Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2618 ความสามารถคุณชายล้ำเลิศหนึ่งไม่มีสอง
- Home
- Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2618 ความสามารถคุณชายล้ำเลิศหนึ่งไม่มีสอง
ตอนที่ 2618 ความสามารถคุณชายล้ำเลิศหนึ่งไม่มีสอง
“ถอนตัว ไม่ต้องรั้งรอ” ในเวลานี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดของเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างทยอยกันถอนตัวออกไป ผู้เยาว์จำนวนมากที่ยังไม่ได้สติกลับมาได้ติดตามและถอนตัวออกไปท่ามกลางเสียงตวาดของผู้อาวุโส
ภายใต้แววตาที่เย็นชาของหลี่ชิเย่ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอกทยอยกันถอนตัวออกไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิง ไม่สนว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่แข็งแกร่งเพียงใด ไม่สนว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มีชาติกำเนิดที่ยอดเยี่ยมเท่าใด ในเวลานี้ก็ไม่กล้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหลี่ชิเย่
ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษเก่ากะลาที่คิดว่าตนเองนั้นมีความแข็งแกร่งมากกว่าห้าแขกสวรรค์ แต่ว่า นาทีนี้ก็ไม่กล้าไปชนกับหลี่ชิเย่ ล้วนแล้วแต่ไม่กล้าไม่ทำตามคำสั่งของหลี่ชิเย่ พวกเขาล้วนแล้วแต่ถอนตัวออกจากเมืองหมิงลั่วเฉิงแต่โดยดี
สิบวัชระ ห้าแขกสวรรค์คือตัวอย่าง พวกเขาที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ก็ยังหายวับไปกับตาในพริบตาเดียวเช่นกัน พวกเขาที่เคยเป็นผู้ไร้เทียมทานมาก่อน ขณะที่ถูกหลี่ชิเย่เข่นฆ่าสังหาร มิใช่ถูกเข่นฆ่าสังหารจนสิ้นเหมือนดั่งเชือดหมูเชือดหมาอย่างนั้น
หลังจากผ่านเหตุการณ์การเข่นฆ่าลักษณะเช่นนี้ของสิบวัชระ ห้าแขกสวรรค์แล้ว ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่า ฉายาคนโหดอันดับหนึ่งใช่เรียกกันไปอย่างนั้น และใช่เป็นชื่อเสียงจอมปลอม ขอเพียงไปหาเรื่องกับเขาเมื่อใด ไม่ว่าผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดที่ยอดเยี่ยมเพียงใด ผลสรุปท้ายสุดก็มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือความตาย!
ในเวลานี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดของเมืองหมิงลั่วเฉิงล้วนแล้วแต่ถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ แม้แต่ระดับบรรพบุรุษเมื่อเห็นหลี่ชิเย่แล้วก็ต้องเต้นตูมตามในใจ คนที่ใจไม่สู้ถึงกับขาทั้งสองข้างสั่นเทา
ดังนั้น นาทีนี้ภายใต้การเฝ้าสังเกตด้วยแววตาที่เย็นชาของหลี่ชิเย่แล้ว ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากภายนอกทั้งหมดเสมือนหนึ่งน้ำขึ้นน้ำลงที่ถอยห่างออกไปทันที ไม่มีผู้ใดกล้ารั้งอยู่ต่อแม้แต่นิดเดียว และไม่มีใครกล้าลักลอบแอบซ่อนตัวอยู่ภายในเมืองหมิงลั่วเฉิง
ต่อให้ตัวเองไม่กลัวตาย แต่ก็เกรงจะทำให้สำนักของตนต้องเดือดร้อน แม้แต่เคอะเหมิง ฉางจินต้งคนโหดอันดับหนึ่งก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา แล้วสำนักของพวกเขาจะนับเป็นอะไรได้? เมื่อใดที่ไปทำให้คนโหดอันดับหนึ่งโกรธขึ้นมา สำนักและระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของพวกเขาก็ต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเช่นเดียวกัน
ภายในระยะเวลาอันสั้น ผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงที่มาจากภายนอกต่างทยอยกันถอนตัวออกไปจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ไม่มีผู้บำเพ็ญตนที่เป็นบุคคลภายนอกรั้งอยู่ในเมือง และไม่มีผู้ใดกล้าบังเกิดความคิดอื่นใด พวกเขายอมจากไปแต่โดยดี ไม่กล้ามีความคิดใดๆ ทั้งสิ้น
กระทั่งมีผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่มาจากภายนอกไม่เพียงถอนตัวออกจากเมืองหมิงลั่วเฉิงเท่านั้น ยังถอนตัวไปยังบริเวณที่ห่างไกลจากเมืองหมิงลั่วเฉิงพอสมควรทีเดียว แล้วค่อยตั้งเต็นท์พักอยู่ตรงนั้น
“เอาล่ะ เวลานี้สมควรทำอะไรก็ไปทำกัน เวลานี้ไม่มีสถานที่ที่สามารถรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิดอีกแล้ว หากไม่มีอะไรก็จงอย่าออกนอกเมือง” หลี่ชิเย่ตบมือและกล่าวเรียบเฉยขึ้นมา แล้วหันหลังเดินจากไป
“พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี…” ในเวลานี้เอง ทุกคนที่เป็นราษฎร และผู้บำเพ็ญตนในพื้นที่ทั้งหมดซึ่งถูกช่วยเหลือออกมาต่างคุกเข่าลงเสียงดังปุ และโขกศีรษะแรงพร้อมกับส่งเสียงดังขึ้นมา
ในเวลานี้ราษฎรในเมืองทั้งหมดต่างมองว่าหลี่ชิเย่คือเจ้าเมืองของเมืองหมิงลั่วเฉิงมีฐานะสูงส่งปราศจากผู้เทียบเทียม หากไม่เป็นเพราะผู้สูงส่งอย่างหลี่ชิเย่ พวกเขาคงหัวหลุดจากบ่าถูกสังหารไปนานแล้ว
ในเวลานี้ ราษฎรทั่วไปทั้งหมดล้วนแล้วแต่สำนึกในบุญคุณ ราษฎรทั้งหมดต่างคุกเข่าลงกับพื้น ทำการโขกศีรษะให้หลี่ชิเย่ครั้งแล้วครั้งเล่า หลี่ชิเย่ไม่เพียงเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตพวกเขา ยังเป็นเทพผู้พิทักษ์เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขา และเป็นพระเจ้าช่วยโลกของเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเขา!
“พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี พระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี…” เวลานี้เสียงร้องลักษณะเช่นนี้ดังก้องเมืองหมิงลั่วเฉิง และดังก้องทั่วท้องฟ้า ราษฎรของเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างร้องเสียงดังด้วยคำขวัญเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในขณะนี้เอง หลี่ชิเย่ได้หยุดการก้าวเดิน มองดูราษฎรที่คุกเข่าโขกศีรษะ เขาเอ่ยเรียบเฉยขึ้นมาว่า “การยกย่องเป็นอ๋องนับว่าธรรมดาเหลือเกิน เรียกข้าว่าคุณชายก็แล้วกัน” กล่าวจบก้าวเดินไปช้าๆ
“คุณชายความสามารถล้ำเลิศเป็นหนึ่งไม่มีสอง…” ในเวลานี้ หลินยี่เสวี่ยก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมา
“คุณชายความสามารถล้ำเลิศเป็นหนึ่งไม่มีสอง…” เวลานี้ ราษฎรทั้งหมดของเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างร้องเสียงดังขึ้นมา เสียงที่ร้องออกมาดังๆ ได้ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
เมืองหมิงลั่วเฉิงรอดแล้ว นับจากนี้เป็นต้นไป เมืองหมิงลั่วเฉิงจะมีการเขียนถึงเรื่องราวที่เป็นตำนาน คุณชายความสามารถล้ำเลิศเป็นหนึ่งไม่มีสอง คำพูดคำนี้ได้มีการสืบทอดต่อตลอดไป
เมืองหมิงลั่วเฉิงแลดูเงียบสงบมากทีเดียว เมื่อผู้บำเพ็ญตนที่เป็นบุคคลภายนอกได้ถอนตัวออกไปทั้งหมด
หลังจากที่ผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดถอนตัวออกจากเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ยังคงอดที่จะมองดูเมืองหมิงลั่วเฉิงจากระยะห่างไกลไม่ได้ มองดูเมืองหมิงลั่วเฉิงที่สว่างไสวไปทั้งเมือง ทุกคนก็ได้แต่มองเท่านั้น
ต่อให้กำแพงเมืองทั้งหมดของเมืองหมิงลั่วเฉิงในขณะนี้ไม่ได้ปิดก็ตาม และการป้องกันในเหมือนทำเอาไว้หลอกๆ แต่ว่า ไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบเข้าเมืองหมิงลั่วเฉิงแม้เพียงครึ่งก้าว แม้จะแอบลักลอบเข้าไปในเมืองหมิงลั่วเฉิงก็ไม่กล้า
คำพูดคำเดียวของหลี่ชิเย่ก็คือแนวป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองหมิงลั่วเฉิง หลังจากที่เขาพูดคำพูดคำหนึ่งออกมา ทั่วทั้งเมืองหมิงลั่วเฉิงก็กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ผู้บำเพ็ญตนจากภายนอกล้วนแล้วแต่ห้ามเหยียบย่างเข้าไป มิฉะนั้นเท่ากับรนหาที่ตายเอง
“ต่อไปนี้ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ตาม ขอเพียงพบกับคนโหดอันดับหนึ่งก็ให้หลีกหนีไปให้ไกล” กระทั่งมีผู้อาวุโสกำชับกับผู้เยาว์ของตนขณะมองดูเมืองหมิงลั่วเฉิงที่สงบเงียบ สั่งการน่าเกรงขามว่า “ส่วนหากใครไปล่วงเกินคนโหดอันดับหนึ่งเข้า ก็ให้ไปคุกเข่าอยู่ตรงนั้นด้วยตนเอง และยอมรับผิดด้วยการตัดหัวของตนออกมา อย่าทำให้สำนักต้องพลอยเดือดร้อน!”
หลังผ่านเหตุการณ์เข่นฆ่าสังหารสิบวัชระ ห้าแขกสวรรค์แล้ว ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่า เมื่อใดที่เป็นศัตรูกับคนโหดอันดับหนึ่งแล้วไม่มีอะไรสามารถรอมชอมกันได้ ไม่มีอะไรที่จะเจรจากันได้ เมื่อใดที่เป็นศัตรูกับเขาแล้วผลจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น นั้นก็คือความตาย!
กล่าวได้ว่า เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดที่จะแก้ไขได้อีกเลย
“เรื่องของศิลาเซียนคราวนี้คงต้องเหลวแล้วล่ะ” มียอดฝีมืออดที่จะทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นเมืองหมิงลั่วเฉิงได้กลับกลายเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้
มีระดับบรรพบุรุษบางส่วนคาดการณ์ไว้ว่า ศิลาเซียนจะต้องปรากฏขึ้นที่เมืองหมิงลั่วเฉิงอย่างแน่นอน เวลานี้เมืองหมิงลั่วเฉิงได้กลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นต่อให้ศิลาเซียนปรากฏขึ้นมาไม่ว่าใครก็จะไม่ได้มันมา เว้นแต่จะมีใครกล้าเสี่ยงอันตรายต่อการถูกสังหารเข้าไปแย่งศิลาเซียนในเมืองหมิงลั่วเฉิง
“ไม่รีบ ยังมีโอกาสอยู่แล้ว” มีระดับบรรพบุรุษที่สะกดอารมณ์ไว้ได้ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เมืองหมิงลั่วเฉิงจะต้องคึกคักยิ่งกว่านี้ คนโหดอันดับหนึ่งสังหารสิบวัชระ แขกสวรรค์ทั้งห้า พวกของลู่เคอะเวิง สี่พุทธาต้องไม่เลิกราง่ายๆ เด็ดขาด สมควรทราบว่า ฉางจินต้ง เคอะเหมิงล้วนแล้วแต่ไม่ยอมให้ใครมารังแกแน่…”
“…ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสามผู้ยิ่งใหญ่ที่ยังไม่ได้ลงมือ เช่นตระกูลมู่ ตระกูลหลี่ โดยเฉพาะกับคนอย่างราชันแท้จริงต้วนยวี่รับรองได้ว่าไม่ใช่ผู้ที่จะพูดง่าย เมื่อถึงเวลานั้น หากสามยักษ์ใหญ่ล้วนแล้วแต่มากันครบแล้ว นั่นแหละสถานการณ์ของเมืองหมิงลั่วเฉิงได้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ระดับบรรพบุรุษผุ้นี้เพ่งสายตาไปข้างหน้า เหมือนว่าเขามองเห็นนาทีนั้นมาถึงแล้วอย่างนั้น
“คนโหดอันดับหนึ่งแข็งแกร่งมาก แต่ เขาสามารถต้านได้คนสองคน สามารถต้านยอดฝีมือได้ทั้งหมดอย่างนั้นรึ? ต่อให้เขาแข็งแกร่งถึงขั้นต้านฉางจินต้ง ต้านเคอะเหมิงเอาไว้ได้ สามารถต้านสามผู้ยิ่งใหญ่ได้รึ? กู่อี้เฟยแห่งตระกูลหลี่ยังไม่ได้ลงมือ หากเขาลงมือล่ะก็คงพูดยาก” และมีระดับบรรพบุรุษคนอื่นๆ เห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้
“พวกเราอดกลั้นเอาไว้ก็แล้วกัน รอให้พายุฝนฟ้าคะนองมาถึง ใครจะเป็นผู้กำชัยก็ยังไม่รู้ ขอเพียงพวกเรารักษากำลังเอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้นก็สามารถฉวยโอกาสตักตวงผลประโยชน์ขณะที่กำลังสับสนวุ่นวายอยู่” ระดับบรรพบุรุษผู้นี้เอ่ยขึ้นช้าๆ
ไม่ว่ายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ถอนตัวออกจากเมืองหมิงลั่วเฉิงนั้นจะมีท่าทีอย่างไร ไม่ว่าพวกเขาจะคิดวางแผนอะไรกันไว้ แต่ว่า ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะก้าวเท้าเข้าไปยังเมืองหมิงลั่วเฉิงแม้เพียงครึ่งก้าว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้เมืองหมิงลั่วเฉิงดูจะมีความเงียบและสงบสุข
ค่ำคืนนั้น หลังจากที่หลินยี่เสวี่ยและหวูโหย่วเจิ้งจัดการเรื่องการเข้าพักของเหล่าราษฎรเรียบร้อยแล้ว กลับไปยังตำหนักทองแดง พวกเขาศิษย์อาจารย์ต่างคุกเข่าอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ ทำการโขกศีรษะต่อหลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่ง
“บุญคุณยิ่งใหญ่ของคุณชาย เมืองหมิงลั่วเฉิงจะจดจำไว้ทุกยุคทุกสมัย” หวูโหย่วเจิ้งและหลินยี่เสวี่ยโขกศีรษะ ซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดไม่ได้
“ออกไปเถอะ” หลี่ชิเย่ลืมตาขึ้นทีหนึ่งจากนั้นก็หลับตาลง กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “พายุฝนฟ้าคะนองกำลังมาถึง รั้งอยู่แต่ในเมืองหมิงลั่วเฉิง อย่าได้ออกไป”
“พวกเราจะจดจำคำพูดของคุณชายแน่นอน” หวูโหย่วเจิ้งและหลินยี่เสวี่ยแสดงคารวะอีกที แล้วจึงล่าถอยออกไปช้าๆ
เป็นไปเหมือนดั่งที่หวูโหย่วเจิ้งได้กล่าวเอาไว้ เมืองหมิงลั่วเฉิงสำนึกในบุญคุณใหญ่หลวงของหลี่ชิเย่ กล่าวสำหรับราษฎรที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดแล้ว หลี่ชิเย่ก็คือบิดามารดาผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ของพวกเขา เป็นพระเจ้าช่วยโลกของพวกเขา
ดังนั้น วันรุ่งขึ้น ทุกๆ ครอบครัวภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างจัดตั้งป้ายบูชาเพื่อระลึกถึงผู้มีพระคุณให้กับหลี่ชิเย่ ราษฎรของเมืองหมิงลั่วเฉิงต่างขอพรเทพเจ้าให้หลี่ชิเย่มีอายุมั่นขวัญยืน
ราษฎรของเมืองหมิงลั่วเฉิงยังได้แกะสลักศิลาจารึกให้กับหลี่ชิเย่อีกด้วย เพื่อบันทึกเรื่องราวบุญคุณอันใหญ่หลวงที่หลี่ชิเย่มีต่อเมืองหมิงลั่วเฉิง
ในขณะเดียวกัน หวูโหย่วเจิ้งได้สั่งให้ศิษย์ทั้งหมดของนิกายซูสือที่เดิมได้อพยพถอนตัวออกไปจากเมืองหมิงลั่วเฉิงกลับมายังเมืองหมิงลั่วเฉิงอีกครั้ง
กล่าวได้ว่า เวลานี้ไม่มีสถานที่ใดปลอดภัยมากไปกว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงอีกแล้ว เมืองหมิงลั่วเฉิงที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของหลี่ชิเย่ดูจะปลอดภัยกว่าสถานที่ใดๆ ของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเป็นร้อยเท่า ด้วยเหตุนี้เอง หวูโหย่วเจิ้งจึงได้จัดการโยกศิษย์ทั้งหมดของนิกายซูสือที่ถอนตัวไปให้กลับมา
กล่าวสำหรับศิษย์ของนิกายซูสือแล้ว การได้กลับมายังบ้านของตนเองนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
ขณะที่เมืองหมิงลั่วเฉิงกำลังเริ่มได้รับความสงบสุขนั้น มาวันนี้ ได้ยินเสียงแว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ธงราชันคันหนึ่งได้ก้าวข้ามท้องฟ้าเข้ามา เสมือนดั่งดาวตกที่วิ่งผ่านท้องฟ้าอย่างนั้น
สุดท้าย ได้ยินเสียงดังปังดังขึ้นเสียงหนึ่ง ธงราชันคันนี้ได้ปักตรึงอยู่บนเนินเขาสูงแห่งหนึ่งนอกเมืองหมิงลั่วเฉิง
“มีคนมาแล้ว” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่นอกเมืองหมิงลั่วเฉิงถูกทำให้แตกตื่น เมื่อมองเห็นธงราชันคันหนึ่งก้าวข้ามท้องฟ้าแล้วปักตรึงบนเนินเขาสูงแห่งหนึ่งโดยพลัน
ผู้คนจำนวนมากมองตามไป เห็นบนธงราชันปักตัวอักษรคำว่า ‘กระบี่’ โดยคำว่า ‘กระบี่’ ปรากฏอานุภาพราชันวูบวาบ เสมือนหนึ่งเป็นกระบี่ราชันที่ออกมาจากฝักอย่างนั้น เป็นที่หวั่นเกรงของผู้คนเมื่อมองเห็น
“ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนจะมาที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว” ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเป็นผู้ใดที่กำลังจะมา เมื่อมองเห็นธงราชันคันนี้
“ตระกูลมู่จะมาแล้ว” ผู้คนจำนวนไม่น้อยเกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อได้เห็นธงราชันคันนี้ เมืองหมิงลั่วเฉิงคึกคักมานาน ในที่สุดหนึ่งในสามยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลมู่ก็จะมาแล้ว
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง ธงราชันที่ปักตรึงอยู่บนเนินเขาสูงปรากฎกฎเกณฑ์ราชันแท้จริงที่ไหลวน กฎเกณฑ์ราชันแท้จริงจำนวนนับไม่ถ้วนเสมือนดั่งเป็นน้ำที่ไหลรินลงมาจากธงราชันอย่างนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปกคลุมเนินเขาสูงนั้นจนทั่ว
แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ครั้นกฎเกณฑ์ราชันแท้จริงได้หยั่งรากยึดพื้นที่บนเนินเขาสูงเอาไว้อย่างเหนียวแน่นแล้ว ปรากฏประตูบานหนึ่งถูกเปิดออกมา