Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2669 บุกทะลวงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 2669 บุกทะลวงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
การควงเทือกเขาที่เสมือนดั่งกระบอกเหล็ก แล้วทุบเข้าไปไม่ยั้ง เพียงชั่วพริบตาเดียวก็จัดการทุบจนภูเขาศักดิ์สิทธิ์หกสิบสี่ลูก หกสิบสี่ร่างเงาปรมาจารย์จนหายวับไปกับตาในพริบตา สุดยอดวิธีการ สถานการณ์ที่ฝืนลิขิตสวรรค์ ถูกเทือกเขาที่เสมือนดั่งกระบอกเหล็กทุบจนแหลกละเอียดไปในชั่วพริบตา
ตลอดขั้นตอนเป็นที่อ้าปากตาค้างจนพูดอะไรไม่ออกของผู้คน ในขั้นตอนระหว่างนี้หลี่ชิเย่ไม่ได้สำแดงสุดยอดเคล็ดวิชาอะไร และไม่ได้เสกเอาอาวุธที่ปราศจากผู้ต่อกรอะไรออกมาเลย
พลันที่ลงมือก็จัดการดึงเอาเทือกเขาขึ้นมาเทือกหนึ่ง แค่รูดทีเดียวก็ทำการหลอมกลั่นเทือกเขาทั้งเทือก จากนั้นควงมันขึ้นมาแล้วทุบเข้าไปเสมือนหนึ่งพายุฝนฟ้าคะนอง ทำให้ทุกสิ่งพังทลายไปสิ้น
ตลอดขั้นตอนหากจะกล่าวไปตามภาพ หลี่ชิเย่เสมือนดั่งบุรุษที่ไม่มีการศึกษาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกิดอยากจะกินไข่นกขึ้นมากะทันหัน หลังจากคว้าเอาท่อนไม้ข้างทางทุบเข้าไปอย่างแรงเป็นระลอกแล้ว ปรากฏนกตายไข่แตกเละ โดยขั้นตอนเป็นไปด้วยความหยาบคาย และป่าเถื่อนอะไรอย่างนั้น
ภาพเช่นนี้ทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้างพูดอะไรไม่ออก นี่ไม่เพียงเป็นความดุดันหยาบคาย และเป็นเพราะความป่าเถื่อนของคนโหดอันดับหนึ่ง
“นี่เหมือนเป็นคนป่าเถื่อนนะเนี่ย” มีผู้ที่ตกใจสุดขีดพึมพำขึ้นมา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์หกสิบสี่ลูก และอภินิหารของหกสิบสี่ปรมาจารย์ได้ในพริบตาเดียว
ในเวลานี้ นอกจากคนโหดอันดับหนึ่งจะเป็นภาพแห่งความทรงจำของความไร้เทียมทานแก่ผู้คนแล้ว ขณะเดียวกันก็ให้ภาพแห่งความทรงจำถึงความหยาบคายและป่าเถื่อนกับผู้คนอีกด้วย
เวลานี้ บนตัวของคนโหดอันดับหนึ่งไม่ได้มีบุคลิกลักษณะของความเป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ ไม่ได้มีน้ำใจที่กว้างขวางมีเพียงหนึ่งไม่มีสองแบบปฐมบรรพบุรุษ ในเวลานี้ทุกคนมองว่าคนโหดอันดับหนึ่งก็เสมือนหนึ่งเป็นคนป่าเถื่อนที่ขนาดใหญ่โตมโหฬาร คนป่าเถื่อนเช่นเขาอาศัยเท้าข้างเดียวเหยียบเข้ามา แม้แต่โลกทั้งโลกก็จะต้องพังพินาศย่อยยับแบบนั้น
คนป่าเถื่อนเช่นเขานี้ เพื่อให้ได้ทานไข่นกสักใบแล้ว ใช่เพียงแค่รื้อรังนกทิ้งเท่านั้น ใช่เพียงแค่ถอนรากถอนโคนต้นไม้ที่รังนกตั้งอยู่ กระทั่งแม้แต่ภูเขาอันเป็นที่ตั้งของรังนกรังนั้นก็ถูกเขารื้อทิ้งจนละเอียดในทันที
นี่แหละคือคนโหดอันดับหนึ่ง ไร้เทียมทาน บ้าคลั่ง โหดร้ายทารุณ ในเวลานี้ภาพแห่งความทรงจำของที่หลี่ชิเย่ให้ไว้กับทุกคนคือเช่นนี้
“มิน่าเล่าเขาจึงมีชื่อว่าคนโหดอันดับหนึ่ง นับว่ามีความโหดร้ายทารุณมากพอจริงๆ” ผู้ที่เพิ่งได้เห็นหลี่ชิเย่ลงมือเป็นครั้งแรก ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว
แต่ว่า ภายในใจของระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะจำนวนมากกว่าที่รู้สึกสะเทือนหวั่นไหวอย่างยิ่ง แม้การทุบตีอย่างรุนแรงเป็นระลอกของคนโหดอันดับหนึ่งจะแลดูป่าเถื่อนและหยาบคายอย่างยิ่ง แต่ว่า พลังที่บ่มฝักอยู่ในนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ช่างน่าสยองขวัญและไร้เทียมทานเช่นใด
เนื่องจากภายใต้พลังที่ป่าเถื่อนและหยาบคายเช่นนี้ เขาไม่จำเป็นต้องอาศัยเคล็ดวิชาใดๆ หรือกระบวนท่าที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมอีกแล้ว การเปลี่ยนแปลงของสัจธรรมทุกอย่าง การวิวัฒนาการของทุกสิ่ง ภายใต้พลังที่เด็ดขาดแบบนี้แตกละเอียดและพังทลายไปหมดสิ้น
ผู้มีพลังมาก สามารถเอาชนะผู้มีวิทยายุทธสิบคนได้ แม้คำพูดนี้จำไม่ผิด แต่ คิดจะเอาชนะผู้มีวิทยายุทธสิบคน มันจำเป็นต้องอาศัยพลังที่เด็ดขาด ซึ่งจะต้องเป็นหลายสิบเท่า หลายร้อยเท่า กระทั่งหลายหมื่นเท่าขึ้นไป จึงสามารถเอาชนะผู้มีวิทยายุทธสิบคนได้
ภายใต้สัจธรรมที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ภายใต้อภินิหารที่สูงสุด คิดจะอาศัยพลังที่บริสุทธิ์ที่สุดไปทำให้มันแตกละเอียด และทำลายมันอย่างเด็ดขาด พลังลักษณะเช่นนี้ต้องน่าสยองขวัญจนไม่สามารถจินตนาการได้อยู่แล้ว
“ระดับปฐมบรรพบุรุษ เกินกว่าระดับปฐมบรรพบุรุษ ชั้นแดนลัทธิพรรษอย่างแน่นอน” มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ตระหนักถึงปัญหาที่มีความรุนแรง อดที่จะพึมพำออกมาไม่ได้
ทุกคนต่างรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของคนโหดอันดับหนึ่ง และล้วนแล้วแต่ตระหนักถึงความไร้เทียมทานของคนโหดอันดับหนึ่ง แต่ว่า ในเวลานี้มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ตระหนักอย่างแท้จริงว่า คนโหดอันดับหนึ่งใช่เพียงไร้เทียมทานแค่นั้น ความไร้เทียมทานของเขานั้นได้อยู่เหนือกว่าความไร้เทียมทานโดยทั่วไปแล้ว เกรงว่าระดับปฐมบรรพบุรุษทั่วไปไม่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้อีกแล้ว
ปัง…เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เมื่อหลี่ชิเย่จัดการโยนเทือกเขาขนาดใหญ่โตมโหฬารที่ดั่งกระบองเหล็กลงพื้นตามอารมณ์นั้น ทำเอาพื้นแผ่นดินถูกทุบจนกลายเป็นร่องลึก ภูเขาและแม่น้ำจำนวนนับไม่ถ้วนแตกละเอียด
หลังจากทุบภูเขาศักดิ์สิทธิ์หกสิบสี่ลูกจนแหลกละเอียดไปแล้ว ในเวลานี้หลี่ชิเย่จึงได้ทำท่าบิดขี้เกียจทีหนึ่ง และกล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ที่เรียกว่าอภินิหาร มันก็อย่างนั้นๆ ตระกูลมู่ก็เท่านี้เอง”
เป็นคำพูดที่พูดกันง่ายๆ และพูดได้เอ้อระเหยยิ่ง แต่กลับทำให้ผู้คนต้องหายใจไม่ออกโดยพลัน ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเหมือนคอของตนถูกคนเขาบีบเอาไว้แน่นจนหายใจไม่ออก
ตระกูลมู่คือหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิราชันในยุคปัจจุบัน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของแดนลัทธิราชัน เย้ยหยันใต้หล้า สยบทั่วหล้า แต่ว่ามาวันนี้เมื่อออกจากปากของคนโหดอันดับหนึ่งกลับกลายเป็น “มันก็แค่นี้เอง”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้ศิษย์ตระกูลมู่จำนวนเท่าไรมีสีหน้าแดงก่ำ แต่ยังคงได้แต่หวานอมขมกลืนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
เป็นเวลาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนเท่าไรที่มายังตระกูลมู่ของพวกเขาล้วนแล้วแต่ตัวสั่นงันงก ต่อให้ไม่ได้ให้ความเคารพสูงสุดก็ต้องมีท่าทีเคารพนอบน้อมยิ่งนัก จะอย่างไรเสีย ตระกูลมู่ของพวกเขาคือหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิราชัน สามารถกวาดล้างสำนักเจ้าลัทธิแห่งใดแห่งหนึ่งในแดนลัทธิราชันจนราบคาบได้ ใครเล่ากล้าไม่ให้ความเคารพต่อตระกูลมู่
ทว่า มาวันนี้ คนโหดอันดับหนึ่งนอกจากจะเหยียบย้ำตระกูลมู่ของพวกเขา ทำลายบ้านเมืองของพวกเขาจนแหลกลาญ ยังเชิดใส่ต่อตระกูลมู่ของพวกเขา สิ่งนี้กล่าวสำหรับตระกูลมู่ของพวกเขาแล้ว ใช่เพียงแค่ทำให้พวกเขาต้องอับอายขายหน้าเท่านั้น
แต่ว่า แม้คนโหดอันดับหนึ่งจะทำให้ตระกูลมู่ของพวกเขาต้องอับอายขายหน้าอย่างชัดแจ้ง แต่ว่า ศิษย์ของตระกูลมู่ทำได้แค่มีใบหน้าที่แดงก่ำเท่านั้น หวานอมขมกลืน ต้องกล้ำกลืนความอัปยศเอาไว้
สมควรทราบว่า นาทีนี้ในสายตาของคนโหดอันดับหนึ่ง พวกเขาที่เป็นศิษย์ตระกูลมู่ซึ่งปรกติดูจะเหนือชั้นกว่าผู้อื่น ก็แค่มดปลวกเท่านั้นเอง
“เอาล่ะ ตระกูลมู่ออกมารับมือเถอะ วันนี้ข้าจะทำลายล้างตระกูลมู่พวกเจ้าแน่นอน” เวลานี้ หลี่ชิเย่บิดขี้เกียจทีหนึ่งและเดินเข้าหาตระกูลมู่
ท่าทางของเขาดูตามอารมณ์ และสบายอกสบายใจยิ่งนัก แต่ท่วงท่าของเขาเรียกว่าปราศจากผู้ต่อกรในหล้าแล้ว อันธพาลหนึ่งไม่มีสองในหล้า ทอดสายตาออกไปใต้หล้าคงมีเพียงคนโหดอันดับหนึ่งเท่านั้นที่ทำได้
อยู่ต่อหน้าตระกูลมู่แล้ว ไม่เพียงเมินใส่ตระกูลมู่ ทั้งยังเป็นการเหยียบย่ำตระกูลมู่อยู่ ด้วยท่าทีที่พาลและปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ คงมีเพียงคนโหดอันดับหนึ่งเท่านั้นแล้ว
ในเวลานี้ ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ และจ้องมองไปที่ตระกูลมู่
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นแล้วไปยั่วยุต่อตระกูลมู่เช่นนี้ เกรงว่าผู้คนจำนวนมากต้องเป็นกังวลกับคนผู้นั้น หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นแล้วกล้ากล่าววาจาสามหาวว่าต้องการทำลายล้างตระกูลมู่ ต้องเป็นที่ขบขันของผู้คน และเข้าใจว่าเป็นผู้ที่อวดดี และไร้เดียงสา
แต่ว่า ขณะคนโหดอันดับหนึ่งก้าวเดินไปยังตระกูลมู่นั้น เวลานี้ทุกคนเป็นกังวลไม่ใช่คนโหดอันดับหนึ่ง แต่เป็นตระกูลมู่!
ตระกูลมู่คือหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่นะเนี่ย กลับกลายเป็นว่าทุกคนต่างเป็นกังวลต่อการคงอยู่หรือล่มสลายของตระกูลมู่ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม เมื่อคนโหดอันดับหนึ่งประกาศว่าจะทำลายล้างตระกูลมู่นั้น ทุกคนต่างคิดว่าคนโหดอันดับหนึ่งสามารถทำได้ตามที่พูดอย่างแน่นอน
“ตระกูลมู่จะเอาอะไรมารับมือกับศัตรู” ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ในเวลานี้บรรดาระดับบรรพบุรุษบางส่วนที่คุ้นเคยในตระกูลมู่แม้จะครุ่นคิดจนหัวแทบระเบิดก็คิดไม่ออกว่า ตระกูลมู่ยังจะมีท่าไม้ตายอะไรที่สามารถนำมาสังหารคนโหดอันดับหนึ่งได้
ถ้าหากกล่าวว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่นไปท้าสู้กับตระกูลมู่ล่ะก็ ทุกคนแค่นึกไปตามอารมณ์ก็สามารถนึกออกได้ว่า ตระกูลมู่มีวิธีการหมื่นพันที่จะสังหารคนผู้นั้นเสีย
แต่ว่า วิธีการหมื่นพันที่สามารถสังหารผู้อื่นได้นั้น เมื่อนำมาใช้กับคนโหดอันดับหนึ่งแล้วมันไร้ประโยชน์อยู่แล้ว
“มาวันนี้ ตระกูลมู่หากไม่มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล คงยากจะหนีเคราะห์กรรมไปได้” ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะสามารถตัดสินลงความเห็นเช่นนี้
คำพูดลักษณะเช่นนี้ได้ทำให้ผู้คนทั่วหล้าต่างมองตากันและกัน มาวันนี้ ตระกูลมู่ไหนเลยยังมีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลอะไรนั่น เกรงว่าระดับปฐมบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งมากที่สุดของตระกูลมู่ก็ไม่เห็นจะแข็งแกร่งมากไปกว่าฮ่องเต้ไท่ชิง
ต่อให้มีความแข็งแกร่งดุจดั่งฮ่องเต้ไท่ชิงก็ไร้ประโยชน์ ไม่เห็นรึว่าเมื่อครู่นี้ฮ่องเต้ไท่ชิงนายและบ่าวสองคนร่วมมือกัน ยังคงถูกหลี่ชิเย่หนึ่งฝ่ามือตบจนแหลกไปมิใช่รึ? ถูกหลี่ชิเย่ตามฆ่าจนเหมือนหนึ่งเป็นสุนัขไม่มีเจ้าของ
“จำเป็นต้องมีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล” เวลานี้ผู้คนจำนวนมากต่างทอดถอนใจออกมาเบาๆ ทุกคนต่างรู้สึกได้ถึงช่วงห่างระหว่างระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลอย่างรุนแรง
ปรกติแล้ว สำหรับระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะคนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะระดับสูงนั่นคือแข็งแกร่งมากแล้ว แต่ว่า มาวันนี้อย่าว่าแต่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะระดับสูงเลย ต่อให้เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะชั้นสิบล้านชาติ กระทั่งเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะชั้นศักราชก็ยังไม่ไหว จะต้องเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลเท่านั้น!
นี่แหละคือช่วงห่างระหว่างระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะกับระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาล ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลมีเส้นแบ่งเขตที่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะใดๆ ก็ตามไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ เส้นแบ่งเขตดังกล่าวนี้ไม่สามารถทดแทนด้วยจำนวนคนได้ หาไม่แล้ว เพราะอะไรจึงมีการกล่าวว่าระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลสามารถกลายเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสามารถโจมตีผู้ที่อยู่ในฐานะปฐมบรรพบุรุษได้เล่า?
ผู้คนใต้หล้าต่างมองตากันและกันเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ยุคปัจจุบันนี้ มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือนักพรตไป๋ยื่อ แต่ นักพรตไป๋ยื่อไม่เห็นจะต้องช่วยเหลือตระกูลมู่
ดังนั้น นาทีนี้ทุกคนต่างตระหนักได้ว่า เกรงว่าวันนี้ตระกูลมู่จะต้องล่มสลายจริงๆ เสียแล้ว
“หรือว่า นับจากนี้เป็นต้นไปแดนลัทธิราชันจะมีเพียงสองผู้ยิ่งใหญ่อย่างนั้นรึ?” มีผู้พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อเห็นหลี่ชิเย่เข้าใกล้ตระกูลมู่ทุกขณะ
“ไม่ นับจากนี้ไปมีเพียงระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจิ่วมี่ที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว มีเพียงคนโหดอันดับหนึ่งที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียว” ระดับปฐมบรรพบุรุษส่ายหน้าและเอ่ยขึ้น
เมื่อคนโหดอันดับหนึ่งเข้าใกล้ตระกูลมู่ทุกทีๆ บรรยากาศยิ่งมีความกดดันมากยิ่งขึ้น ฟ้าดินแทบถูกทำลาย
“หลี่ชิเย่…” ในเวลานี้ เสียงที่ทุ้มและหนักแน่นเสียงหนึ่งดังขึ้น เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าทำเกินไปแล้ว!”
นาทีนี้ เห็นเพียงราชันแท้จริงมู่เจี้ยนปรากฎอยู่ด้านหน้ากำแพงเมืองตระกูลมู่ เขายังคงมีอานุภาพราชันที่เชี่ยวกราก พลังอำนาจเป็นที่หวาดหวั่นของผู้คน
‘ราชันแท้จริงมู่เจี้ยน’ ทุกคนได้แต่กระซิบเบาๆ เท่านั้นเมื่อเห็นราชันแท้จริงมู่เจี้ยนยืนอยู่ตรงนั้น มันไม่มีอะไรต้องแปลกใจอีกแล้ว
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นศัตรูคนอื่นๆ และมีราชันแท้จริงมู่เจี้ยนเป็นผู้ออกมารับศึกล่ะก็ ผู้คนในหล้าอาจจะร้องเสียงหลงขึ้นมา จะอย่างไรเสียราชันแท้จริงมู่เจี้ยนก็คืออัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่คนหนึ่ง
แต่ว่า มาวันนี้การที่ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนออกมารับกับศัตรู นับว่าไม่คู่ควรอย่างยิ่งเสียแล้ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าตระกูลมู่ไม่มีใครอีกแล้ว หรือจะพูดคำพูดที่ไม่น่าฟังก็คือ มาถึงวันนี้ ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนไม่ได้มีคุณสมบัติที่จะต่อสู้ชี้ขาดกับคนโหดอันดับหนึ่งอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ พวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยนร่วมมือกันสี่คน ยังคงต้องตายสามหนีไปได้หนึ่ง มาวันนี้แม้ว่าราชันแท้จริงมู่เจี้ยนจะสู้ตายก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของตระกูลมู่ไปได้
“ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนก็เท่ากับเอาไข่กระทบหิน” มีผู้ที่ส่ายหัว หากเป็นอดีตคงไม่มีใครกล้าพูดเช่นนี้ มาวันนี้การพูดออกมาเช่นนี้กลับเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องจริงที่โหดร้ายทารุณยิ่ง
ราชันแท้จริงมู่เจี้ยนยืนอยู่บนกำแพงเมือง หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าเขาทีหนึ่ง ส่ายหน้าและกล่าวว่า “คนขี้แพ้เท่านั้น ให้ผู้ที่ได้ชื่อว่าระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลออกมาเถอะ ให้ข้าได้อุ่นเครื่องกันแล้วค่อยทำลายล้างตระกูลมู่พวกเจ้า”
คำพูดที่ง่ายๆ แต่กลับมองว่าราชันแท้จริงมู่เจี้ยนไม่มีตัวตน พลันทำให้ฟ้าดินเงียบสงัด นาทีนี้ไม่มีใครรู้สึกว่าราชันแท้จริงมู่เจี้ยนไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากคนโหดอันดับหนึ่งมีคุณสมบัติพอที่จะดูแคลนต่อราชันแท้จริงมู่เจี้ยน
…………………………………………….