Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2624 เงียบสงัดไร้เสียง
ตอนที่ 2624 เงียบสงัดไร้เสียง
“ระดับไร้เทียมทานอะไร มันก็แค่มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้นเอง” เสียงที่เอ้อระเหยสบายอกสบายใจของหลี่ชิเย่ดังออกมาจากตำหนักทองแดง กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “นี่เป็นการเตือนเท่านั้น หากไม่ยอมรับก็เข้ามาได้เลย!”
คำพูดลักษณะเช่นนี้พาล อวดดีอย่างที่สุด แต่ว่า นาทีนี้ส่วนบนสุดของต้นเหวินจุ๊จินสือกลับมีแต่ความเงียบสงัด ไม่มีพลังอำนาจที่ไม่ขาดสาย ไม่มีเสียงที่ยกตนข่มท่าน ในพริบตาเดียวนี่เอง ซาอวี่เฉิง ราชาสวรรค์เหวินจุ๊ก็นิ่งเงียบ และหุบปากเอาไว้
สิ่งนี้ได้ทำให้ภายในใจของทุกคนถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นหนึ่งฝ่ามือเกือบจะโจมตีต้นเหวินจุ๊จินสือจนแตกละเอียด ภายในใจของทุกคนรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง เหมือนว่ากำลังความสามารถของคนโหดอันดับหนึ่งคือหลุมที่ถมไม่เต็มอย่างนั้น ผู้คนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเขามีความแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่ตลอดกาล
ทุกคนถึงกับมองหน้าซึ่งกันและกัน เมื่อเห็นซาอวี่เฉิง ราชาสวรรค์เหวินจุ๊พลันเงียบเสียงไปในทันที
“จะอย่างไรเสีย ซาอวี่เฉิง ราชาสวรรค์เหวินจุ๊ไม่เคยพบเห็นการลงมือของคนโหดอันดับหนึ่งมาก่อน มิฉะนั้นแล้วคงไม่ทำผิดอย่างที่เห็น กำลังความสามารถของเขาก็ยากที่จะเทียบเคียงกับห้าแขกสวรรค์ การไปหาเรื่องกับคนโหดอันดับหนึ่งในเวลานี้มิเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตนเองต้องได้รับความอับอาย” มียอดฝีมือรุ่นอาวุโสได้ส่ายหน้าเบาๆ
สำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั่วหล้าจำนวนมากแล้ว ซาอวี่เฉิงนับว่ามีความยอดเยี่ยมมากแล้ว แม้ว่าอายุของเขาจะแก่กว่าราชันแท้จริงมู่เจี้ยนนิดหนึ่ง แต่ยังคงเป็นยอดอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาก และถือเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ของแดนลัทธิราชันเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ได้กลายเป็นยอดฝีมือระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ด้วยกำลังความสามารถเช่นนี้ เรียกได้ว่าอนาคตไร้ขอบเขตแล้ว
แต่ว่า กำลังความสามารถอย่างราชาสวรรค์เหวินจุ๊ยังคงเทียบไม่ได้กับเทพแท้จริงขั้นอมตะรุ่นอาวุโสได้ โดยเฉพาะห้าแขกสวรรค์ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่สยบมายุคแล้วยุคเล่าเป็นเวลานานแล้ว
ขณะที่ห้าแขกสวรรค์ล้วนแล้วแต่ตายอนาถด้วยน้ำมือของคนโหดอันดับหนึ่ง สำหรับซาอวี่เฉิง ราชาสวรรค์เหวินจุ๊นั้น ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนโหดอันดับหนึ่ง
เมื่อครู่ ราชาสวรรค์เหวินจุ๊ ซาอวี่เฉิงถึงกับหาญกล้าวางมาด และอวดพลานุภาพต่อคนโหดอันดับหนึ่ง มิเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตนเองต้องได้รับความอับอาย หนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ที่ทะยานขึ้นฟ้าก็ทำลายต้นเหวินจุ๊จินสือของพวกเขา และทำเอาราชาสวรรค์เหวินจุ๊ ซาอวี่เฉิงตกใจจนต้องหุบปากลงแต่โดยดี
“ครั้นแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเมฆที่ลอยเคลื่อนไป ธาตุแท้ใดๆ ชาติกำเนิดใดๆ สายเลือดใดๆ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นเมฆที่ลอยเคลื่อนไป” ระดับบรรพบุรุษถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ ปลงอนิจจังยิ่ง เมื่อเห็นคนอย่างราชาสวรรค์เหวินจุ๊ ซาอวี่เฉิงยังต้องหุบปากลงแต่โดยดี
ในแดนลัทธิราชัน ราชาสวรรค์เหวินจุ๊ ซาอวี่เฉิงก็นับเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องหลังของเขายังมีธาตุแท้ภายในที่มั่นคงแข็งแรงอย่างระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหวินจุ๊
แม้ว่าจะพานพบกับผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าตน ราชาสวรรค์เหวินจุ๊ บ่อยครั้งที่ซาอวี่เฉิงยังคงมีความมั่นใจอยู่เสมอๆ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนผู้นี้ แต่ด้านหลังของเขายังคงมีระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหวินจุ๊ ยังคงมีระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า กล่าวได้ว่า ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหวินจุ๊พวกเขาไม่เคยกลัวใครมาก่อน
ถ้าหากต้องการรับมือตรงๆ ล่ะก็ ต้องการสู้เต็มที่ล่ะก็ ในแดนลัทธิราชันนอกเหนือจากสามผู้ยิ่งใหญ่แล้วระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหวินจุ๊ของพวกเขาเคยกลัวใครเสียเมื่อไหร่?
แต่ว่า มาวันนี้หลี่ชิเย่อาศัยหนึ่งฝ่ามือที่ทะยานฟ้าขึ้นไปก็ทำลายต้นเหวินจุ๊จินสือไป สิ่งนี่ได้ทำให้ราชาสวรรค์เหวินจุ๊ ซาอวี่เฉิงที่เดิมทีต้องการวางมาด อวดพลานุภาพต้องหุบปากลงแต่โดยดี
นาทีนี้ ราชาสวรรค์เหวินจุ๊ ซาอวี่เฉิงก็รู้ว่าตนเองชนตอเข้าให้แล้ว และเขาก็เข้าใจได้ว่า อาศัยการจัดวางกำลังที่พวกเขาวางเอาไว้ตรงนี้ในขณะนี้ ยังไม่สามารถต่อต้านคนโหดอันดับหนึ่งเป็นการชั่วคราว
ดังนั้น ในเวลานี้การกระทำที่ฉลาดมากที่สุดก็คือหุบปากเสียแต่โดยดี มิฉะนั้นล่ะก็ การโจมตีครั้งต่อไปก็ไม่ใช่แค่ต้นเหวินจุ๊จินสือที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เกรงว่าศิษย์ของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหวินจุ๊ก็จะมีความเป็นไปได้ต้องตายอนาถด้วยน้ำมือของคนโหดอันดับหนึ่ง
“พาลมากเหลือเกิน” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างยิ้มเจื่อนๆ และปลงอนิจจัง เมื่อมองเห็นบุคคลอย่างราชาสวรรค์เหวินจุ๊ ซาอวี่เฉิงในเวลานี้ยังต้องหุบปากลงแต่โดยดี
“คนโหดอันดับหนึ่งได้สร้างความแค้นเอาไว้เต็มที่แล้ว” ระดับบรรพบุรุษอดพึมพำขึ้นมาไม่ได้ว่า “หรือว่าเขาเตรียมประกาศศึกต่อผู้คนใต้หล้าที่เมืองหมิงลั่วเฉิงแห่งนี้จริงๆ รึ?”
“หรือว่าเขาคิดจะอมศิลาเซียนเอาไว้คนเดียว” และมีระดับบรรพบุรุษนำนักเจ้าลัทธิที่ดวงตาทั้งสองส่งประกายแวบวับ แววตาที่ลึกลงไปก็เผยให้เห็นถึงความโลภที่มีต่อศิลาเซียน
ความจริงแล้ว บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มายังเมืองหมิงลั่วเฉิงทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาด้วยเรื่องของศิลาเซียนทั้งสิ้น เพียงแต่เวลานี้หลี่ชิเย่ ควบคุมเมืองหมิงลั่วเฉิงเอาไว้แต่ผู้เดียว ไม่ว่าใครก็จนด้วยเกล้า
ในเวลานี้ก็มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่คาดหวังในใจให้ตระกูลมู่ที่เป็นสามผู้ยิ่งใหญ่รีบลงมือ โจมตีเข้าไปในเมืองหมิงลั่วเฉิงเร็ววัน มีเพียงอยู่ภายใต้ความสับสนวุ่นวาย พวกเขาจึงมีโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ได้ มีเพียงจังหวะนั้น จึงสามารถอาศัยความวุ่นวายชิงเอาศิลาเซียนมาได้
หนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ที่ทะยานขึ้นฟ้าก็ทำลายต้นเหวินจุ๊จินสือไป และสยบศิษย์ของตระกูลมู่เอาไว้ทันที
เดิมทีกองทัพของตระกูลมู่ที่คิดจะบุกเข้าเมืองหมิงลั่วเฉิงนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบ ในเวลานี้ หยางถิงอวี่ก็ได้แต่หุบปากลงแต่โดยดี ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน อาจารย์ของเขายังไม่ได้มา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปไม่ได้
ในขณะนี้ ตระกูลมู่ ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหวินจุ๊ต่างตกอยู่ท่ามกลางนิ่งเงียบ ขณะที่น้ำเต้าม่วงทองที่จอดอยู่ที่ที่ราบลุ่มไม่มีความเคลื่อนไหว เหมือนว่าพวกเขาก็ไม่เร่งรีบในการบุกโจมตีเมืองหมิงลั่วเฉิงอย่างนั้น
ในวันเดียวกันนี้เอง ได้ยินเสียงกวางร้องดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง บนท้องฟ้าปรากฏร่างเงาของกวางตัวหนึ่ง โดยที่ร่างเงาของกวางนี้เพียงโฉบผ่านไปเท่านั้น แต่ทว่า บนท้องฟ้าคล้ายดั่งได้ทิ้งร่องรอยที่เป็นรอยเท้าของมันเอาไว้ เป็นดอกไม้สีขาวแต่ละดอกที่เบ่งบานขึ้นมา
“เป็นอะไรไปแล้วเนี่ย?” ผู้คนจำนวนมากรู้สึกตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อมองเห็นบนท้องฟ้าปรากฎดอกไม้สีขาวแต่ละดอกที่เบ่งบานขึ้นมากะทันหันอย่างไร้เหตุผล
ลู่เคอะเวิง…มีระดับบรรพบุรุษที่ได้เห็นภาพนี้แล้ว ถึงกับมีสีหน้าที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมาทันที
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้เอง บนท้องฟ้าพลันปรากฏไม้เท้าอันหนึ่งลอยเข้ามา โดยที่ไม้เท้านี้ได้ตกลงไปในป่าที่อยู่ด้านนอกเมืองหมิงลั่วเฉิง
ช่าาา ช่าาา ช่าาาเสียงที่ดังขึ้นเป็นระลอก ขณะที่ไม้เท้าอันหนึ่งได้ตกลงท่ามกลางป่าไม้แห่งนี้ มองเห็นต้นไม้และเถาวัลย์ต่างๆ ที่อยู่ภายในป่าไม้แห่งนี้ได้เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วชนิดไม่น่าเชื่อ ภายในระยะเวลาอันสั้น ป่าไม้แห่งนี้พลันมีการเจริญเติบโตของต้นไม้จนกลายเป็นป่าไม้ที่มีต้นไม้สูงตระหง่านที่มีความเก่าแก่โบราณอย่างนั้น
ที่มหัศจรรย์มากยิ่งกว่าก็คือ ท่ามกลางป่าไม้แห่งนี้ ต้นไม้ที่สูงตระหง่านแต่ละต้นได้มีการถักทอเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นบ้าน และตำหนักแต่ละหลัง ภายในระยะเวลาอันสั้น ป่าไม้แห่งนี้เหมือนกลายเป็นเมืองที่เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาเมืองหนึ่งอย่างนั้น บ้านไม้ และตำหนักโผล่ออกมาจากต้นไม้ใหญ่อย่างเป็นระเบียบ เสมือนหนึ่งเป็นงานศิลปะแต่ละชิ้นอย่างนั้น
แมะ แมะ แมะเสียงกวางร้องดังขึ้นมาเป็นระลอก ในเวลานี้ ท่ามกลางป่าไม้เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาที่คึกคัก เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ มองเห็นกวางเซียนแต่ละฝูงที่ปรากฎอยู่ท่ามกลางป่าไม้แห่งนี้
เห็นเพียงฝูงกวางเซียนแต่ละฝูงที่บ้างกำลังเดินอยู่ริมแม่น้ำ ก้มดื่มน้ำ บ้างกำลังกระโดดโลดเต้นและวิ่งเล่นกันท่ามกลางป่าไม้ และมีบ้างที่กำลังพักผ่อนอยู่ท่ามกลางเถาวัลย์…
ในเวลานี้ ป่าไม้แห่งนี้เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นดินแดนแห่งความผาสุก เหมือนหนึ่งจะกลางเป็นแดนเซียนอย่างนั้น ปรากฏกลิ่นอายเซียนที่ตลบอบอวล ขณะที่กวางแต่ละตัวเหมือนต้องการกลายเป็นพูติของป่าไม้แห่งนี้
“ลู่เคอะเวิงมาแล้ว” ระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิท่าทางหนักแน่นจริงจังเอ่ยขึ้นช้าๆ เมื่อมองเห็นป่าไม้แห่งนี้เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นดินแดนแห่งความผาสุก
“ลู่เคอะเวิง? อยู่ไหนล่ะ?” ผู้เยาว์จำนวนมากทยอยกันมองหาไปรอบๆ มองไปรอบๆ บนท้องฟ้าเมื่อได้ยินคำพูดของบรรพบุรุษ แต่ว่า ไม่เห็นเงาของลู่เคอะเวิง
“เขาได้มาถึงแล้ว” บรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิมองเห็นป่าไม้แห่งนั้นที่กลายเป็นดินแดนผาสุกนั่น เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เขาได้อยู่ที่ตรงนั้นแล้ว ที่ที่ลู่เคอะเวิงอยู่จะกลายเป็นดินแดนผาสุก กวางดั่งภูติ ดังนั้น เขาจึงได้รับการขนานนามว่าลู่เคอะเวิง”
ผู้เยาว์จำนวนไม่น้อยมองดูป่าไม้แห่งนี้ที่ได้กลับกลายเสมือนดั่งเป็นดินแดนผาสุก มองดูกวางเซียนที่วิ่งเล่นกันอย่างมีความสุขท่ามกลางป่าไม้แห่งนี้ ในเวลานี้จึงมีศิษย์อดที่จะซุบซิบขึ้นมาด้วยความกังขาว่า “เขาคือลู่เคอะเวิงจริงๆ หรือ? มันออกจะเหนือความจินตนาการไปบ้าง คนที่มีรสนิยมเช่นนี้ กระทำการดั่งเป็นเซียนคนหนึ่ง ถึงกับนะเอาชีวิตตนหลายล้านชีวิตมาบูชายันต์ คนประเภทดูมีความเมตตาอ่อนโยนเช่นนี้ ยากจะจินตนาการได้ว่าจะทำเรื่องที่ดั่งมารร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้”
ย่อมไม่ต้องสงสัย ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้นี้ดูจะไม่พอใจอย่างยิ่งกับการกระทำของเคอะเหมิงที่นำเอาชีวิตหลายล้านชีวิตมาบูชายันต์เพื่อสร้างเป็นอาวุธต้องห้าม
“หุบปาก…” ผู้อาวุโสตกใจสุดขีด เมื่อได้ยินคำพูดศิษย์ของตน จึงร้องตวาดศิษย์ของตนและมองด้วยแววตาที่โกรธเคือง
ศิษย์ผู้นี้ถูกทำให้ตกใจจนต้องทำคอย่น ไม่กล้าพูดอะไรอีก
การมาถึงของลู่เคอะเวิงพลันดึงดูดสายตาได้เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ตัวเขาไม่เพียงแค่เป็นผู้นำของเคอะเหมิงเท่านั้น เล่าลือกันว่าเขายังเป็นผู้ที่มีอายุยืนยาวที่สุดในแดนลัทธิราชัน อย่างน้อยที่สุดระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ทุกคนรับรู้มาเป็นเช่นนี้
ลู่เคอะเวิงมีทักษะยุทธที่สูงส่งมาก มีผู้กล่าวว่าเขาสามารถเทียบเคียงกับกู่อี้เฟยได้ และมีผู้ที่กล่าวว่าเวลานี้เขาชราภาพแล้ว ลมปราณเสื่อมถอย เมื่อเปรียบกับกู่อี้เฟยยังคงด้อยไปนิดหนึ่ง
แต่ทว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ถ้าหากจะกล่าวว่ามีการจัดอันดับยอดฝีมือสามอันดับแรกของแดนลัทธิราชันล่ะก็ เกรงว่าลู่เคอะเวิงต้องสามารถเข้าไปอยู่ในรายชื่อหนึ่งในสามคนแรกอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ลู่เคอะเวิงก่อตั้งเคอะเหมิงขึ้นมากับมือ มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง ขอเพียงเขาสั่งการออกไป ไม่รู้ว่ามีเทพแท้จริงขั้นอมตะจำนวนเท่าไร ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนกี่มากน้อยในแดนลัทธิราชันที่ยินดีทำงานให้กับเขา
ดังนั้น แม้ลู่เคอะเวิงจะมาเพียงลำพังคนเดียว แต่ก็แทนพลังที่ยิ่งใหญ่สุดเปรียบเปรย
ผู้คนจำนวนไม่น้อยพลันไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม ต่างดูจะระมัดระวังตัวขึ้นเมื่อเห็นการมาถึงของลู่เคอะเวิง