Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2712 ปิดกั้นสัมผัสทั้งหก
ตอนที่ 2712 ปิดกั้นสัมผัสทั้งหก
เมื่อหลี่ชิเย่ร่วงหล่นจากท้องฟ้า ตกลงไปในป่าลึก ได้ชนกระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมขนาดลึกขึ้นมา แต่ว่า วันเวลาผ่านไป หลุมลึกดังกล่าวค่อยๆ มีต้นไม้เถาวัลย์เจริญเติบโตขึ้นมา และกลับกลายเป็นป่าขึ้นมาอีกครั้งอย่างช้าๆ
สถานที่ที่หลี่ชิเย่ตกลงไปนั้นมีชื่อว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมาร เมื่อเอ่ยถึงระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารแล้ว มันจะมีประวัติความเป็นมาของมันอย่างหนึ่ง
ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารก่อตั้งขึ้นมาโดยผู้เฒ่าอมตะ เมื่อเอ่ยถึงผู้เฒ่าอมตะ กล่าวได้ว่าเป็นปฐมบรรพบุรุษที่มีความมหัศจรรย์ยิ่ง การที่เขากล้าเรียกตัวเองว่าอมตะย่อมมีเหตุผลในตัวอยู่แล้ว
เล่าลือกันว่า ผู้เฒ่าอมตะเป็นเพียงคนเดียวนับแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันที่รู้จักวัฏสงสาร และเป็นคนเพียงคนเดียวที่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างแท้จริง ดังนั้น ในยุคหลังจึงมีการเล่าลือกันว่า ผู้เฒ่าอมตะเคยผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมายุคแล้วยุคเล่า ฐานะของเขาในทุกๆ ยุคก็จะแตกต่างกัน
ดังนั้น ราชันแท้จริงปราศจากผู้ต่อกร และปฐมบรรพบุรุษนิรันดร์กาลจำนวนมากล้วนแล้วแต่ รู้สึกสนใจในตัวของผู้เฒ่าอมตะอย่างยิ่ง พวกเขาต่างต้องกันรู้ถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมเกี่ยวกับวัฏสงสาร แต่ว่า ผู้เฒ่าอมตะกลับมีความลึกลับยิ่งนัก ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาอันยาวนาน มักจะเป็นดั่งเทพมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง แม้ว่าผู้คนบนโลกรู้ว่าเขาได้มีการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว แต่ว่า น้อยคนนักที่สามารถมองเห็นตัวเป็นๆ ของเขาอย่างแท้จริง
มีช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมากอยู่ช่วงหนึ่ง ได้ทำให้ผู้คนเกิดความสนใจในตัวของผู้เฒ่าอมตะจำนวนนับไม่ถ้วน คนเหล่านี้รวมทั้งบรรพบุรุษตั้งแต่อดีตกาลถึงปัจจุบัน
เพียงแต่ตัวของผู้เฒ่าอมตะคล้ายปิดบังตัวเองอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกหนาทึบ น้อยคนบนโลกที่รู้ถึงประวัติความเป็นมาของเขา น้อยคนนักทีรู้ถึงเบื้องหลังของเขา กระทั่งนับแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบัน น้อยคนนักที่รับรู้ถึงตื้นลึกหนาบางของผู้เฒ่าอมตะ ไม่มีใครรู้ว่าผู้เฒ่าอมตะแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เฒ่าอมตะถูกยกย่องให้เป็นปฐมบรรพบุรุษที่มหัศจรรย์ที่สุดและลึกลับมากที่สุด
กระทั่งในภายหลัง ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานมาก ผู้เฒ่าอมตะไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย ในเวลานั้นมีผุ้ที่คาดเดาว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้เฒ่าอมตะแจจะประสบกับความล้มเหลวในการเวียนว่ายตายเกิดจนตัวตาย และหายวับไปกับตาในพริบตานับแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผู้คนรุ่นหลังค่อยๆ ลืมเลือนปฐมบรรพบุรุษที่มหัศจรรย์อย่างผู้เฒ่าอมตะผู้นี้ไป เพียงแต่ ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารกลับมีการสืบทอดต่อกันมาเรื่อยๆ ยุคแล้วยุคเล่า
ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารเคยเจริญรุ่งเรือง และตกต่ำมาก่อน ไม่ว่าจะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำ ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารก็ไม่เคยหายวับไปกับตาในชั่วพริบตา ยังคงสืบทอดต่อกระทั่งวันนี้
เพียงแต่ผู้คนบนโลกยังไม่รู้ว่าผู้เฒ่าอมตะยังมีอีกฐานะหนึ่ง เขาก็คืออมตะตระกูลเซียวแห่งถ้ำเซียนมารในเก้าแดน! ซึ่งก็คือ ‘ตาเฒ่า’ ที่ออกจากปากของหลี่ชิเย่นั่นเอง
ด้วยสาเหตุนี้เอง ขณะหลี่ชิเย่กำลังหมดสติจึงได้พูดประโยคนี้ขึ้นมา “ตาเฒ่า ทำไมเจ้ากับข้ายังคงมีวาสนาต่อกันอีกเล่า”
การที่หลี่ชิเย่ตกลงไปในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารใช่จะไร้สาเหตุ และคงไม่ตกลงไปในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารโดยไม่มีเหตุผล จังหวะที่ตัวเขาถูกประกายศักดิ์สิทธิ์ของตนระเบิดใส่นั้น เนื่องจากภายในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารมีพลังฉุดลากที่แข็งแกร่งมากสายหนึ่งฉุดเอาตัวเข้ามา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงได้ตกลงไปในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมาร
จะอย่างไรเสีย ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ชิเย่กับผู้เฒ่าอมตะนั้นนับว่าแนบแน่นเหลือเกิน พวกเขาทั้งสองมีบุญคุณความแค้นด้วยกันมายุคแล้วยุคเล่า พัวพันกันมาทุกยุคทุกสมัย กระทั่งกล่าวได้ว่า เบื้องหลังของหลี่ชิเย่ก็มาจากถ้ำเซียนมาร
ขณะที่อมตะตระกูลเซียวนั้นได้ก่อตั้งระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว เขาได้ฝากกลอุบาย และอภินิหารไม่รู้เท่าไรเอาไว้ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมาร
ดังนั้น ขณะเมื่อหลี่ชิเย่ร่วงหล่นลงมานั้น แน่นอน ย่อมจะถูกพลังที่แข็งแกร่งมากของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารฉุดลากเข้ามา
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การตกลงไปในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเซียนมารนับว่าเป็นการกลับไปบ้านโดยอาศัยรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง
ขณะที่หลี่ชิเย่คกลงไปในป่าลึกนั้น จิตเทพทั้งหมดของเขาล้วนแล้วแต่ไปรวมอยู่ในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร โดยใช้ความพยายามอย่างสุดแรงเพื่อสยบและหลอมกลั่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะน่ากลัวสุดๆ นั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายของหลี่ชิเย่ก็คล้ายสลบไสลอย่างนั้น เข้าสู่สภาพที่ปราศจากความรู้สึก ทำให้หลี่ชิเย่ดูเหมือนเป็นมนุษย์ผักคนหนึ่ง
แน่นอนที่สุด หากร่างกายของหลี่ชิเย่ต้องการฟื้นขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย ขอเพียงเขาดึงเอาจิตเทพออกมาจากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเพียงนิดเดียว ร่างกายของเขาก็สามารถฟื้นตื่นขึ้นมาทันที และจะไม่แตกต่างไปจากปรกติมากมายนัก
เพียงแต่ สิ่งที่หลี่ชิเย่ต้องไปทำมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ การหลอมกลั่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะน่ากลัวที่อยู่ภายในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร
ดังนั้น เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจในกายเนื้อของตน ปล่อยให้ร่างกายของตนนอนอยู่ตรงนั้นตามอำเภอใจ
ต่อให้หลี่ชิเย่นอนอยู่ท่ามกลางป่าลึก ปล่อยให้ตากแดดตากลมตามอำเภอใจ ปล่อยให้แมลงหรือมดกัดต่อยตามอำเภอใจก็จะไม่ส่งผลกระทบให้เขาต้องได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย จะอย่างไรเสีย กายเนื้อของเขาได้ก้าวมาถึงขั้นแข็งแกร่งและพาลจนไม่สามารถหาใดเปรียบอีกแล้ว ลำพังแค่มดและแมลงไหนเลยสามารถทำร้ายเขาได้เล่า?
วันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า เดิมบริเวณที่ถูกหลี่ชิเย่ชนกระแทกจนกลายเป็นหลุมใหญ่นั้น ได้กลายเป็นป่าที่ต้นไม้เจริญงอกงามจนดูเขียวชอุ่มไปแล้ว
ขณะบริเวณที่หลี่ชิเย่นอนอยู่นั้นยิ่งมีต้นไม้และหญ้าขึ้นงดงามเป็นพิเศษ กระทั่งข้างกายหลี่ชิเย่และบนตัวของเขาปรากฎสมุนไพรหญ้าทิพย์ที่เติบโตขึ้นมาไม่น้อย ทั้งยังมีทีท่าการเจริญเติบโตที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
สิ่งนี้ไม่ได้เหนือความคาดคิดแต่อย่างใด ขณะที่หลี่ชิเย่กระแทกพื้นที่ตรงนี้อย่างแรงนั้น เลือดของเขาได้ย้อมบริเวณนี้จนเป็นสีแดง หลี่ชิเย่ที่แข็งแกร่งถึงระดับนี้ แม้ว่าเลือดที่ไหลรินออกมาของเขาจะไม่ใช่เลือดแก่น เลือดราชันอะไร แม้จะเป็นเพียงเลือดธรรมดาๆ ก็ดูจะล้ำค่าอย่างยิ่ง ดินที่ถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงก็กลับกลายเป็นมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้ การปรากฎสมุนไพรหญ้าทิพย์จำนวนไม่น้อยที่เจริญเติบโตขึ้นมาที่ข้างกายของหลี่ชิเย่ และมีการเจริญเติบโตที่น่าพอใจยิ่ง
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า ในบริเวณป่าลึกห่างไกลจากผู้คนเช่นนี้มีผู้เข้าถึงน้อยมาก และไม่มีผู้ใดที่พบเห็นหลี่ชิเย่นอนอยู่ท่ามกลางป่าลึกที่ห่างไกลผู้คนแห่งนี้
สุดท้าย ได้มีศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากนิกายหู้ซานจง ได้พบอะไรบางอย่างจากการเข้ามาเก็บสมุนไพรบริเวณนี้
“ตรงนี้มีสมุนไพรทิพย์อยู่กอหนึ่ง” ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ขึ้นเขาเก็บสมุนไพร หลังจากลำบากมาครึ่งค่อนวัน และประสบผลน้อยมาก แต่ว่า สุดท้ายแล้วพวกเขาได้พบบริเวณที่หลี่ชิเย่นอนอยู่ในที่สุด พวกเขามองเห็นที่ตรงนี้ที่มีสมุนไพรหญ้าทิพย์ที่ขึ้นงอกงามอยู่เต็มไปหมด อีกทั้งบรรดาสมุนไพรหญ้าทิพย์ที่ขึ้นอยู่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่ล้ำค่ายิ่งนัก และมีการเจริญงอกงามที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เหมือนหนึ่งเป็นแปลงสมุนไพรขนาดหนึ่งไร่(จีน) ที่มีสมุนไพรหญ้าทิพย์ขึ้นงอกงามเต็มพื้นที่อย่างนั้น
กลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้รู้สึกดีใจอย่างยิ่ง รีบเร่งทำการเก็บเกี่ยวและขุดหาเป็นการใหญ่กับสมุนไพรหญ้าทิพย์ที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์
“คราวนี้นับว่ามาถูกที่แล้ว” เมื่อมีการขุดหาและเก็บเกี่ยวสมุนไพรหญ้าทิพย์จำนวนมากมายเช่นนี้ ทำให้ตระกล้าสมุนไพรของพวกเขาถูกยัดเยียดจนเต็ม เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาศิษย์จากนิกายหู้ซานจงยิ่งนัก
“โชคดีที่ศิษย์พี่ใหญ่ตาแหลม มิฉะนั้นล่ะก็ เที่ยวนี้พวกเราจะต้องกลับสำนักมือเปล่าเป็นส่วนใหญ่แล้ว” บรรดาศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ล้วนแล้วแต่ขุดและเก็บเกี่ยวสมุนไพรหญ้าทิพย์ที่อยู่ตรงนี้ด้วยดีใจเป็นอย่างยิ่ง
“คราวนี้รวยเละแล้วล่ะ ไม่สิ คราวนี้ได้สร้างผลงานแล้ว เมื่อนำไปมอบให้กับสำนัก บรรดาผู้อาวุโสต้องดีใจมากแน่เลย” ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกลิงโลดยิ่งนัก
ภายในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาได้จัดการขุดและเก็บเกี่ยวสมุนไพรหญ้าทิพย์ที่ขึ้นอยู่บริเวณนี้จนเกลี้ยง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ตรงนี้มีศพอยู่ศพหนึ่ง…” ขณะที่ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้จัดการขุดและเก็บเกี่ยวสมุนไพรหญ้าทิพย์ที่ขึ้นอยู่ข้างลำตัวหลี่ชิเย่ไปทั้งหมด ในที่สุดก็มีผู้พบเจอหลี่ชิเย่ที่นอนอยู่ตรงนี้แล้ว
“ศพ…” ทำเอาศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจเป็นการใหญ่ เมื่อได้ยินคำๆ นี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ทุกคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน พวกเขาไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาพบศพที่ตรงนี้ ผู้ที่ใจเสาะถึงกับก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
“ขุดขึ้นมาดู” หลี่เจี้ยนคุนในฐานะศิษย์พี่ใหญ่นับว่ายังสงบสติอารมณ์ได้ และสั่งการออกไป
เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักมองตากันและกัน สุดท้ายพวกเขาต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือขุดเอาตัวหลี่ชิเย่ออกมา จัดการทำความสะอาดกับดินและหญ้าที่อยู่ตัวของหลี่ชิเย่จนหมดสิ้น ทำให้ร่างกายของหลี่ชิเย่เผยโฉมขึ้นมา
“ยังไม่ได้เน่าเปื่อย” ศิษย์พี่ใหญ่มองดูหลี่ชิเย่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยดิน และปัดเอาดินที่อยู่บนใบหน้าของหลี่ชิเย่ออก ถึงกับกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
“ไม่ใช่คนของนิกายหู้ซานจงพวกเรา” บรรดาศิษย์จำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกโล่งอก หลังจากที่ทุกคนได้เห็นหน้าหลี่ชิเย่อย่างชัดเจนแล้ว
“ตามหลักแล้ว เมื่อยังไม่ทันเน่าเปื่อยควรจะเพิ่งตายได้ไม่นานจึงจะถูก แล้วทำไมจึงฝังอยู่ใต้ดิน หรือว่ามีใครจงใจฝังเขาอยู่ที่นี่?” ในเวลานี้ ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ถึงกับซุบซิบด้วยความสงสัย
เมื่อคำพูดเช่นนี้ถูกพูดออกมา ทำเอาศิษย์จำนวนไม่น้อยตกใจยิ่งนัก หากจะกล่าวว่ามีคนๆ หนึ่งได้จัดการสังหารคนผู้นี้จริง และแอบฝังดินไว้ในที่ที่เปลี่ยวและห่างไกลเช่นนี้ เกรงว่าอาจเป็นไปได้ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ บางทีเบื้องหลังอาจจะมีเรื่องราวที่ผู้อื่นไม่รู้ก็ได้
“มีใครจดจำเขาได้หรือไม่?” ศิษย์พี่ใหญ่ได้พินิจพิจารณาทีหนึ่ง และเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
จะอย่างไรเสีย ที่ตรงนี้คือพื้นที่อิทธิพลของนิกายหู้ซานจง ถ้าหากจะมีผู้บำเพ็ญตนมาเสียชีวิตอยู่ในเขตอิทธิพลของพวกเขา ไม่ก็คือศิษย์นิกายหู้ซานจงของพวกเขา หรือไม่ก็คือผู้บำเพ็ญตนที่มาจากถิ่นอื่น
บรรดาศิษย์ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง และทุกคนก็ส่ายหน้าไม่มีใครผู้ใดจดจำหลี่ชิเย่ได้สักคน
“ดูจากลักษณะของเขาแล้ว เกรงว่าจะเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ไม่เหมือนเป็นผู้บำเพ็ญตน ยิ่งไม่เหมือนยอดฝีมือ” มีศิษย์ที่พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
คำพูดนี้ได้รับความเห็นพ้องจากศิษย์จำนวนไม่น้อย ทยอยกันพยักหน้า ในสายตาของพวกเขามองว่า หลี่ชิเย่นั้นดูธรรมดาจนไม่รู้ว่าจะธรรมดาได้มากกว่านี้อีกแล้ว พลันที่มองเห็นคือไม่เหมือนเป็นยอดฝีมืออะไร ยิ่งไม่เหมือนเป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง
“บางทีอาจเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งที่นอนตายอยู่ตรงนี้ ดูตามร่างกายของเขาแล้วไม่มีบาดแผล ไม่แน่นักอาจเป็นพวกเก็บสมุนไพร แล้วโรคเก่ากำเริบขึ้นกะทันหันจึงป่วยตายอยู่ตรงนี้” มีศิษย์ถึงกับกล่าวคาดเดาขึ้นมา
“แย่แล้ว เขา เขา เขายังมีชีวิตอยู่…” ในเวลานี้เอง มีศิษย์ที่ต้องตกใจยิ่งนัก ใบหน้าขาวซีด ถึงกับก้าวถอยหลังก้าวหนึ่ง
ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้ลืมตาสองข้างขึ้นมา มองดูพวกเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็หลับตาลงตามเดิม จิตเทพผูกอยู่กับจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่ให้ความสนใจพวกเขาอีก
จิตเทพของหลี่ชิเย่ยังคงรั้งอยู่ในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเพื่อทำการหลอมกลั่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะน่ากลัวยิ่ง เพียงแต่เมื่อครู่เขาถูกรบกวนให้ตกใจตื่นเท่านั้น หลังจากลืมตาขึ้นมองดูแวบหนึ่ง เมื่อมองเห็นผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้แล้ว หลี่ชิเย่จึงขี้คร้านจะไปสนใจพวกเขาอีก
การที่ ‘ซากศพ’ อย่างหลี่ชิเย่พลันลืมตาขึ้นมากะทันหัน ทำใหศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้ตกใจเป็นยิ่งนัก มีจำนวนไม่น้อยที่ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง และมีสีหน้าที่ขาวซีด
จะอย่างไรเสีย ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่เช่นพวกเขากลุ่มนี้ มีอยู่จำนวนมากที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในนิกายได้ไม่นาน ไม่ได้ผ่านประสบการณ์ใดๆ มาก่อน
“เขา เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ” สีหน้าของศิษย์จำนวนไม่น้อยดูจะเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ พลันลืมตาขึ้นมา แล้วก็หลับตาลง และไม่เหมือนศพที่ฟื้นคืนชีพและลุกพรวดพราดขึ้น จึงหายใจด้วยความโล่งอก และทำการพินิจพิเคราะห์หลี่ชิเย่โดยละเอียดอีกครั้ง
ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นั้นได้นั่งยองๆ ลงทำการพิจารณาหลี่ชิเย่อีกครั้ง สุดท้ายกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “เป็นความจริงที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เกรงว่าเขาจะตกลงมาที่ตรงนี้ ทำให้ร่างกายเสียหายจนกลางเป็นมนุษย์ผัก ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ สามารถมีชีวิตรอดมาได้ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว”
…………………………………………………