Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2600 ผีดิบก่อความวุ่นวาย
ตอนที่ 2600 ผีดิบก่อความวุ่นวาย
ผีดิบได้ลักลอบปะปนเข้าไปยังเมืองหมิงลั่วเฉิงอย่างเงียบเชียบ เหมือนว่าพวกมันต้องการกลมกลืนเข้ากับโลกใบนี้อย่างนั้น
ขณะที่ผีดิบคลานออกมาจากใต้พื้นดินนั้น หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ภายในตำหนักทองแดงพลันลืมตาขึ้นทั้งสองข้าง มองเห็นประกายตาของเขาแวบหนึ่ง เสมือนหนึ่งเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ที่สาดส่องขึ้นมาอย่างนั้น เหมือนว่าสามารถส่องไปถึงยังนรกอเวจีใต้พื้นดินได้โดยตรง
นาทีนี้เอง หลี่ชิเย่ลุกขึ้นมาพรวดพราดและเดินออกนอกตำหนักทองแดงไปทันที
“คุณชาย เป็นไรไปรึ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” การลุกขึ้นพรวดพราดและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังด้านนอกตำหนักทองแดง ได้ปลุกให้หวูโหย่วเจิ้ง และหลินยี่เสวี่ยสองอาจารย์และศิษย์ที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่หน้าประตูให้สะดุ้งตื่นขึ้นมา
หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เดินไปยังหน้าประตูของตำหนักทองแดงโดยลำพัง ยืนอยู่ท่ามกลางแสงสียามค่ำคืน กวาดสายตามองออกไป เพ่งดวงตาทั้งสองไปข้างหน้าและตกอยู่ที่กองเศษซากหินกองหนึ่ง
หวูโหย่วเจิ้ง และหลินยี่เสวี่ยสองอาจารย์และศิษย์วิ่งตามออกมา เมื่อหวูโหย่วเจิ้งมองเห็นท่าทีลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว เขายืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่และเอ่ยถามขึ้นมาแผ่วเบาว่า “คุณชาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?”
“มีคนมา” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ สองตาเพ่งตรงไปข้างหน้า สายตาของเขาเสมือนหนึ่งสามารถทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่างได้ แสงสียามค่ำคือนภายใต้สายตาของเขากลับกลายเป็นเบาบางอะไรอย่างนั้น
“มีคนมา…” หลินยี่เสวี่ยได้ยินคำพูดนี้แล้วถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง นับแต่หลี่ชิเย่ลงมือสยบทุกคนแล้วก็ไม่มีใครกล้าเหยียบย่างเข้ามาในซากปรักหักพังเทียนยวี่นแม้เพียงครึ่งก้าว ทุกคนต่างให้ความเคารพและออกห่างจากที่ตรงนี้ ทุกคนที่อยู่ที่นี้ล้วนแล้วแต่ต้องเดินอ้อมกันไปทั้งนั้น
เวลานี้ดึกดื่นค่อนคืนพลันมีผู้มาเยือน เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ? ถึงกับกล้าหาญชาญชัยขนาดนี้
ช่าาา…เสียงหนึ่งดังขึ้น ทันใดนั้น บริเวณที่เป็นกองเศษซากหินพลันแตกออก ปรากฎคนผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำโผล่ขึ้นมา ชายผู้นี้แบกทวนยาวไว้บนบ่า ในปากคาบต้นหญ้าต้นหนึ่ง เดินอาดๆ เข้ามายังตำหนักทองแดง
“เขาเป็นใคร?” หลินยี่เสวี่ยรู้สึกตระหนกอยู่บ้างเมื่อมองเห็นชายผู้นั้นที่แบกทวนยาวบนบ่า ดูเหมือนไม่ได้มาดี จึงเอ่ยถามขึ้นมาแผ่วเบา
“ไม่ นั่น นั่น นั่นเป็นคนตาย…” หลังจากที่ชายผู้นั้นก้าวออกมาจากกองเศษซากหินแล้ว หวูโหย่วเจิ้งก็ได้จับจ้องตัวเขาตลอดเวลา หลังจากจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว เขาพบว่าคนผู้นี้ไม่มีกลิ่นอายของความมีชีวิตบนตัว จึงรู้ได้ทันทีและร้องเสียงดังขึ้นมา
“ถูกต้อง เป็นคนตายนั่นเอง คนตายที่อยู่ใต้พื้นดินฟื้นคืนชีพแล้ว” หลี่ชิเย่ไม่รู้สึกประหลาดใจ และเหนือความคาดคิดเลยสักนิด เอ่ยเรียบเฉยขึ้นมา
“อะไรนะ เป็น เป็นคนตาย…” หลินยี่เสวี่ยรู้สึกตกใจยิ่งนัก ถึงกับก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แม้จะกล่าวว่านางเองก็เคยพบเห็นคนตายมาก่อน แต่ทว่า คนที่ตายไปแล้วยังสามารถมากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าพวกเขา เรียกได้ว่าทำเอานางตกอกตกใจไม่เบาเลยทีเดียว
ช่าาา…ในเวลานี้เอง อีกด้านหนึ่งของซากปรักหักพังปรากฏดินที่คลายตัว มองเห็นมือข้างหนึ่งที่ยื่นออกมา ตามติดด้วยผู้เฒ่าผู้หนึ่งผมเผ้าขาวโพลนโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดิน และเดินมุ้งหน้ามาที่ตำหนักทองแดงเช่นกัน
“ด้าน ด้าน ด้านนั้นก็มีคนตายออกมาอีกคนแล้ว” หลินยี่เสวี่ยพลันมองเห็นผู้เฒ่าที่คลานออกมาทางด้านหลังแล้วถึงกับผวา ชี้นิ้วไปที่มัน กระทั่งนิ้วมือยังสั่นเทา ตกใจจนนางต้องรีบหลบไปอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่
กล่าวสำหรับหลินยี่เสวี่ยแล้ว ในเวลานี้ไม่มีที่ใดปลอดภัยมากไปกว่าด้านหลังของหลี่ชิเย่อีกแล้ว
“นี่ นี่คือผู้เฒ่าหลินแห่งเมืองไป่หลานเฉิงนี่!” หวูโหย่วเจิ้งมีสีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว และกล่าวด้วยความหวาดผวาอย่างยิ่ง เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้คลานออกมาจากใต้พื้นดิน
“อาจารย์ ท่าน ท่านคงไม่จำคนผิดกระมัง ท่านบอกว่าผู้เฒ่าหลินคือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งเมืองไป่หลานเฉิงมิใช่หรือ ทำไม ทำไมตายแล้วฟื้นคืนชีพล่ะ?” หลินยี่เสวี่ยสีหน้าขาวซีดและกล่าวด้วยความหวาดผวา
“ไม่” หวูโหย่วเจิ้งท่าทีหนักแน่นจริงจัง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าข้ากับผู้เฒ่าหลินไม่นับเป็นสหายที่สนิทที่สุด แต่เคยนั่งดื่มสุราด้วยกันมาหลายครั้ง ข้าจำคนไม่ผิดแน่นอน!”
“เมืองไป่หลานเฉิง เมืองไป่หลานเฉิงหายสาบสูญไปแล้วมิใช่รึ? พวก พวก พวกมันมาปรากฎตัวที่นี่ได้อย่างไรกัน” หลินยี่เสวี่ยถูกทำให้ตกใจไม่เบาเลยทีเดียว เมืองไป่หลานเฉิงหายสาบสูญไปนานแล้ว เมืองทั้งเมืองถล่มจมลงสู่ใต้พื้นดิน
ที่น่ากลัวก็คือ คนตายที่หายสาบสูญไปในเมืองไป่หลานเฉิง มาวันนี้กลับฟื้นคืนชีพที่ตรงนี้ อีกทั้งเมืองไป่หลานเฉิงห่างจากเมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นล้านลี้ ลองนึกดู มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด
“ข้าเองก็ไม่รู้ ย่อมไม่ต้องสงสัย คนตายของเมืองไป่หลานเฉิงจะมาฟื้นคืนชีพที่เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเรา” หวูโหย่วเจิ้งพูดด้วยสีหน้าที่หนักแน่นจริงจัง
“ตรง ตรง ตรงนั้นก็มีอีกหนึ่ง…” ในขณะนี้ หลินยี่เสวี่ยร้องเสียงแหลมขึ้นมา และชี้ไปอีกด้านหนึ่งพร้อมกับร้องเสียงดังขึ้นมา ทำเอานางตกใจจนหลบเข้าไปแนบติดอยู่กับด้านหลังของหลี่ชิเย่ มีเพียงเกาะติดอยู่กับหลี่ชิเย่เช่นนี้ นางจึงรู้สึกว่าปลอดภัย
ช่าาา…เสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้เอง ปรากฏผีดิบอีกหลายคนได้โผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินในที่ๆ ห่างไกลออกไป
“แย่แล้ว คนตายฟื้นคืนชีพ นี่ นี่ นี่ฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้วรึ?” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับหวาดผวาจนหน้าถอดสี แม้ว่าเขาจะเคยพบเห็นเรื่องประหลาดมาจำนวนไม่น้อย เวลานี้เขาก็ต้องถูกทำให้ตกใจจนหน้าขาวซีด เขาร่างสั่นเทาทีหนึ่งและกล่าวว่า “หรือ หรือ หรือว่าคนตายจะมาปรากฏบนโลกมนุษย์แล้ว?”
“ไหนเลยมีเรื่องคนตายมาปรากฏบนโลกมนุษย์” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “เป็นความชั่วร้ายจะปรากฎแล้ว” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ ดวงตาทั้งสองของเขาเพ่งตรงไปข้างหน้า เผยประกายเยือกเย็นออกมา
“ความชั่วร้ายจะปรากฏ ถ้าหากความชั่วร้ายปรากฏขึ้นจริงๆ เช่น เช่น เช่นนั้นแล้วโลกจะเป็นอย่างไร?” หลินยี่เสวี่ยร่างสั่นเทาทีหนึ่ง อิงแอบอยู่กับหลี่ชิเย่จนร่างกายแทบจะแนบติดอยู่กับหลี่ชิเย่จนแน่นแล้ว
“ความชั่วร้ายปรากฏ?” หลี่ชิเย่มองหน้าหวูโหย่วเจิ้งทีหนึ่ง กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “พวกเจ้า เป็นได้แค่อาหารเท่านั้น โลกทั้งโลกก็เป็นเพียงอาหารบำรุงเท่านั้นเอง”
“ใช้ ใช้ ใช้คนเป็นอาหารรึ?” หลินยี่เสวี่ยถึงกับตาค้างพูดอะไรไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง ถึงกับขนลุกขนพองทั้งตัว
อืมมมหลี่ชิเย่พยักหน้า และกล่าวเรียบเฉยว่า “แต่ทว่า กล่าวสำหรับสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารแล้ว เกรงว่าพวกเจ้าไม่พอกระทั่งอุดขี้ฟัน”
สีหน้าของหลินยี่เสวี่ยขาวซีด อดร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งไม่ได้ ขณะที่หวูโหย่วเจิ้งก็ถูกทำให้ตกใจจนหวาดหวั่นพรั่นพรึง เวลานี้เมื่อมองเห็นผีดิบเดินเขาหาตำหนักทองแดงแล้วถึงกับร้องเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “ผีดิบมาแล้ว”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเรียบเฉยนิดหนึ่งสำหรับการเดินเข้ามายังตำหนักทองแดงของผีดิบ มีความเป็นอิสระและตามอารมณ์ยิ่ง เหมือนหนึ่งเป็นการต้อนรับการมาเยือนของแขกอย่างนั้น ดูเหมือนจะเป็นเจ้าบ้านที่มีความอบอุ่นอย่างยิ่ง
ขณะที่ภายในบริเวณซากปรักหักพังเทียนยวี่นมีผีดิบโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินนั้น ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงก็มีผีดิบที่ปะปนเข้ามาในเมืองมากยิ่งกว่าเสียอีก
“เฮ้พี่น้อง ดึกดื่นขนาดนี้แล้วไปไหนรึ?” ณ บริเวณถนนที่เปลี่ยวแห่งหนึ่งภายในเมืองหมิงลั่วเฉิง มีผู้บำเพ็ญตนที่พบสวนทางกับผีดิบตนหนึ่ง เขาเองก็ดูไม่รู้จึงมีการกล่าวทักทายออกไป
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น พลันที่ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้กล่าวขาดคำ ปรากฏเลือดสดๆ สาดกระเซ็น ดาบยาวเล่มหนึ่งได้แทงทะลุหลังเข้ามาออกทางหน้าอก
เมื่อเข้าก้มมอง เห็นเพียงส่วนปลายของดาบที่มีเลือดไหลหยดมาทีละหยดๆ ไม่รู้ว่าด้านหลังของเขาได้ปรากฎผีดิบอีกตนหนึ่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ และเดินเข้าใกลตัวเขาอย่างเงียบเชียบ และหนึ่งดาบพลันเสียบเข้ากลางหลังทะลุร่างกายของเขาในทันที
เมื่อผู้บำเพ็ญตนผู้นี้เงยหน้าขึ้นมอง ผีดิบก่อนหน้าได้มายืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว วูบเดียวผีดิบนี้ได้กระโจนเข้าไปอ้าปากกัดเข้าบริเวณคอของเขาทันที
ผีดิบที่อยู่ด้านหลังก็กระโจนเข้ามาในเวลาเดียวกัน และอ้าปากกัดเข้าไปที่ต้นคออีกข้างหนึ่งของเขาเช่นเดียวกัน ในเวลานี้ได้ยินเสียงดูดเลือดดังเอือกเอือกเอือกขึ้นมา
อ๊ากกก…เสียงร้องน่าเวทนาดังขึ้น ในเมืองหมิงลั่วเฉิงเริ่มมีผู้บำเพ็ญตนถูกผีดิบลอบโจมตีกันบ้างแล้ว ถูกดาบแทงทะลุอกแล้วก้มงับที่ต้นคอและดูดเลือดในทันที
“เจ้าปีศาจ บังอาจนัก…” พรรคพวกของผู้บำเพ็ญตนที่ถูกลอบโจมตีส่งเสียงตวาดขึ้นมาทันทีด้วยความโกรธ ลงมือด้วยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในมือ หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันเข้าไป หัวหลุดออกจากบ่าและผีดิบนั้นก็ล้มลงตรงๆ ทันที
“พี่หู…” ผู้บำเพ็ญตนที่ถูกลอบโจมตีก็ล้มตัวลงนอนตรงๆ เช่นกัน พรรคพวกของเขารีบเอามือช้อนรับตัวเขาเอาไว้ แต่ ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว ร่างของเขาดำคล้ำไปทั่วร่าง
“นี่ นี่ นี่คือวิธีการอะไรกันแน่?” พรรคพวกถึงกับตื่นตระหนกยิ่งนัก เมื่อเห็นผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ดำคล้ำไปทั่วร่าง
เมื่อก้มลงมองดูอีกครั้ง เห็นศีรษะที่ถูกฟันจนขาดถึงกับเคลื่อนไหวกลิ้งไปมาได้ เมื่อค้นหาร่างที่เป็นซากศพของตนเองได้แล้ว นำศีรษะสวมเข้ากับคอหันหลังออกวิ่งไปทันที
“นี่มันตัวบ้าบออะไรกันแน่…” ผู้ที่เป็นพรรคพวกคนนั้นรู้สึกตระหนกยิ่งนัก เมื่อเห็นผีดิบสวมเอาศีรษะเข้ากับตัวแล้วก็ออกวิ่งหนีไปทันที จึงรีบเร่งวิ่งติดตามไป ร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “เจ้าปีศาจ จะหนีไปไหน”
แต่ว่า เมื่อพรรคพวกคนนี้วิ่งตามไปได้ไม่ไกลเท่าไรก็ต้องหยุด เนื่องจากด้านหน้าปรากฎผีดิบสามตนยืนเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้า เขาถึงกับตกใจกับสิ่งนี้ ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ด้านหลังปรากฏมีผีดิบโผล่มาอีกสามตนโดยปราศจากซุ่มเสียง ปิดทางของเขาเอาไว้
“ฆ่า…” เมื่อพรรคพวกคนนี้เห็นว่าถูกล้อมเอาไว้จึงร้องเสียงดังขึ้นมา ชักกระบี่บุกเข้าต่อสู้ทันที
อ๊ากกก…ในเวลานี้ เสียงร้องน่าเวทนาภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงดังสลับขึ้นมาไม่หยุด เนื่องจากตอนแรกไม่มีใครได้ทันสังเกตว่ามีผีดิบปะปนเข้ามาอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิง การที่ผีดิบพลันก่อการโจมตีขึ้นมากะทันหัน ทำให้ผู้คนจำนวนมากตั้งตัวไม่ทัน มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่ถูกผีดิบลอบโจมตีสำเร็จ และถูกฆ่าตายทันที อีกทั้งเมื่อผีดิบลอบโจมตีสำเร็จเมื่อใดก็จะทำการดูดเลือดทันที
“ปีศาจอะไร…” ในเวลานี้ เสียงร้องตวาดออกมาด้วยความโกรธดังลั่นไปทั่วเมืองหมิงลั่วเฉิงไม่ขาดสาย ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยทยอยกันลงมือ ล้วนแล้วแต่ต้องการสังหารเหล่าผีดิบที่ก่อการขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“มีผีดิบ คนตายฟื้นคืนชีพ ระวังตัวกันหน่อย” ในเวลานี้ เสียงเตือนก็ได้ดังขึ้นมาทั่วทุกตรอกซอกซอยภายในเมืองหมิงลั่วเฉิง
อ๊ากกก…เสียงร้องที่น่าเวทนาไม่ได้หยุดลงเพียงเท่านี้ แม้ว่าผีดิบจะไม่ได้แข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ แต่ว่า พวกเขาฆ่าไม่ตาย มีผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากเพิ่งจะพบว่า เมื่อจัดการตัดหัวของผีดิบไปแล้ว หัวของมันกลิ้งตัวค้นหาร่างของตนจนพบ จับมาสวมเข้ากับคอลุกขึ้นแล้วก็วิ่งหนีไปทันที
“ฆ่า…” ผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยรู้สึกโกรธจัด วิ่งไล่ตามผีดิบเหล่านี้ที่วิ่งหนีไปทันที
ตึง ตึง ตึงเสียงคำรามของอาวุธดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ในเวลานี้ ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่ต่อสู้พันตูอยู่กับผีดิบ
“ทุกคนระวังตัวด้วย มีคนตายปะปนเข้ามาอยู่ท่ามกลางคนเป็นๆ อย่างพวกเรา ทุกคนคอยสังเกตอย่าชะล่าใจ เมื่อพบเห็นแล้วให้ฆ่าทันทีไม่มียกเว้น” ในเวลานี้ มียอดฝีมือส่งเสียงแจ้งเตือนออกมา
“ผีดิบ…” ในขณะนี้ ทั่วทั้งเมืองหมิงลั่วเฉิงเดือดพล่านขึ้นมาทันที เริ่มมีการทยอยกันพบเห็นร่องรอยของผีดิบตามถนนตรอกซอกซอยของเมืองหมิงลั่วเฉิงกันแล้ว
แต่ว่า ผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอกเมืองหมิงลั่วเฉิงมีจำนวนมากพอ และผู้บำเพ็ญตนเหล่านี้ก็นับว่ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ ในเวลานี้พวกเขาได้ล้อมสังหารผีดิบกันขึ้นมาแล้ว
“ฆ่ามัน อย่าให้พวกมันหนีไปได้” ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยร้องตะโกนขึ้นมา เมื่อเห็นว่าผีดิบบางตนคิดหนีเมื่อสู้ไม่ได้ เข้าปิดล้อมบรรดาผีดิบที่จะหลบหนี
…………………………………………………….