Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2646 กวาดเรียบ
สังหาร หรือเขากวางทะลุอก…ทุกอย่างไม่เคยดำรงอยู่มาก่อน ทุกอย่างล้วนไม่เคยปรากฎมาก่อน เหมือนว่าที่ทุกคนได้มองเห็นเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงภาพเพ้อฝันที่จินตนาการไปเองเท่านั้น ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย
ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีงุนงง เนื่องจากทุกคนต่างรู้สึกว่าตนเองอยู่ในเหตุการณ์ของภาพของเขากวางทะลุอก และดูมีความสมจริงอย่างยิ่ง เป็นความจริงที่จริงแท้แน่นอน แต่ว่า เวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่ได้เกิดขึ้น และไม่ได้มีหลี่ชิเย่คนที่สอง
เวลานี้มีเพียงหลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่เงียบๆ บนท้องฟ้าคนเดียวเท่านั้น สำหรับพวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนทั้งสี่คน ถูกซัดจนแหลกไม่มีชิ้นดีเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
“ควบคุมเวลา ย้อนคืนกาลเวลา” สีหน้าของราชันแท้จริงต้วนยวี่เปลี่ยนไปมากทีเดียวเมื่อได้สติกลับมา และรู้สึกใจหายใจคว่ำ
ในพริบตาเดียวนั่นเอง นางตระหนักถึงอะไรบางอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้ไม่แน่เสมอไปว่าคือภาพเพ้อฝัน กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่านั่นคือความน่าจะเป็นอย่างหนึ่งของความน่าจะเป็นต่างๆ นานาเท่านั้นเอง
ภาพเช่นนี้ที่ปรากฏขึ้นมาเป็นเพราะหลี่ชิเย่ไปควบคุมเวลาเอาไว้ เขาได้ขยายช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวช่วงนั้นออกไปอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นตัวเขาที่ลากเวลาช่วงพริบตาเดียวช่วงนั้นให้ยืดยาวออกไปอย่างไม่มีกำหนด
กล่าวสำหรับผู้ใดผู้หนึ่ง เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไม่คู่ควรจะกล่าวถึง แต่ว่า หลังจากที่เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวนั้นถูกหลี่ชิเย่ขยายออกไปอย่างไม่มีกำหนด ถูกหลี่ชิเย่ดึงให้มันยืดยาวออกไปอย่างไร้ขีดจำกัดแล้วนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น ช่วงระยะเวลาเพียงพริบตาเดียวช่วงนั้น หลี่ชิเย่สามารถไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีขอบเขตจำกัด ไปจัดการอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ในพริบตาเดียวช่วงนั้น หลี่ชิเย่สามารถกระทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ดังนั้น ในช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวนั้นสามารถปรากฏความน่าจะเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เป็นไปได้ว่าเขากวางแทงทะลุหน้าอกของหลี่ชิเย่ และเป็นไปได้ว่าหลี่ชิเย่ทำร้ายโหดพวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนในชั่วพริบตาเดียว กระทั่งต้องการให้ปรากฎเป็นความน่าจะเป็นลักษณะใดทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของหลี่ชิเย่ เขาต้องการให้ผลออกมาเป็นเช่นใด ก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วพริบตาเดียวทั้งสิ้น
“คำพูดนี้พูดถูกแค่ครึ่งเดียว” เสียงแก่หง่อมด้านหลังราชันแท้จริงต้วนยวี่ดังขึ้น เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ถูกต้อง นี่แหละคือการย้อนกลับของกาลเวลา เขาสามารถกลับไปยังเวลาที่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวนั่นในพริบตาเดียว และชั่วพริบตาเดียวของอนาคต…”
“…ท่ามกลางเวลาชั่วพริบตาเดียว เขาสามารถยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น และสามารถยืนอยู่ที่จุดสิ้นสุด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา แต่ว่า เหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ หาใช่เป็นเพราะเขาได้ควบคุมเวลาเอาไว้ เขาไม่ได้ฝึกเรื่องของเวลา แต่เป็นเพราะความไวของเขารวดเร็วเหลือเกิน เร็วจนกระทั่งแซงล้ำหน้าทุกสิ่ง เกรงว่าโลกนี้คงไม่มีสิ่งใดรวดเร็วมากไปกว่าเขาอีกแล้ว…”
“…ดังนั้น ส่งผลให้ความเร็วของเขาแซงล้ำหน้าเวลา ดังนั้นในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง เขาสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ไม่สามารถต่อต้านกับเขาได้ ในชั่วพริบตาเดียวนั้น ทุกอย่างล้วนอยู่ในการบงการของเขา ไม่ว่าเจ้าจะดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งเพียงใด ในพริบตาเดียวนั้นเอง เมื่ออยู่ในมือของเขาก็เป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้นเอง”
ครั้นเสียงนี้เอ่ยมาถึงตรงนี้ เสียงนี้ดูจริงจัง และดูหนักแน่นยิ่งเป็นพิเศษ
เมื่อราชันแท้จริงต้วนยวี่ได้ฟังคำกล่าวเช่นนี้แล้วถึงกับเสียวสันหลังวาบ พริบตาเดียวนั่นเอง แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาที่สั้นมากๆ แต่ กลับสามารถทำให้ใครก็ได้ต้องตาย สามารถควบคุมชะตาชีวิตของใครก็ได้ สามารถควบคุมความเป็นความตายของใครก็ได้ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าสยองขวัญเหลือเกิน ในพริบตาเดียวนั้น หลี่ชิเย่ก็คล้างดั่งเป็นผู้บงการที่สูงสุด กระทั่งกล่าวได้ว่าในพริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่ก็คือผู้สร้าง เขาสามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้
ในเวลานี้ ราชันแท้จริงต้วนยวี่จึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงถึงช่วงห่างระหว่างตนเองกับหลี่ชิเย่ ต้องการช่วงพริบตาเดียวเท่านี้แหละก็พอแล้ว ท่ามกลางชั่วพริบตาเดียวนี้หลี่ชิเย่ก็สามารถเล่นงานนางถึงตายได้ ท่ามกลางชั่วพริบตาเดียวนี้ นางที่เป็นราชันแท้จริงหกลัคนาก็แค่ฝุ่นผงเม็ดเล็กๆ เม็ดหนึ่งเท่านั้น
แน่นอน ไม่มีใครสามารถมองออกได้เป็นจริงขนาดนี้ และไม่มีใครสามารถมองเห็นความลึกซึ้งด้านหลังที่แท้จริงเหมือนเช่นเขา แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ทุกคนต่างผวาดผวาเมื่อเห็นพวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนถูกซัดจนบาดเจ็บสาหัส ทุกคนต่างเสียวสันหลังวาบ และอดที่จะหวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่ได้
“นี่ นี่ช่างน่าสยองเหลือเกิน” แม้แต่บรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิ เทพแท้จริงขั้นอมตะ พวกเขาล้วนแล้วแต่ถึงกับเข่าอ่อน สำหรับผู้คนจำนวนมากที่มีทักษะอ่อน เรียกได้ว่าถูกทำให้ตกใจจนตัวสั่นไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ลู่เคอะเวิง ผู้เฝ้าดูต้นไม่ สีพุทธาพวกเขาทั้งสี่เป็นตัวแทนของสิ่งใด? การร่วมมือกันของพวกเขาทั้งสี่คน นั่นเท่ากับเป็นตัวแทนของพลังที่สูงสุด แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชันแล้ว แต่ทว่า ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง พวกเขาทั้งสี่คนล้วนแล้วแต่ถูกหลี่ชิเย่ซัดจนบาดเจ็บสาหัสในทันที ช่างเป็นกำลังที่น่าสยองขวัญเพียงใด เป็นทักษะที่น่าสยองขวัญอย่างไร
“น่าเบื่อมาก” ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ทำท่าหาวทีหนึ่ง กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “ไหนบอกว่ามีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลคนหนึ่งอยู่มิใช่รึ? เมื่อไหรจะลงมือได้เสียที ข้าต้องการจะอุ่นเครื่องสักหน่อย”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้ทุกคนถึงกับหายใจไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ในเวลานี้เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วก็หายใจแทบไม่ทัน
ทุกคนย่อมรู้ว่าระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลคนที่ออกจากปากของหลี่ชิเย่นั้นหมายถึงใคร ย่อมต้องเป็นนักพรตไป๋ยื่อแล้ว
ก่อนหน้านี้ หลี่ชิเย่ก็เคยดูถูกนักพรตไป๋ยื่อมาก่อน แต่ว่า ก่อนหน้านั้น ขณะที่หลี่ชิเย่พูดคำพูดดูถูกเช่นนี้ออกมานั้น ภายในใจของผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าหลี่ชิเย่อวดดีมากเกินไปไม่มากก็น้อย แม้ว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม แต่ทว่า ยังไม่ถึงขั้นที่จะสามารถดูถูกนักพรตไป๋ยื่อได้
แต่ว่า มาบัดนี้ เมื่อหลี่ชิเย่ได้พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาด้วยท่าทีเอ้อระเหยอีกครั้ง มันส่งผลให้ผู้คนพลันรู้สึกหายใจไม่ออกทันที ทุกคนต่างรู้สึกหอบหายใจไม่ทัน
เนื่องจากในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ทุกคนต่างรู้สึกว่าการดูถูกนักพรตไป๋ยื่อของหลี่ชิเย่ได้กลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลไปแล้ว ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด
เนื่องเพราะการดูถูกนักพรตไป๋ยื่อของหลี่ชิเย่กลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลไปแล้วนี่เอง จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องหายใจหอบอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง
นักพรตไป๋ยื่ออยู่ในระดับเช่นใด? ขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล ภายในใจของผู้คนมองว่า นั่นคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้เทียบเทียมแล้ว สามารถยกย่องให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแดนลัทธิราชันได้แล้ว
แต่ทว่า หลี่ชิเย่ในเวลานี้ยังคงมีดีพอที่จะไปดูถูกเขาได้อย่างเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นนั้นแล้ว หลี่ชิเย่ช่างมีความสยองขวัญชนาดไหน ช่างน่ากลัวเช่นใด
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นส่วนยอดลุกหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้าของคนทุกคน เขาเสมือนหนึ่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่งที่สยบอยู่ภายในใจของทุกคน ขอเพียงหลี่ชิเย่ยังอยู่ เขาก็จะกดดันจนทุกคนหายใจไม่ทัน ทุกคนไม่สามารถล้ำหน้าเขาไปได้ตลอดชาตินี้ทั้งชาติ ชาตินี้ผุ้คนทั้งหมดในแดนลัทธิราชันได้แต่แหงนหน้ามองดูเขา!
มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่คิดว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกร มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่คิดว่าตนเองนั้นแข็งแกร่ง แต่ว่า มาวันนี้หลี่ชิเย่ยืนอยู่ ณ ที่ตรงนี้เอง เมื่อเปรียบกับเขาแล้วมีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกว่าตนเองนั้นช่างเล็กจิ๋วอะไรอย่างนั้น ผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกว่าตนเองช่างไร้ค่าไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ภายใต้ช่วงห่างที่น่ากลัวเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวัง ต่อให้อาศัยความพยายามมากกว่านี้ในชาตินี้ ก็ไม่สามารถไล่ตามหลี่ชิเย่ได้
ความพยายาม ความขยันหมั่นเพียรของเจ้า ล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ ทั้งหมดนี้ดูจะอ่อนแอไร้พลังอะไรอย่างนั้น
ในเวลานี้ ทุกคนล้วนจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าไร้พลังทั้งตัวโดยพลัน คล้ายดั่งเป็นลูกบอลที่ถูกปล่อยลมออกอย่างนั้น
ช่าาา ช่าาา ช่าาาในเวลานี้เอง เสียงเศษหินที่แตกกระจายดังขึ้นเป็นระลอก นาทีนี้เห็นเพียงเงาคนแต่ละสายที่เหินฟ้าขึ้นไป พลันเข้ามาอยู่ในสายตาของทุกคน
ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ลู่เคอะเวิง ผู้เฝ้าดูต้นไม้ สี่พุทธาพวกเขาได้ปรากฏตัวต่อสายตาชาวโลกอีกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะถูกหลี่ชิเย่ทำร้ายอย่างหนักหนาสาหัสในพริบตา แต่ยังไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องตาย หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บภายในระยะเวลาอันสั้นแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ได้ฟื้นคืนพลังกลับมาได้แล้ว จึงบุกเข้ามาอีกครั้ง และประจันหน้าอยู่บนท้องฟ้ากับหลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่ง
แม้จะกล่าวว่าในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ภายในใจของบรรดาราชันแท้จริงมู่เจี้ยนมีผูที่เคยบังเกิดความคิดจะหลบหนีไป แต่ว่า ภายในใจของพวกเขาก็มีความชัดเจน ภายใต้หลี่ชิเย่ที่แข็งแกร่งสถึงเพียงนี้ มันเป็นเรื่องที่ยากมากหากพวกเขาคิดจะหนีไป
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่อยู่ในระดับสูงสุด มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียงของตนเอง หรือเพื่อศักดิ์ศรีของสำนักตน ล้วนแล้วแต่ไม่อนุญาตให้พวกเขาหนีไป แม้ว่าพวกเขาจะต้องสู้จนตัวตายในที่สุดพวกเขาก็หนีไม่ได้ มิฉะนั้นล่ะก็ ไม่เพียงแต่พวกเขาที่ต้องตายอนาถเท่านั้น มีความเป็นไปได้สูงมากที่ถึงขั้นทำให้สำนักของตน ลูกหลานที่เป็นชนรุ่นหลังของตนต้องตกอยู่ในฐานะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้อีกตลอดไป
นาทีนี้ กล่าวสำหรับพวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนแล้ว ไม่ว่าจะเอาชนะหลี่ชิเย่ได้หรือไม่ ทางเลือกหนึ่งเดียวของพวกเขาก็คือสู้ตายให้ถึงที่สุด ไม่ตายไม่เลิก สิ่งนี้ทั้งเป็นทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา และไม่มีทางเลือกสำหรับพวกเขา!
ในเวลานี้ ขณะที่พวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่นั้น พวกเขาต่างมีสีหน้าที่ขาวซีด นาทีนี้ความหวาดกลัวได้บังเกิดขึ้นภายในใจของพวกเขา
แม้จะกล่าวว่า โลกนี้ยังคงมีผู้ที่แข็งแกร่งมากยิ่งกว่าพวกเขาอีก แต่ กล่าวสำหรับพวกราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ลู่เคอะเวิงที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คนใดคนหนึ่งคิดจะทำให้พวกเขาเกิดความหวาดหวั่นขึ้นในใจ สั่นคลอนต่อจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ว่า นาทีนี้พวกราชันแท้จริงมู่เจี้ยนทั้งสี่คนต่างบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นภายในใจพร้อมกัน จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขาถูกสั่นคลอนไปแล้ว พวกเขาเองก็รู้ดีว่า การบังเกิดความหวาดกลัวเช่นนี้เป็นเรื่องไม่ดี เมื่อไรที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขาสั่นคลอนก็จะบังเกิดใจมารขึ้น นับว่าเป็นข้อห้ามร้ายแรงโดยแท้จริงสำหรับผู้บำเพ็ญตนที่มีความแข็งแกร่งเช่นพวกเขา
ในเวลานี้เอง พวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนทั้งสี่คนอดที่จะมองตากันและกันไม่ได้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สะกดความหวาดกลัวภายในใจเอาไว้ ในวันนี้พวกเขาได้แต่สู้ให้ถึงที่สุด มีเพียงสู้ตายจนถึงสุดท้าย พวกเขาจึงจะเอาชนะความหวาดกลัวภายในใจได้
มิฉะนั้นล่ะก็ แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตไปจากที่นี่ได้ ความหวาดกลัวภายในใจ ใจมารที่อยู่ในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ก็จะต้องอยู่เคียงข้างพวกเขาไปตลอดชีวิต
“ดูท่าพวกเจ้ายังคงมีพลังแฝงอยู่บ้างที่ยังไม่ได้สำแดงออกมา” หลี่ชิเย่มองดูพวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนทีหนึ่ง กล่าวท่าทีตามอารมณ์ไปว่า “นั่นสิ นี่ข้าก็ได้ให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เอาล่ะ ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่พวกเจ้ามีก็แล้วกัน โจมตีเป็นครั้งสุดท้าย สามารถกู้ศักดิ์ศรีของพวกเจ้าคืนมาอีกสักนิดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าเองแล้ว หลังการโจมตีครั้งสุดท้าย เมื่อสังหารพวกเจ้าแล้ว ข้าก็จะได้เลิกงานกลับบ้านเสียที”
…………………………………………….