได้อยู่ในความทรงจำ แต่ว่า ผู้เฒ่าผู้นี้ดูจะให้ความเคารพยิ่งนัก หลังจากคำนับแล้วค่อยลุกขึ้นยืน
“คุณชายลืมเก่ากะลาไปแล้วรึ?” เมื่อผู้เฒ่าเห็นว่าหลี่ชิเย่จำตนเองไม่ได้ จึงรีบกล่าวขึ้นมาว่า “คุณชายเคยโจมตีปีศาจต้นไม้ที่หุบเขาลึกจนล่าถอยไป ช่วยชีวิตเก่ากะลาเอาไว้”
เมื่อผู้เฒ่าพูดเช่นนี้ หลี่ชิเย่จึงนึกขึ้นมาได้ว่า เป็นความจริงขณะที่มายังเมืองหมิงลั่วเฉิงนั้นเขาได้ถือโอกาสช่วยเขาเอาไว้ พยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าหากข้าจำไม่ผิด เจ้ามีชื่อว่าหวูโหย่วเจิ้ง”
“ถูกต้อง ถูกต้อง” ผู้เฒ่ารู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ยังจำชื่อของตนได้ รีบพยักหน้าและกล่าวว่า “เกากะลาก็คือหวูโหย่วเจิ้ง บุญคุณใหญ่หลวงของคุณชาย เก่ากะลาสลักจดจำไว้ในใจ ไม่มีวันลืมเลือน”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หลี่ชิเย่เพียงเอ่ยเรียบเฉยขึ้นมา และไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ เดินไปข้างหน้าช้าๆ
หวูโหย่วเจิ้งรีบก้าวเท้าเดินตามขึ้นมา กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบคุณชายที่นี่ คุณชายคือผู้ทีทักษะยุทธสูงส่ง สามารถพบกับคุณชายอีกครั้งนับเป็นโชคดีของเก่ากะลา นิกายซูสือของเก่ากะลาก็อยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิง หากคุณชายไม่รังเกียจเชิญเข้าไปนั่งจะเป็นไร? ให้เก่ากะลาได้ทำหน้าที่ในฐานะเจ้าถิ่น”
หวูโหย่วเจิ้งเชื้อเชิญหลี่ชิเย่ด้วยความอบอุ่นยิ่ง นอกเหนือจากต้องการตอบแทนบุญคุณหลี่ชิเย่ที่ช่วยชีวิตแล้ว เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่เป็นยอดฝีมือเช่นนี้ หากสามารถเชิญให้ไปพำนักอยู่ในนิกายของตนชั่วคราวก็นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
“ช่างเถอะ ไว้วันหน้าก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ทำตัวสบายๆ ยิ่ง เอ่ยท่าทีเรียบเฉยขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าคุณชายมาที่เมืองหมิงลั่วเฉิงมีธุระอันใด?” หวูโหย่วเจิ้งรีบกล่าวว่า “เก่ากะลามีความคุ้นเคยในเมืองหมิงลั่วเฉิง ถ้าหารคุณชายมีสิ่งใดต้องการให้เก่ากะลาช่วยล่ะก็ ขอคุณชายสั่งการมาได้เลย”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง แต่ว่า หลังจากเผยให้เห็นรอยยิ้มแล้วได้มองดูหวูโหย่วเจิ้งทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าคิดจะช่วยข้าจริงๆ ข้ากลับมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง”
“ไม่ทราบเป็นเรื่องอะไร?” เมื่อหวูโหย่วเจิ้งได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ขอเพียงคุณชายสั่งการ เก่ากะลาจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
“ก็ไม่ได้เรื่องใหญ่อะไรนัก” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยเรื่องหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเจ้ามีทรัพยากรทั้งแรงคนและเครื่องมือ ก็ให้อพยพประชาชนของเมืองหมิงลั่วเฉิงเสีย ให้พวกเขาไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิงให้เร็วที่สุด”
เอิกกก…หวูโหย่วเจิ้งถึงกับสะอึกนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เขาไม่นึกเลยว่าหลี่ชิเย่จะสั่งการให้เขาไปทำเรื่องเช่นนี้ ถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง
“เพราะ เพราะอะไรต้องทำเช่นนี้เล่า?” หวูโหย่วเจิ้งคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“เนื่องจากเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเจ้ากำลังจะล่มสลาย รีบๆ หนีไป หนีไปให้ไกลเท่าไรยิ่งดี ซึ่งจะสามารถเอาชีวิตรอดไปได้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
“เมืองหมิงลั่วเฉิงจะล่มสลาย” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับเหม่อลอย และรู้สึกงงงันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ คำพูดเช่นนี้เขาใช่จะเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“เจ้าคนแซ่หลี่นี่…” จังหวะที่หลี่ชิเย่เพิ่งจะพูดขาดคำ เสียงที่ไพเราะและพาลดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมโชยมาสายหนึ่ง และร่างเงาสายหนึ่งพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่
“ข้าเพิ่งจะเตือนเจ้าไปเมื่อวาน เวลานี้เจ้าก็มาปล่อยข่าวลือให้คนอื่นเขาเข้าใจผิดอีก! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสั่งสอนเจ้า…” พลันที่ผู้หญิงคนนี้บุกมาถึงตรงหน้าหลี่ชิเย่ กล่าวเตือนหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางดุร้ายยิ่ง
ผู้หญิงที่บุกประชิดถึงด้านหน้าหลี่ชิเย่กะทันหันไม่ใช่ใครอื่นไกล คือหลินยี่เสวี่ยที่มากล่าวเตือนหลี่ชิเย่เมื่อวานนั่นเอง
เดิมทีหลินยี่เสวี่ยกำลังหาซื้อของบนถนน พลันได้ยินเสียงของหลี่ชิเย่ที่กำลังปล่อยข่าวลือทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิด จึงอดทนต่อไปไม่ไหว พลันบุกเข้ามาและกล่าวด้วยท่าทีดุร้าย ขาดอยู่เพียงแค่ไม่ได้ชี้หน้าหลี่ชิเย่เท่านั้น
“เสวี่ยเอ๋อร์ อย่าได้ทำกำเริบเสิบสาน” จังหวะที่หลินยี่เสวี่ยกำลังแสดงท่าทีดุร้ายด่าทอหลี่ชิเย่อยู่นั้น หวูโหย่วเจิ้งที่อยู่ด้านข้างได้สติกลับมา เมื่อเห็นศิษย์ของตนถึงกับเสียมารยาทกับผู้มีพระคุณของตนเพียงนี้ รู้สึกตกใจอย่างยิ่งและตวาดเสียงดังขึ้นมาทันที
“อาจารย์…” หลินยี่เสวี่ยก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เมื่อมองเห็นหวูโหย่วเจิ้งที่อยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าอาจารย์ของตนก็อยู่ที่ตรงนี้ด้วย เมื่อครู่นางได้ยินคำพูดหลี่ชิเย่ที่กำลังปล่อยข่าวลือจึงบังเกิดความโกรธขึ้นมาเต็มอก จึงบุกเข้ามาหาโดยไม่ทันคิดอะไรมาก และนางก็มองไม่เห็นว่ายังมีหวูโหย่วเจิ้งที่ยืนอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ด้วย
“ยังไม่รีบยอมรับผิดและขอโทษต่อคุณชาย” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับจ้องตาถมึงเมื่อเห็นศิษย์ของตนไร้มารยาทเช่นนี้ และกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
แม้ว่าปรกติแล้วเขาจะรักในศิษย์ของตนมาก แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้น หลี่ชิเย่คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตนเอาไว้
“ยังไม่รีบยอมรับผิดและขอโทษต่อคุณชาย” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับจ้องตาถมึงเมื่อเห็นศิษย์ของตนไร้มารยาทเช่นนี้ และกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
แม้ว่าปรกติแล้วเขาจะรักในศิษย์ของตนมาก แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้น หลี่ชิเย่คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตตนเอาไว้
“อาจารย์ เห็นชัดๆ ว่าเป็นเขาที่ปล่อยข่าวลืออยู่ที่ตรงนี้ ปล่อยข่าวลือไปทั่ว…” หลินยี่เสวี่ยท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม และกล่าวว่า “เป็นเขาที่จงใจทำลายความสงบสุขของเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเรา หวังแอบวางแผนชั่ว”
“ห้ามพูดจาส่งเดช คุณชายเป็นยอดฝีมือผู้สูงส่ง” หวูโหย่วเจิ้งกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เป็นคุณชายที่ช่วยชีวิตอาจารย์เอาไว้ขณะอยู่ที่หุบเขาเย่หยา หากไม่เป็นเพราะคุณชายลงมือ อาจารย์คงกลายเป็นอาหารโอชะของปีศาจต้นไม้ไปแล้ว”
เมื่อหลินยี่เสวี่ยได้ยินคำพูดเช่นนี้ถึงกับตะลึงงัน จ้องมองดูหลี่ชิเย่แล้วก็รู้สึกว่าหลี่ชิเย่ไม่เหมือนกับยอดฝีมือผู้สูงส่งที่ออกมาจากปากของผู้เป็นอาจารย์
หลังจากที่อาจารย์ของนางกลับมาแล้วก็เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ภายในใจของนางเข้าใจว่า ชายหนุ่มที่เป็นยอดฝีมือผู้สูงส่งที่ช่วยชีวิตอาจารย์ของนางนั้น แน่นอนข่อมเป็นผู้ที่เหาะเหินบนท้องฟ้าอยู่เหนือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา แต่หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้มีท่าทางเหมือนยอดฝีมือผุ้สูงส่งแม้แต่น้อย
แม้จะเป็นเช่นนี้ หลินยี่เสวี่ยยังคงยอมอ่อนข้อแสดงคารวะด้วยการคำนับต่อหลี่ชิเย่ ก้มหน้าและกล่าวว่า “เป็นข้าที่เสียมารยาทล่วงเกินคุณชาย และขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิตอาจารย์…”
แม้หลินยี่เสวี่ยกับหวูโหย่วเจิ้งมีฐานะเป็นศิษย์อาจารย์ แต่ความสัมพันธ์ดั่งพ่อลูก เป็นหวูโหย่วเจิ้งที่เฝ้ามองดูนางจนเติบใหญ่ ดังนั้น เมื่อหลี่ชิเย่ได้ช่วยชีวิตหวูโหย่วเจิ้ง ภายในใจของหลินยี่เสวี่ยก็รู้สึกซาบซึ่งอย่างยิ่ง
“…แต่ แต่ว่า แม้ว่าท่านจะมีบุญคุณต่อนิกายซูสือของพวกเรา ก็ไม่สามารถปล่อยข่าวลือเช่นนี้ ทำร้ายเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเรา…”เมื่อกล่าวถึงสุดท้ายแล้ว หลินยี่เสวี่ยยังคงมีความดื้อรั้นหัวแข็งอยู่บ้าง
แม้ว่านางจะซาบซึ้งที่หลี่ชิเย่ได้ช่วยชีวิตอาจารย์ของนาง เนื่องเพราะอาจารย์นางก็ยินดีก้มหัวให้กับหลี่ชิเย่ แต่กลับไม่ยินยอมและไม่อนุญาตให้หลี่ชิเย่ปล่อยข่าวลือที่ทำร้ายเมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขา
“นังหนูคนนี้นี่ เป็นข้าที่ปรกติตามใจเจ้าจนเสียคน” หวูโหย่วเจิ้งทั้งโมโหทั้งเคือง แต่ก็เอาศิษย์ของตนไม่อยู่ จึงรีบแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ ขอรับผิดและกล่าวว่า “คุณชาย ต้องขออภัยเหลือเกิน เป็นเก่ากะลาที่สั่งสอนศิษย์ไม่ดี ปล่อยให้ศิษย์ล่วงเกินคุณชาย ต่อไปจะสอนสั่งให้เข้มงวดอย่างแน่นอน”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง หากเป็นข่าวลือจริง ย่อมหยุดลงโดยผู้มีปัญญา” หลี่ชิเย่มองดูหลินยี่เสวี่ยแวบหนึ่ง ยิ้มเรียบเฉยและก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
หวูโหย่วเจิ้งรีบเร่งก้าวเดินติตตามไป หลินยี่เสวี่ยแม้จะไม่ยินยอม แต่เมื่ออาจารย์อยู่ในเหตุการณ์ นางจึงได้แต่เดินตาม
“ไม่ทราบว่าคุณชายพักแรมอยู่ที่ใด…” หลังจากที่หวูโหย่วเจิ้งไล่ตามทันแล้ว รีบแสดงคารวะแบบจีน และกล่าวว่า “เก่ากะลาจะต้องขอคารวะคุณชายอีกครั้ง เพื่อรับฟังการสอนสั่งจากคุณชาย…”
“ตรงนี้…” หวูโหย่วเจิ้งพูดยังไม่ทันขาดคำ หลี่ชิเย่ก็ได้หยุดเดินแล้ว ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้อ้อมกลับมายังทางเข้าบริเวณซากปรักหักพังแล้ว จากนั้นก้าวเท้าเดินเข้าไป
“ซากปรักหักพังเทียนยวิ่น…” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับตะลึงงันนิดหนึ่ง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่เดินเข้าไปภายในบริเวณซากปรักหักพัง เมื่อได้สติกลับมา ก็รีบเร่งตามติดขึ้นไป
หลี่ชิเย่ได้กลับมายังที่เดิมและนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ท่าทางเรียบเฉยและนิ่งมาก
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว จะเป็นพระราชวังวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ดี ที่เปล่าเปลี่ยวปลอดผู้คนก็ช่าง ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรแตกต่าง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เขาก็สามารถอยู่ได้อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น นิ่งเรียบเฉยและเป็นธรรมชาติ
“คุณชายพักอยู่ที่ซากปรักหักพังเทียนยวิ่นนี่เอง?” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อเห็นหลี่ชิเย่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ รู้สึกเหนือความคาดคิดยิ่งนัก และกล่าวว่า “คุณชายนี่เป็นการนอนกลางดินกินกลางทรายนะเนี่ย”
หวูโหย่วเจิ้งก็นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่จะพักแรมอยู่ที่ตรงนี้ เขายังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่จะต้องพักอาศัยอยู่ในวิหารโบราณหอศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่า เมื่อเขาได้สติกลับมา และนึกดูอย่างละเอียดแล้ว ก็รู้สึกว่าใช่ว่าจะทำไม่ได้
“นอนกลางดินกินกลางทรายแล้วจะเป็นไรไป?” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉย
“เป็นเก่ากะลาที่วิสัยทัศน์คับแคบ” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับหัวเราะแห้งๆ และกล่าวว่า “คุณชายคือยอดฝีมือผู้สูงส่ง การนอนกลางดินกินกลางทรายก็เป็นการบำเพ็ญเพียรอย่างหนึ่ง”
หลี่ชิเย่ไม่ได้กล่าวมากความ และหลับตาลง
หวูโหย่วเจิ้งมองดูรอบๆ มองเห็นความความเปล่าเปลี่ยวโดยรอบแล้ว อดที่จะบังเกิดปลงอนิจจังขึ้นมา และกล่าวว่า “ซากปรักหักพังเทียนยวิ่น สถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพรรคเทียนยวิ่น ในขณะที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นอยู่ในจังหวะที่เจริญรุ่งเรืองสุดขีดนั้น พรรคเทียนยวิ่นเคยบัญชาการใต้หล้าอยู่ตรงนี้ ไม่นึกเลยว่าที่ตรงนี้จะกลับกลายเป็นซากปรักหักพัง เพียงพริบตาเดียว ความเจริญรุ่งเรืองวันวานก็เสมือนดั่งเมฆหมอกที่ลอยผ่านไป”
“พรรคเทียนยวิ่น เป็นพรรคแม่ของพวกเราน่ะสิ” หลินยี่เสวี่ยอดกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ได้
หวูโหย่วเจิ้งพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ถูกต้อว ในครั้งนั้น นิกายซูสือเป็นสาขาย่อยของพรรคเทียนยวิ่น หลังจากพรรคเทียนยวิ่นตกต่ำลงแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นทั้งหมดก็เสื่อมลงตามไปด้วย”
“เพราะอะไรพรรคเทียนยวิ่นจึงได้เสื่อมลงเล่า? อาจารย์เคยบอกว่า พรรคเทียนยวิ่นเคยบัญชาใต้หล้า ปราศจากผู้ต่อกรใต้หล้ามิใช่รึ?” หลินยี่เสวี่ยเอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้ใครจะไปรู้เล่า ฟังว่า ในวันนั้นพรรคเทียนยวิ่นดั่งพระอาทิตย์กลางหาว มีราชันแท้จริงสามองค์ที่มีชีวิตอยู่ ปราศจากผู้ต่อกร” หวูโหย่วเจิ้งเองก็ดูจะภูมิใจอยู่บ้าง เมื่อเอ่ยถึงเกียรติยศของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเขา
“ราชันแท้จริงสามองค์ที่มีชีวิตอยู่ก็หายวับไปกับตาในพริบตาเพียงชั่วข้ามคืน” ขณะที่หวูโหย่วเจิ้งกำลังรู้สึกภาคภูมิใจเล็กๆ อยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้พูดเรียบเฉยขึ้นมา
เอิกกก…คำพูดของหวูโหย่วเจิ้งหยุดกึกในทันที เขามองดูหลี่ชิเย่อดที่จะแปลกใจว่า “คุณชายก็ทราบเรื่องลับในประวัติศาสตร์นี้ด้วยรึ?”
“ไม่ถึงขั้นเรียกว่าเป็นเรื่องลับในประวัติศาสตร์” หลี่ชิเย่พูดเรียบเฉยว่า “มีตำราโบราณไม่น้อยล้วนแล้วแต่เคยบันทึกเอาไว้ อ่านตำราให้มากก็จะรู้ถึงเรื่องราวช่วงระยะหนึ่งที่ผ่านไป”
“ก็ถูก” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับยิ้มด้วยความขมขื่น ได้แต่พยักหน้าและกล่าวว่า “บันทึกภายในนิกายพวกเราก็เป็นเช่นนี้จริง พรรคเทียนยวิ่นล้มครืนลงเพียงชั่วข้ามคืน ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นไม่เหลือซึ่งเกียรติยศภายในชั่วข้ามคืน” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เขาเองอดที่จะทอดถอนใจด้วยความผิดหวังไม่ได้
“อาจารย์ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ?” หลินยี่เสวี่ยก็เพิ่งจะได้ฟังอาจารย์เอ่ยถึงประวัติศาสตร์ในช่วงนี้ อดที่จะกล่าวด้วยความตระหนกว่า “มีราชันแท้จริงสามองค์นั่งบัญชาการ ใครกันนะสามารถทำอะไรพรรคเทียนยวิ่นได้ แล้วพรรคเทียนยวิ่นจะพังทลายลงในชั่วข้ามคืนได้อย่างไรกัน?”
“นี่เป็นปริศนา” หวูโหย่วเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ในครั้งนั้น พรรคเทียนยวิ่นเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ทั่วทั้งพรรคเทียนยวิ่นใช่เพียงแต่มีแค่ราชันแท้จริงสามองค์เท่านั้น แม้แต้เทพแท้จริงขั้นอมตะก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย มิฉะนั้นล่ะก็พรรคเทียนยวิ่นอาศัยอะไรมาบัญชาใต้หล้า เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ พรรคเทียนยวิ่นทั้งพรรคก็ได้พังทลายลงภายในชั่วข้ามคืน หายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“เรื่องจริงหรือนี่?” หลินยี่เสวี่ยเองก็ยากจะเชื่อเมื่อได้ฟังคำเช่นนี้ ในความคิดของนาง ราชันแท้จริงคือผู้ที่อยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรอย่างยิ่งแล้ว อย่าว่าแต่ราชันแท้จริงเลย แม้แต่เทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์ก็เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งมากในความคิดของนาง เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขาคิดจะหาระดับเทพแท้จริงก้าวขึ้นสู่สวรรค์สักคนก็หายาก
“เป็นเรื่องจริง” หวูโหย่วเจิ้งพยักหน้า มองดูซากปรักหักพังที่อยู่ตรงหน้า และกล่าวว่า “ครั้งนั้นพรรคเทียนยวิ่นก็บัญชาการใต้หล้าอยู่ตรงนี้แหละ เจ้าดูสิ ที่ตรงนี้มีอะไรแตกต่าง”
“ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างนี่” หลินยี่เสวี่ยเอียงคอ ทำท่าไตร่ตรองนิดหนึ่ง ซากปรักหักพังลักษณะเช่นนี้มีอยู่มากมายเหลือเกินในเมืองหมิงลั่วเฉิง จะอย่างไรเสียเมืองหมิงลั่วเฉิงในอดีตมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันเป็นอันมาก จึงมีซากปรักหักพังโบราณที่ถูกทิ้งร้างอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“ซากปรักหักพังอื่นๆ ของเมืองหมิงลั่วเฉิงล้วนแล้วแต่ถูกทิ้งร้าง ยังคงมีตึกเก่าและวิหารทรุดโทรมตั้งตระหง่านอยู่ ขณะที่ตรงนี้เกิดจากพลังกระแทกจนแหลกละเอียด ดังนั้นตึกรามบ้านช่องวิหารโบราณทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่งพุ่งเข้าปะทะจนล้มครืนลง กระทั่งแตกละเอียดไปในทันที กลายเป็นเศษหิน ดังนั้น ที่ตรงนี้เจ้าจะมองไม่เห็นตึกที่แตกหักและเศษซากวิหารอะไรทั้งสิ้น” หวูโหย่วเจิ้งชี้แนะต่อหลินยี่เสวี่ย
“นี่ นี่ นี่เป็นเช่นนี้จริงๆ” หลังจากได้รับการชี้แนะแล้ว หลินยี่เสวี่ยมองดูรอบๆ เป็นจริงดั่งทที่หวูโหย่วเจิ้งได้พูดเอาไว้อย่างนั้น รอบๆ มีแต่ซากปรักหักพังไปทั่ว ไม่เหลือไว้ซึ่งเศษซากของห้องหอและวิหารโบราณเลย
แม้ว่าหลินยี่เสวี่ยเติบโตในเมืองหมิงลั่วเฉิง แต่ทว่า ก่อนหน้านั้นนางไม่เคยใส่ใจในรายละเอียดเหล่านี้
………………………………………..