Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2579 หยางถิงอวี่
ตอนที่ 2579 หยางถิงอวี่
ผู้คนทั้งเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ กับการตกอยู่ในวงล้อมของนิกายซูสือ สำหรับประชาชนที่เป็นราษฎรธรรมดายิ่งไม่มีกำลังที่จะไปก้าวก้ายความบาดหมางระหว่างผู้บำเพ็ญตนด้วยกัน
แม้ว่านิกายซูสือจะได้ใจจากชาวเมืองในเมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นอันมาก และหวูโหย่วเจิ้งผู้เป็นเจ้านิกายก็ได้รับความรักใคร่จากผู้คนเป็นจำนวนมาก แต่ว่า ในเวลานี้ก็ไม่มีผู้บำเพ็ญตนคนใดกล้าก้าวออกมาพูดอะไรให้กับนิกายซูสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีสำนักใดๆ ออกมาสนับสนุนนิกายซูสืออย่างเต็มที่ และหรือให้ความช่วยเหลือต่อนิกายซูสือ
ณ ปัจจุบัน กล่าวได้ว่า จวนลั่วนั้นนับวันยิ่งจะมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากที่หยางถิงอวี่เข้ามากุมอำนาจจวนลั่วแล้ว ยิ่งเรียกได้ว่าดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลาวหาว ทุกคนต่างมองออกว่าหยางถิงอวี่นั้นอนาคตไร้ขอบเขตจำกัด จะต้องได้เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์อย่างแน่นอน กระทั่งอาจได้ครอบครองระดับอมตะ เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว เขาก็คือบุคคลอันดับหนึ่งที่จริงแท้แน่นอนแล้ว
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครบ้างต้องการเป็นศัตรูกับหยางถิงอวี่ ใครบ้างต้องการล่วงเกินต่อหยางถิงอวี่ ทุกคนต่างมองออกว่า การที่หยางถิงอวี่จะรวบรวมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นให้เป็นปึกแผ่นนั้นเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
มองดูกองทัพเหล็กนิลของจวนลั่วที่ปิดล้อมป้อมปราการของนิกายซูสือเอาไว้นั้น นิกายซูสือเข้าสู่การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ว่าไม่ว่านิกายซูสือจะดิ้นรนเช่นใดก็ตาม ก็ไม่สามารถหนีจากชะตากรรมต้องถูกทำลายล้างไปไม่ได้
“สุดท้ายแล้ว นิกายซูสือยังคงต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์” ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสอดที่จะปลงอนิจจังอยู่บ้างไม่ได้ และอดที่จะร้องไห้ต่อกระซิกในใจไม่ได้
กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนบางส่วนแล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกระต่ายตายสุนัขจิ้งจอกเศร้าเสียใจ วันนี้จวนลั่วสามารถทำลายล้างนิกายซูสือได้ เช่นนั้นแล้วพรุ่งนี้ก็สามารถทำลายล้างพวกเขาได้เช่นกัน แต่ว่า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และไม่สามารถยับยั้งการก้าวเดินของหยางถิงอวี่ได้
หวูโหย่วเจิ้งเองก็กังวลใจอย่างยิ่งขณะอยู่บนป้อมปราการ มองไปทางซากปรักหักพังเทียนยวี่น ท่าทีนั้นดูจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง
แม้ว่าเป็นการไม่ง่ายนักกว่าพวกเขาจะฝ่าวงล้อมไปได้ และส่งตัวหลินยี่เสวี่ยออกไป แต่ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งก็ไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลินยี่เสวี่ยสามารถเชิญตัวหลี่ชิเย่มาได้หรือไม่ เขาเองมีรู้ว่าหลี่ชิเย่ยินยอมลงมือเข้าช่วยหรือไม่ เรียกได้ว่าภายในใจของเขาไม่มีความมั่นใจแม้แต่นิดเดียว
จะอย่างไรเสีย นิกายซูสือของพวกเขากับหลี่ชิเย่ใช่ญาติใช่มิตร ต่อให้นิกายซูสือของพวกเขาถูกทำลาย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าหลี่ชิเย่จะยอมยื่นมือเข้าช่วย ยิ่งไปกว่านั้น เฉกเช่นผู้สูงส่งอย่างหลี่ชิเย่นั้น ความคิดความอ่านและการกระทำของเขาไม่สามารถอาศัยความคิดของคนทั่วๆ ไปคาดเดาได้
เวลานี้ ภายในใจของเขามีความกังวลยิ่งนัก มักจะมองไปยังที่ที่ห่างไกลอยู่เสมอๆ เวลานี้บนตัวของเขามีอาการบาดเจ็บไม่เบาเลย เขาปะมือกับหยางถิงอวี่ ถูกเคล็ดวิชาราชันแท้จริงของหยางถิงอวี่ที่พาลยิ่งทำให้ได้รับบาดเจ็บ หากไม่เป็นเพราะพลังวัตรของเขาแข็งแกร่งยังคงสามารถทนเอาไว้ได้ล่ะก็ มิฉะนั้นคงตายไปนานแล้ว
ภายในใจของหวูโหย่วเจิ้งร้อนรนอย่างยิ่ง เนื่องจากเขาเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า อาศัยกำลังของพวกเขาคงต้านจวนลั่วได้อีกไม่นาน หากถูกโจมตีอีกหลายระลอก ป้อมปราการของพวกเขาต้องแตกอย่างไม่ต้องสงสัย หากถึงขั้นนั้นแล้ว หลี่ชิเย่ก็ไม่ลงมือเข้าช่วยเหลือ นิกายซูสือของพวกเขาคงต้องล่มสลายจริงๆ แล้ว เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะสิ้นหวังอย่างแท้จริงแล้ว
“อาจารย์ ผู้สูงส่งผู้นั้นจะมาหรือไม่?” เวลานี้ศิษย์ที่อยู่ข้างกายหวูโหย่วเจิ้งได้เอ่ยถามแผ่วเบาขึ้นมา มองดูกองทัพเหล็กนิลที่อยู่ด้านล่างแล้ว ในใจของศิษย์นิกายซูสือต่างรู้สึกหนาวสะท้าน พวกเขาไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมของจวนลั่วได้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยจัดกำลังเพื่อตีฝ่าวงล้อมหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก
“น่าจะมากระมัง” หวูโหย่วเจิ้งอดที่จะพึมพำขึ้นมา กล่าวพลางอดที่จะมองไปยังซากปรักหักพังเทียนยวี่น คำพูดของเขาทั้งเป็นการตอบคำถามของศิษย์ภายในสำนัก เพื่อให้ศิษย์ภายในสำนักมีความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็เป็นการให้กำลังใจตัวเอง ความจริงแล้วในใจของเขาไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
ขณะที่ทุกคนกำลังกลั้นลมหายใจมองดูกองทัพเหล็กนิลอยู่นั้น ทันใดนั้นเห็นคนสองคนลงมาจากฟ้าเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ร่อนลงไปยืนอยู่ด้านหน้าป้อมปราการ ด้านหน้าของกองทัพเหล็กนิล
พลันที่มองเห็นสองคนที่ร่อนลงมาอยู่ด้านน้ากองทัพเหล็กนิล หวูโหย่วเจิ้งเพ่งมองเข้าไป เป็นหลี่ชิเย่และหลินยี่เสวี่ยนั่นเอง เขาพลันดีใจอย่างยิ่งอดที่จะร้องขึ้นมาว่า “ผู้สูงส่งมาแล้ว!”
“ขอบคุณฟ้าดิน ในที่สุดนิกายซูสือพวกเราก็รอดแล้ว” ในเวลานี้ น้ำตาแห่งความปิติของหวูโหย่วเจิ้งก็เอ่อล้นเบ้าตาออกมา เดิมเขาได้วางแผนและคิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุดแล้ว เกรงว่านิกายซูสือของพวกเขาคงต้องล่มสลายแล้วในวันนี้
ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ในวินาทีสุดท้ายผู้ช่วยก็มาถึงแล้วในที่สุด พลันที่หลี่ชิเย่มาถึง หวูโหย่วเจิ้งก็รู้ว่านิกายซูสือของพวกเขารอดแล้ว
ทันใดนั้น ได้ก่อเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที เมื่อหลี่ชิเย่และหลินยี่เสวี่ยร่อนลงมาจากท้องฟ้า
“นั่นไม่ใช่ศิษย์ของนิกายซูสือที่เพิ่งหนีออกไปไม่ใช่รึ? ทำไมกลับมาอีกแล้ว? มิเท่ากับเป็นการรนหาที่ตายรึ?” ท่ามกลางผู้ชมที่อยู่ห่างไกลออกไป มีผู้ที่มองเห็นหลินยี่เสวี่ยจากระยะไกล รู้สึกเหนือความคาดคิด
แต่ก็มีผู้ที่มองเห็นหลี่ชิเย่และกล่าวว่า “ผู้ชายคนนี้เป็นใคร? คงไม่ใช่ผู้ช่วยที่ทางนิกายซูสือเชิญมากระมัง? ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเรา ไม่ว่าจะเอาผู้ช่วยมาจากไหนก็เปล่าประโยชน์ ยังจะมีใครแกร่งยิ่งกว่าจวนลั่วอีก ยังจะมีใครเป็นคู่ต่อสู้ของหยางถิงอวี่ได้อีก?”
ตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงอาวุธดังขึ้นไม่หยุด เมื่อหลี่ชิเย่และหลินยี่เสวี่ยปรากฎตัวด้านหน้าป้องปราการนั้น ทหารของกองทัพเหล็กนิลจำนวนไม่น้อยพลันหันปลายทวนและคมดาบเล็งไปที่หลี่ชิเย่ กลิ่นอายการฆ่าคุกกรุ่น
“เป็นเจ้า” สวี่อิงเจี้ยนที่บัญชาการรบในเหตุการณ์พลันที่มองเห็นหลี่ชิเย่ ถึงกับมีสีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว โบกมือทีหนึ่ง
“ระวัง!” สวี่อิงเจี้ยนถูกทำให้ตกใจยิ่งนัก ทหารจากกองทัพเหล็กนิลบุกเข้ามาทันที ดั่งป้อมปราการเหล็กที่เล็งไปยังหลี่ชิเย่ กลิ่นอายที่ดุเดือดรุนแรงตลบอบอวล
ในเวลานี้สวี่อิงเจี้ยนก็รู้สึกเสียใจภายหลังที่ปล่อยให้หลินยี่เสวี่ยฝ่าวงล้อมออกไปได้ เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าหลินยี่เสวี่ยถึงกับสามารถลากเอาผู้ช่วยเช่นนี้มาได้
“เจ้าหนูคนนี้เป็นใครกัน?” เมื่อเห็นท่าทีของสวี่อิงเจี้ยนเหมือนพบกับศัตรูผู้แข็งแกร่ง ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกเหนือความคาดคิด และเอ่ยขึ้นเบาๆ
ทุกคนต่างส่ายหน้า ไม่มีคารู้จักหลี่ชิเย่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปรู้ถึงประวัติความเป็นมาของเขา อีกอย่าง หลี่ชิเย่ที่ดูธรรมดาๆ ไม่เหมือนเป็นยอดฝีมืออะไร
เสียงฮึเสียงหนึ่งดังขึ้น เสมือนดั่งเสียงฟ้าผ่า นาทีนี้เห็นคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน ข้างกายของเขามีศิษย์จวนลั่วยอดฝีมือคอยคุ้มกัน เสมือนดั่งดาวล้อมเดือนอย่างนั้น
“หยางถิงอวี่ ไม่ เจ้าจวนหยางมาแล้ว” ทุกคนที่ยืนดูอยู่ตรงที่ที่ห่างไกลต่างสะดุ้งในใจเมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นี้ก้าวออกมาจากฝูงชน ท่าทีพวกเขาดูจะให้ความเคารพไม่น้อย
หยางถิงอวี่ เจ้าจวนแห่งจวนลั่ว ลักษณะท่วงท่างดงาม แลดูอิ่มเอิบมีชีวิตชีวา มีคุณสมบัติประจำตัวที่ไม่ธรรมดา สวมชุดคลุมตัวใหญ่ ปลิวสะบัดไปตามลม พลังเต็มเปี่ยม ท่าทางการก้าวเดินดั่งท่วงท่ามังกรพยัคฆ์ย่างกราย มีท่วงทีของความเป็นเจ้าถิ่นอย่างแท้จริง
“ท่านก็คือผู้สูงส่งที่อยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังคนนั้น” ดวงตาทั้งสองของหยางถิงอวี่ดูเข้มและน่าเกรงขามจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวเสียงเย็นชาขึ้นมา
หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ผู้สูงส่งท่ามกลางซากปรักหักพังอะไรนั่น ข้าชื่อหลี่ชิเย่ จำให้มั่นล่ะ ผู้คนยกย่องข้าว่าคนโหดอันดับหนึ่ง”
“หลี่ชิเย่ คนโหดอันดับหนึ่ง?” บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้าซึ่งกันและกันเมื่อได้ยินชื่อที่ไม่คุ้นเคย ทุกคนต่างไม่รู้ว่าโผล่ขึ้นมาจากที่ไหน ทั้งยังพูดไม่ละอายปากเช่นนี้ เรียกตัวเองว่าคนโหดอันดับหนึ่ง
ดวงตาทั้งสองของหยางถิงอวี่พลันดูเข้มและน่าเกรงขาม จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่อย่างไม่ลดละ ผ่านไปชั่วครู่ เขาได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “จวนลั่วของพวกเราไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร ท่านสังหารมู่เฉิงเจี๋ยเด็กคนนั้น ย่อมมีตระกูลมู่มาคิดบัญชีกับท่าน วันนี้ เป็นกิจการภายในของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมายุ่งเกี่ยวด้วย ดังนั้น ขอท่านอย่าได้เข้ามาพัวพันกับเรื่องราวบุญคุณความแค้นภายในของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น”
คำพูดที่ดูเกรงใจเช่นนี้ของหยางถิงอวี่ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเหนือความคาดคิด เจ้าคนที่ชื่อหลี่ชิเย่แลดูก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ธรรมดาๆ แต่หยางถิงอวี่กลับเกรงใจเขาถึงเพียงนี้? สมควรทราบว่า ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นยุคปัจจุบันกล่าวอย่างไม่เป็นการโอ้อวดได้ว่า หยางถิงอวี่สามารถปกครองใต้หล้าได้แล้ว ยังจะมีใครคู่ควรให้เขาต้องเกรงใจถึงเพียงนี้?
แต่ว่า หยางถิงอวี่พูดมีเหตุผลยิ่ง กล่าวสำหรับแดนสามเซียนแล้ว เป็นความจริงที่บุคคลภายนอกคนหนึ่งไม่สะดวกที่จะเข้าไปสอดเรื่องกิจการภายในของผู้อื่น หรือบุญคุณความแค้นภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ โดยทั่วไปแล้ว ไม่ค่อยมีใครยินดีเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งต้องห้ามของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมาก
จะอย่างไรเสีย กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากแล้ว ต่อให้สำนักต่างๆ แต่ละสำนักภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเดียวกันฆ่าฟันกัน ก็เป็นเรื่องของพวกเขาที่เป็นเรื่องภายในครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลภายนอกมายื่นมือแก้ไขปัญหา
อ๋อหลี่ชิเย่ตอบรับคำหนึ่ง และกล่าวว่า “นั่นมันเรื่องของเจ้า แต่ว่า ในเมื่อข้าอยู่ตรงนี้ หากรู้จักกาลเทศะ ไสหัวไป หากข้าลงมือก็คือเลือดไหลนองเป็นธาร”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ผู้คนทั้งหมดตาค้างพูดอะไรไม่ออก ผู้ชมที่ยืนดูอยู่ข้างๆ ในที่ห่างไกลได้ยินคำพูดนี้แล้วต่างรู้สึกงงงัน เวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยยังไม่สามารถเรียกสติคืนกลับมา
“นี่มันอวดดีเกินไปแล้วกระมัง หรือว่าเขาไม่รู้ว่าที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่คือใคร? นี่คืออันดับหนึ่งแห่งระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเรา” มีผู้ที่ถึงกับร้องด้วยความตกใจ
“เจ้าหนูนี่มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่? ถึงกับกล้าพูดจาไม่ละอายต่อหน้าหยางถิงอวี่เช่นนี้!” แม้แต่ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสก็รู้สึกตกใจ
“ท่าน” สีหน้าของหยางถิงอวี่พลันเปลี่ยนไปมากทีเดียว ถึงกับก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ดวงตาทั้งสองเข้มและน่าเกรงขาม สีหน้าบึ้งตึง กล่าวน่าเกรงขามว่า “คำพูดท่านออกจะอวดดีเกินไปแล้ว ที่นี่คือระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเรา…”
“ข้ารู้” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ ตัดบทหยางถิงอวี่ กล่าวเรียบเฉยว่า “ข้าจะไม่พูดเป็นครั้งที่สอง ไสหัวไป!”
หยางถิงอวี่ถูกทำให้โมโหจนใบหน้าดำคล้ำ เขาที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น เคยถูกคนอื่นตวาดเสียงดังแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เป็นนอกระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ทุกคนก็รู้ว่าเขาเป็นศิษย์ในนามของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน แม้แต่ยอดฝีมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิขนาดใหญ่ก็ต้องเกรงใจเขาอยู่สามส่วน
เวลานี้ หลี่ชิเย่ตวาดใส่ต่อหน้าทุกคน บอกโดยตรงว่าให้เขาไสหัวไป หากเขาสามารถกล้ำกลืนความอัปยศนี้ได้ล่ะก็ ชื่อเสียงบารมีในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของเขาก็หมดสิ้นในทันที ทำให้เขาไม่สามารถรักษาอำนาจความเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งเอาไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความทะเยอทะยานในการรวบรวมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นให้เป็นปึกแผ่นในอนาคตของเขา
“ท่านยกตนข่มท่านมากเกินไปแล้ว!” หยางถิงอวี่อดที่จะร้องกล่าวเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ว่า “จวนลั่วของพวกเตาเคยกลัวใครมาก่อน ใครก็ตามกล้าทำกำเริบเสิบสานในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นพวกเรา ก็คือศัตรูของจวนลั่ว เป็นศัตรูของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นทั้งหมด…”
“กระบี่” หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจในหยางถิงอวี่ ยื่นมือไปช้าๆ
หลินยี่เสวี่ยตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมา ได้ยื่นกระบี่ประจำตัวของตนไปให้ หลี่ชิเย่ไม่ได้มองสักแวบหนึ่ง เพียงชักกระบี่ออกจากฝักตามอารมณ์
หลี่ชิเย่ถือกระบี่ในมือตามอารมณ์ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ก่อนที่ข้าจะยกมือขึ้นยังมีโอกาส ถ้ามือข้าลงมาเมื่อไรก็คือเลือดไหลนองเป็นธาร”
“เตรียมต่อสู้” สีหน้าของสวี่อิงเจี้ยนเปลี่ยนไปมากทีเดียวเมื่อเห็นกระบี่ในมือหลี่ชิเย่ ส่งเสียงดังออกมา สั่งให้กองทัพเหล็กนิลเตรียมการสู้รบ
………………………………..