Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2699 ออกเดินทาง
ตอนที่ 2699 ออกเดินทาง
กำลังจะออกเดินทาง ขณะที่หลี่ชิเย่ไปจากมีคนรู้น้อยมาก มีเพียงพวกหลิ่วชูฉิงไม่กี่คนที่มาส่ง
ขณะจะจากไป หลิ่วชูฉิงจ้องมองอยู่ที่หลี่ชิเย่ตลอดเวลา นัยน์ตาทั้งสองไม่ต้องการเลื่อนไปที่อื่นเลย นางเพียงหวังว่าในช่วงเวลาสุดท้ายสามารถจ้องมองดูหลี่ชิเย่ให้มาก สามารถมองดูเขาอีกหลายครั้ง
แม้ว่าการแสดงออกของหลิ่วชูฉิงจเรียบเฉยมาก แต่ทว่า บรรยากาศกลับตลบอบอวลไปด้วยไม่อยากจากไป และความเศร้าของการพลัดพราก
หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนภายในใจเบาๆ การพลัดพรากเป็นเรื่องที่ทำให้หนักอึ้งภายในใจตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากจากกันที่ไม่มีโอกาสพบกันอีก หรือจากลาไกลสุดหล้าฟ้าเขียวไม่มีวันพบกันอีก ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งทีทำให้รู้สึกเสียใจทั้งสิ้น
“กลับไปเถอะ ส่งกันพันลี้ยังคงต้องจากกัน” สุดท้าย หลี่ชิเย่ลูบไล้เส้นผมของหลิ่วชูฉิงและเอ่ยขึ้นเบาๆ
ภายในใจของหลิ่วชูฉิงถึงกับสั่นเทาทีหนึ่ง ในที่สุดก็ต้องจากกันแล้ว ในขณะนี้หัวใจของนางเหมือนถูกจับฉีกไปทีหนึ่ง ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทำให้รู้สึกว่าการจากลาครั้งนี้ก็คือห่างกันสุดหล้าฟ้าเขียว เกรงว่าไม่สามารถพบกันได้อีกแล้ว
สุดท้าย หลิ่วชูฉิงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เอื้อมมือไปสวมกอดหลี่ชิเย่เอาไว้ สวมกอดอย่างนั้นอยู่นานมาก ท้ายที่สุด นางได้คลายมือทั้งสองและก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ในเวลานี้ เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้ากลับกลายเป็นเข้มแข็งอะไรอย่างนั้น นัยน์ตาของนางจ้องมองดูหลี่ชิเย่ ดวงตาทั้งสองเปี่ยมด้วยความละมุนละไมดั่งสายน้ำ แต่ก็มีความเข้มแข็งอะไรอย่างนั้น
“ขอให้ท่านประสบความสำเร็จทันทีที่ลงมือทำ ไร้เทียมทาน” หลิงชูฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง มองดูหลี่ชิเย่ด้วยความเข้มแข็ง และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าอยู่ตรงนี้ รอคอยการกลับมาของท่าน รอท่านตลอดไป”
หลี่ชิเย่ถึงกับสวมกอดหลิ่วชูฉิงเอาไว้ และจุมพิตบนเส้นผมของนางอย่างลึกซึ้ง สุดท้ายกล่าวว่า “เด็กโง่ กลับไปเถอะ ข้ารู้ ข้าจะมีชีวิตกลับมาอยู่แล้ว ไม่ว่าฟ้าดินจะกว้างไกลขนาดไหนก็ตาม”
“ข้าจะมองดูเจ้าจากไป” สุดท้าย หลิ่วชูฉิงเอ่ยขึ้นเบาๆ นางมีความนุ่มนวลยิ่งนัก
เมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆ แล้ว นางไม่ได้มีความปราดเปรื่องน่าทึ่ง และนางก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง แต่ว่า นางเสมือนดั่งแม่ศรีเรือนอย่างนั้น มักจะทำให้ผู้คนต้องกังวลใจอยู่เสมอ
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้กอดหลิ่วชูฉิงอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ก็ได้ ลาก่อน นังหนู” สุดท้ายหันหลังจากไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
ราชันแท้จริงจิ่วหนิงเดินทางไปด้วยกัน หายไปท่ามกลางท้องฟ้านั่น
หลิ่วชูฉิงมองดูหลี่ชิเย่ที่จากไปไกล มองส่งด้วยสายตาจนเขาไปไกล กระทั่งหายไปบนเส้นขอบฟ้า แม้ว่าไม่สามารถมองเห็นร่างเงาของหลี่ชิเย่อีกแล้ว นางยังคงเหม่อมองไปยังทิศทางที่หลี่ชิเย่หายตัวไป ยืนอยู่ที่ตรงนั้นตลอด มองไปยังระยะที่ห่างไกล เสมือนหนึ่งแข็งกลายเป็นรูปแกะสลักหินอย่างนั้น
นางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง ไม่รู้ว่าน้ำตาได้ไหลมาอาบแก้มของนางจนเปียกตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่า นางกลับไม่ได้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา นางที่ไม่ส่งเสียงร้องไห้ออกมา นางเองก็ไม่ต้องการให้คนรักของตนได้ยินเสียงร้องไห้ของตน
“ฝ่าบาท เชิญเสด็จกลับได้แล้ว” ในเวลานี้ เทพไฉไลหงส์พิษได้กล่าวขึ้นมาเบาๆ
หลิ่วชูฉิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ หลังจากผ่านไปนานมาก นางจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เทพไฉไล ยังสามารถพบกับเขาอีกไหม?”
เทพไฉไลหงส์พิษนิ่งเงียบทีหนึ่ง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แน่นอน คุณชายเป็นผู้ที่รักษาคำพูด วันหน้าจะต้องได้รบัชัยชนะกลับมาแน่นอน”
“ข้ารู้” ในเวลานี้ หลิ่วชูฉิงมีความเข้มแข็งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าแค่เป็นห่วงเขา ห่วงว่าเขาจะสู้รบจนตายในแดนไกล…” เมื่อนางเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ร่างกายของนางถึงกับสั่นเทาทีหนึ่ง และไม่กล้าพูดต่อ นางไม่กล้าไปจินตนาการ เนื่องจากนางเกรงว่าเรนื่อเช่นนี้จะเกิดขึ้นจริง
แม้ว่าหลิ่วชูฉิงจะไม่รู้ว่าคนรักของตนต้องการไปทำอะไร แม้ว่านางไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการไล่ตามคือสิ่งใด แต่ว่า ในใจของนางสามารถตระหนักได้ว่า อนาคตเขาจะต้องเผชิญกับศัตรูที่กล้าแข็งจนไม่สามารถจินตนาการได้
ดังนั้น นี่แหละคือสิ่งที่นางรู้สึกกังวลใจมากที่สุด นางเชื่อว่าเขาพูดได้ทำได้จริง เพียงแต่เป็นกังวลว่าสักวันในอนาคตเขาจะต้องสู้รบจนตัวตาในแดนไกล…
เมื่อหลิ่วชูฉิงนึกถึงตรงนี้แล้วไม่กล้าไปจินตนาการต่อ และนางก็ไม่กล้าไปคาดการณ์ถึงเรื่องในอนาคต
“ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย” เวลานี้ปิ้งจวินได้กล่าวปลอบว่ “ความแข็งแกร่งของคุณชาย ปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้า สิบสามลัคนานั้นมีเพียงหนึ่งเดียวเป็นนิรันดร์ ทั่วโลกไม่มีใครสามารถต่อกรกับคุณชายได้อีกแล้ว เชื่อว่าอนาคตคุณชายจะต้องได้ชัยกลับมาแน่นอน”
หลี่ชิเย่รั้งพวกเขาทั้งห้าเอาไว้ พวกเขาทั้งห้าก็ติดตามหลิ่วชูฉิงด้วยความซื่อสัตย์และจงรักภักดี
หลิ่วชูฉิงพยักหน้าเงียบๆ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว น้ำตาบนใบหน้าได้แห้งไปแล้ว นางมองดูร่างเงาหลี่ชิเย่ที่ไปไกล อดที่จะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ลาก่อน ข้าจะรอคอยการกลับมาของท่าน แม้จะต้องเป็นตลอดกาล”
สุดท้าย นางจึงหันหลังจากไป
หลี่ชิเย่และราชันแท้จริงจิ่วหนิงเดินทางไกลไปตลอดทาง พวกเขาหนึ่งก้าวหนึ่งฟ้าดิน ความเร็วนั้นสุดจะจินตนาการ ภายในระยะเวลาอันสั้นก็ก้าวข้ามแดนลัทธิราชัน เข้าสู่ดินแดนที่รกร้างแตกหัก หลังจากที่ก้าวเข้าไปยังผืนแผ่นดินแห่งนี้ก็ไม่เห็นผู้คนอีกแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน ที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณนี้ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ทั้งสองคนก้าวไปด้วยกันโดยไม่ได้พูดคุยกัน บรรยากาศดูจะอึดอัดอละหนักแน่นอยู่บ้าง
ราชันแท้จริงจิ่วหนิงสามารถเข้าใจได้และซาบซึ้งถึงการจากลาในลักษณะเช่นนี้ เนื่องจากนางเองก็เคยจากลามาก่อนเหมือนกัน บ่อยครั้งที่การพลัดพรากจากกันโดยไม่มีโอกาสได้พบกันอีกกลับไม่ใช่การจากลาที่ทำให้ผู้คนต้องสลดเศร้าเสียใจที่สุดเสมอๆ บ่อยครั้งการต้องห่างกันสุดหล้าฟ้าเขียวไม่มีโอกาสได้กลับมาพบกันอีก นั่นแหละจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องเศร้าเสียใจอยู่เสมอ
“ข้าเองก็ไม่ชอบกลับไปยังแดนลัทธิราชัน” ในเวลานี้ ราชันแท้จริงจิ่วหนิงทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ และกล่าวว่า “เดิมทีเรื่องบางเรื่องมักจะเข้าใจว่าได้ลืมเลือนไปแล้ว ความจริงแล้วไม่เคยลืมเลย เพียงแต่จับมันฝังเอาไว้เท่านั้นเอง”
“เรื่องบางเรื่องแม้ว่าผ่านไปพันล้านปี ผ่านไปยุคแล้วยุคเล่า สุดแล้วแต่เวลาจะขัดเกลาก็ไม่สามารถทำลายมันทิ้งไปได้ เพียงแต่ฝังลึกลงไปมากกว่าเดิมเท่านั้น ฝังลึกจนตัวเองมองไม่เห็นเท่านั้นเอง” เมื่อราชันแท้จริงจิ่วหนิงเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ
ในฐานะที่เป็นราชันแท้จริงแห่งยุคปราดเปรื่องน่าทึ่งที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง นางเองก็ผ่านอุปสรรคมานับไม่ถ้วน เคยมีเรื่องราวต่างๆ มากมายบนเส้นทางสายนี้เช่นกัน มีเพียงผ่านการขัดเกลามานับไม่ถ้วน ผ่านการชำระล้างด้วยกาลเวลา จึงสามารถทำให้นางก้าวไปได้ไกลยิ่งขึ้น
“บนโลกมนุษย์ เรื่องทุกข์สุขของการพบปะและจากกันเป็นเรื่องที่พบเห็นกันบ่อยมาก” หลี่ชิเย่ พยักหน้าเบาๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะยืนอยู่บนจุดสูงสุดบางคนมองว่า เรื่องทุกข์สุขของการพบปะและจากกัน ความรักที่ลึกซึ้งระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวบนโลกมนุษย์นั้น เป็นเรื่องที่น่าขันอย่างยิ่ง หารู้ไม่ว่า ตัวของพวกเขาเองนั่นแหละคือดำรงอยู่ในฐานะที่น่าขันอย่างแท้จริง เมื่อไม่มีคนที่ตนเองรัก คนที่รักตนเอง โลกนั้นไม่มีอะไรคู่ควรให้เจ้าไปห่วงใย คู่ควรให้เจ้าไปเฝ้าปกป้อง หัวใจตายด้านไปล้าว เพียงแต่สัจธรรมยังไม่แห้งเหือดเท่านั้นเอง”
“การยืนอยู่บนจุดสูงสุด ขณะที่ปราศจากพลังความรักแล้วนั้น มักจะตกสู่ฝ่ายมารเสมอ” หลี่ชิเย่มองไปยังที่ที่ห่างไกล และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผู้คนบนโลกล้วนแล้วแต่ดั่งมดปลวก การทำลายโลกนับเป็นอะไรได้ หรือการเฝ้าปกป้องหมื่นชาติ มันมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเล่า? ความเป็นความตายของโลกหล้าล้วนไม่ได้อยู่ในใจ ดังนั้น เจ้าจะไม่ลังเลขณะที่เจ้ากลืนกินโลกทั้งโลก ทำลายโลกจนพังพินาศย่อยยับ ในเวลานั้น ภายในใจของเจ้ามีแต่ตนเองเท่านั้น”
“นักปราชญ์ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ความรู้สึก” ราชันแท้จริงจิ่วหนิงก็เห็นด้วยกับคำพูดคำนี้ พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “สิ่งที่ผู้เป็นปราชญ์ไม่หวั่นไหวเป็นเพียงอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวเท่านั้น”
“นักปราชญ์ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่หวั่นไหวในอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว เพียงแต่ผู้คนในโลกล้วนจากไป เหลือตนเองโดดเดี่ยวอยู่ผู้เดียว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ดังนั้น จึงได้แต่ก้าวเดินไปลำพังคนเดียวเท่านั้น”
ราชันแท้จริงจิ่วหนิงถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เป็นความจริงที่พวกเขาซึ่งอยู่ในฐานะก้าวมาถึงระดับนี้แล้วผ่านอะไรต่างๆ มามากมายเหลือเกิน จากการที่ตนเองก้าวไปไกลมากขึ้นๆ ญาติพี่น้องข้างกายแต่ละคน สหายแต่ละคน คนแต่ละคนที่ตนรัก คนแต่ละคนที่รักเรา…พวกเขาต่างทยอยกันแก่ตาย ต่างทยอยกันหายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา ท้ายที่สุดเหลือไว้แต่เพียงตนเองคนเดียวที่ก้าวเดินต่อไปโดยลำพัง
ดังนั้น บนโลกมนุษย์จึงได้มีคำๆ นี้ขึ้นมาว่า นักปราชญ์ไม่หวั่นไหวในอารมณ์ความรู้สึก
ความจริงแล้ว นักปราชญ์ไหนเลยจะเคยลืมเลือนอารมณ์ความรู้สึก เพียงแต่ผู้คนบนโลกล้วนแล้วแต่อยู่ห่างไกล มีเพียงตนเองที่ก้าวไปโดยลำพัง
แต่ว่า นักปราชญ์ก้าวไปโดยลำพัง นั่นเป็นเพราะต้องการเฝ้ารักษาการณ์ที่มากขึ้น เขาไม่แคร์เรื่องความเป็นความตายของบุคคล ไม่แคร์เรื่องการคงอยู่หรือแตกดับของสำนัก ที่เขาเฝ้ารักษาการณ์คือโลกใบนี้ คือผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ไพศาลของโลกทั้งโลก
“นักปราชญ์ก็ดี ความชั่วร้ายก็ช่าง มันก็แค่ความนึกคิดแวบเดียวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“ในที่สุดโลกนี้ก็มีการนึกถึงของพี่ท่าน” ราชันแท้จริงจิ่วหนิงเข้าใจ นางกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “พี่ท่านยังคงก้าวไปข้างหน้าโดยลำพัง นั่นเป็นการปล่อยวางตนเอง เฝ้ารักษาการณ์ฟ้าดิน”
“สิ่งที่เจ้าพูดถึงมันสูงส่งมากเกินไปแล้ว” หลี่ชิเย่หัวเราะและส่ายหน้า เดินทางมานานและยาวไกล ในที่สุดเขาก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาแล้ว
หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “ทุกเรื่องราวบนโลกล้วนถือโอกาสกระทำไปเท่านั้น จะเป็นพระเจ้าช่วยโลกก็ดี ผู้เฝ้ารักษาการณ์โลกนี้ก็ช่าง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่หาใช่เป็นเรื่องที่ข้านึกถึง”
“ขอคำชี้แนะสัจธรรมจากสงฆ์ สิ่งที่ได้มาเป็นเพียงพระธรรม แต่อภินิหารที่ได้มามันคือการถือกำเนิดขึ้นพุทธและเต๋าเท่านั้นเอง” ราชันแท้จริงจิ่วหนิงกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจตนาดั้งเดิมกลายเป็นพระ ความสามารถเกิดขึ้นเอง สิ่งนี้ก็คือระดับของพี่ท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราเอื้อมไปไม่ถึง พวกเราก็แค่ดิ้นรนอย่างยากลำบากไปเท่านั้นเอง ยังคงห่างไกลไม่สามารถก้าวความสูงระดับเช่นนี้ได้”
“การก้าวเดินไปข้างหน้าบนโลกนี้ ขอเพียงคงความนึกคิดหนึ่งในใจ อนาคตเจ้าก็สามารถทำได้ดีกว่านี้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉยว่า “ไม่มีใครที่เกิดมาก็อยู่เหนือหมื่นยุค เข้าใจจนถึงอดีตกาล มีเพียงผ่านการขัดเกลานับไม่ถ้วน จึงสามารถสำเร็จอย่างบริบูรณ์”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนี้” ราชันแท้จริงจิ่วหนิงพยักหน้าเบาๆ สายตาลึกล้ำ ท่าทางมั่นคง
“เจ้าตั้งใจอาศัยทางใดขึ้นไป?” ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้เอ่ยถามขึ้น
“ไปทางเส้นทางดึกดำบรรพ์” ราชันแท้จริงจิ่วหนิงกล่าวขึ้นช้าๆ “ข้ารู้ว่า ในพื้นที่รกร้างที่ถูกทิ้งร้างมีเส้นทางดึกดำบรรพ์สามารถไปได้ สามารถเชื่อมต่อไปถึงแดนลัทธิเซียน พวกเราจะขึ้นไปตามทางนั้น”
วิธีการที่จะไปยังแดนลัทธิเซียนใช่จะมีเพียงวิธีสองวิธีเท่านั้น วิธีการที่พบเห็นบ่อยๆ ก็คือการขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนดื้อๆ
แน่นอนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหลี่ชิเย่หรือราชันแท้จริงจิ่วหนิงต่างก็มีกำลังความสามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่สามารถขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนได้ดื้อๆ
เพียงแต่วิธีการเช่นนี้มีความยุ่งยากมากกว่า จำเป็นต้องอาศัยการเตรียมการอย่างเต็มที่ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่หักหาญบุกขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียน
ยิ่งไปกว่านั้น การหักหาญขึ้นไปยังแดนลัทธิเซียนดื้อๆ ก็จะมาพร้อมการความอันตรายอยู่ไม่น้อยทีเดียว แม้ว่าโอกาสที่จะปรากฏอันตรายมีอัตราส่วนค่อยข้างต่ำ แต่ว่า เมื่อไหร่ที่อันตรายปรากฏ เบาก็คือบาดเจ็บสาหัส หนักก็คือตัวตาย
อย่างไรก็ตาม การก้าวขึ้นไปทางเส้นทางดึกดำบรรพ์เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วจะปลอดภัยกว่า และง่ายกว่า
…………………………………………..