Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2719 ไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 2719 ไปภูเขาศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าปีนขึ้นไป” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้ลืมตาขึ้นจ้องมองกัวเจียหุ้ยทีหนึ่ง และสั่งการออกไป
“ปีนขึ้นไป?” เมื่อกัวเจียหุ้ยได้สติกลับมา ชี้ที่ตัวเอง และมองไปที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ พูดตะกุกตะกักว่า “ข้า ข้า ข้าปีนขึ้นไปบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์?”
“ถูกต้อง แบกข้าขึ้นไปด้วย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย พูดจบได้หลับตาลงช้าๆ
มาคราวนี้ทำเอากัวเจียหุ้ยถึงกับเหม่อลอย มองดูตนเองแล้วก็มองดูหลี่ชิเย่ นางอดสงสัยไม่ได้ว่าหลี่ชิเย่กำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า แต่ว่า ดูจากท่าทางของหลี่ชิเย่แล้ว ไม่เหมือนเป็นการล้อเล่นแม้แต่น้อย
มาคราวนี้ทำเอากัวเจียหุ้ยรู้สึกงงงันอยู่บ้าง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์นะเนี่ย ไม่มีใครคนหนึ่งคนใดในนิกายหู้ซานจงสามารถปีนขึ้นไปแล้วในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา ไม่ต้องพูดถึงนางอีกเลย ต่อให้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในนิกายหู้ซานจงก็ไม่มีวิธีที่จะปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปได้ นางที่เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถปีนขึ้นไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องแบกหลี่ชิเย่ปีนเขาขึ้นไปด้วย นี่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อย่าว่าแต่นางเลย เกรงว่าในนิกายหู้ซานจงคงไม่มีใครสักคนที่สามารถทำได้
“ข้า ข้า ข้าปีนขึ้นไปไม่ได้” กัวเจียหุ้ยได้สติคืนกลับมาแล้ว ถึงกับพูดขึ้นงุนงงว่า “เกรงว่า เกรงว่าข้ายังปีนไปไม่ถึงครึ่งเขาก็ถูกสยบจนกลายเป็นหมอกเลือดไปแล้ว”
“ดังนั้น เจ้าแบกข้าไปด้วย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยยังคงหลับตาพักผ่อนกายา
กัวเจียหุ้ยยืนงุนงงอยู่ตรงนั้นในเวลานี้ ใช่ว่านางจะไม่มีความมั่นใจใจตนเอง และหาใช่เพราะนางดูถูกตัวเองมากเกินไป มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ด้วยกำลังความสามารถอันน้อยนิดของนางเช่นนี้ ไหนเลยมีความเป็นไปได้ที่จะปีนขึ้นไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้กันเล่า
“แต่ แต่ แต่ว่า ข้า ข้ามีทักษะอันน้อยนิดแค่นี้ ไม่สามารถต้านทานกับพลังสยบของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้” กัวเจียหุ้ยกล่าวด้วยท่าทีเหม่อลอย
นิกายหู้ซานจงเคยมีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังต้านพลังสยบของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“ทั้งหมดล้วนหาใช่เป็นเรื่องสำคัญ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “สำคัญที่เจ้ามีเจตจำนงที่แน่วแน่ มีการตัดสินใจที่เด็ดขาดอย่างเพียงพอ พลังสยบไม่ได้ตกอยู่บนตัวของเจ้า”
กัวเจียหุ้ยยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น ในเวลานี้ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี ความจริงแล้ว นางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสภาพของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น เกรงว่าในนิกายหู้ซานจงของพวกเขาไม่มีใครเข้าใจสภาพของภูเขาศักดิ์สิทธิ์เลยสักคน
“ที่เจ้าต้องถามคือ เจ้าสามารถแบกรับการทดสอบลักษณะเช่นนี้ได้หรือไม่? เจ้ามีปณิธานที่มุ่งมั่นมากพอหรือไม่? มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่แข็งแกร่งมากพอหรือไม่?” หลี่ชิเย่ลืมตาขึ้นมองดูกัวเจียหุ้ยทีหนึ่ง
กัวเจียหุ้ยได้แต่นิ่งเงียบไม่สามารถตอบอะไรได้ การปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่นางไม่เคยคิดมาก่อน กล่าวสำหรับนางแล้วเรื่องนี้ไกลตัวนางมากเหลือเกิน เรื่องเช่นนี้หาใช่นางที่เป็นศิษย์ธรรมดาๆ ตัวน้อยๆ สามารถกระทำได้
ต่อให้นิกายหู้ซานจงของพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว มันก็ควรเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสของสำนักต้องไปทำ แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับให้นางไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เรื่องลักษณะเช่นนี้กล่าวสำหรับนางแล้ว ช่างกะทันหันเหลือเกิน โดยที่นางไม่ทันได้เตรียมตัวเลยแม้แต่น้อย
“จะอยู่อย่างไร้ผลงานอะไรเลย หรือตัดสินใจเสี่ยงสักครั้ง ตัดสินใจทดลองดูสักครั้ง ทั้งหมดนี้อยู่ที่ความคิดแวบเดียวของเจ้า” หลี่ชิเย่พูดเฉยเมยขึ้นมา จากนั้น ค่อยๆ หลับตาลง
หลังจากที่กัวเจียหุ้ยนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จึงได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้ายกัดฟันและกล่าวด้วยท่าทีมั่นคงว่า “ตกลง ข้า ข้าไป! ข้าไปปีน”
ขณะที่เวลานี้หลี่ชิเย่ได้หลับตาลงแล้ว เหมือนหนึ่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น เหมือนว่าจะไม่ได้ยินคำพูดของกัวเจียหุ้ย
“ว่าไงนะ เจ้าจะไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์…” จ้าวจื้อถิงถึงกับตกใจยิ่งนัก เมื่อได้ฟังการตัดสินใจของกัวเจียหุ้ยแล้ว
“ข้าจะแบกคุณชายขึ้นไป” กัวเจียหุ้ยได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ท่าทีก็แข็งกร้าวมาก ไม่ว่าใครเตือนหรือโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่สามารถห้ามได้
หลังจากจ้าวจื้อถิงได้ฟังคำพูดของกัวเจียหุ้ยแล้ว ถึงกับจ้องมองดูหลี่ชิเย่ที่นอนอยู่ตรงนั้นด้วยจิตใต้สำนึก หลี่ชิเย่ไม่กระดุกกระดิกแม้แต่น้อย เหมือนว่าได้เข้าสู่การหลับใหลไปแล้ว
ในเวลานี้ จ้าวจื้อถิงรู้แล้วว่าเป็นความคิดของหลี่ชิเย่ นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะไปเป็นเพื่อน”
นางไม่อาจวางใจได้ลงกับการที่กัวเจียหุ้ยจะปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์คนเดียว จะอย่างไรเสียในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา นิกายหู้ซานจงของพวกเขาก็ไม่เคยมีใครอื่นได้ปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์อีกเลย
กัวเจียหุ้ยส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ถ้าเช่นนั้นข้าส่งเจ้าไปถึงตีนเขาก็แล้วกัน” จ้าวจื้อถิงรู้ว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็ช่วยอะไรกัวเจียหุ้ยไม่ได้ จึงได้แต่พูดเช่นนี้
กัวเจียหุ้ยพยักหน้าเบาๆ ท้ายสุด นางได้รายงานต่ออาจารย์ของนาง
“เหลวไหล เหลวไหลอย่างเดียวเลย” เมื่ออาจารย์ของกัวเจียหุ้ยได้ยินว่านางจะไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังจะแบกคนพิการคนหนึ่งไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วย อาจารย์ของนางจึงตวาดใส่นางทันที
ในความคิดของอาจารย์มองว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว มันเป็นเรื่องของการรนหาที่ตายอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เป็นกัวเจียหุ้ยที่เป็นศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แม้แต่ยอดฝีมือเช่นเขาก็ไม่สามารถปีนขึ้นไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้
ต่อให้อาจารย์ของนางตวาดใส่ แต่ว่า กัวเจียหุ้ยยังคงยืนยันต้องการไปปีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่อาจารย์ของนางก็จนด้วยเกล้าแล้วในเวลานี้ จะอย่างไรเสียนิกายหู้ซานจงไม่มีกฎข้อห้ามใดๆ ไม่ให้ศิษย์ในสังกัดไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ความจริงแล้ว ศิษย์คนใดของนิกายหู้ซานจงก็ตามล้วนแล้วแต่ไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ เพียงแต่ จะต้องรับผิดชอบในความเป็นความตายของตนเองเท่านั้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ขณะที่เจ้าปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปนั้น เมื่อไรที่ทนต่อพลังสยบของมันแล้ว เจ้าอาจถูกบดขยี้จนกลายเป็นหมอกเลือดก็เป็นได้” สุดท้าย อาจารย์ของกัวเจียหุ้ยได้กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา
กัวเจียหุ้ยพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร นางเองก็ไม่ได้นำเอาเรื่องของหลี่ชิเย่บอกกล่าวให้อาจารย์ของนางทราบ
อาจารย์ของกัวเจียหุ้ยจนด้วยเกล้า เมื่อเห็นศิษย์ของตนดื้อรั้นหัวแข็งเสมือนดั่งลาตัวหนึ่ง เมื่อไรที่ได้ตัดสินใจแล้วฉุดอย่างไรก็ไม่กลับ สุดท้าย เขาได้ปรึกษาหารือกับผู้อาวุโสหลายท่านในสำนัก และเห็นด้วยให้กัวเจียหุ้ยแบกหลี่ชิเย่ขึ้นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ในที่สุด
จะอย่างไรเสีย ทางสำนักไม่มีข้อห้ามให้ศิษย์ใดๆ ปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ ดังนั้น การปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์สามารถได้รับอนุญาตโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว
“เหล่าบรรพบุรุษอนุญาตแล้ว แต่ว่า จะเป็นหรือตายต้องรับผิดชอบเอง” อาจารย์ของกัวเจียหุ้ยจนด้วยเกล้า และกล่าวว่า “เจ้าเปลี่ยนใจเวลานี้ยังทัน ระยะนี้ทักษะของเจ้าก้าวหน้าได้ดีแสดงออกถึงพลังแฝงที่ไม่ธรรมดา ภายภาคหน้าหมั่นฝึกฝนต่อไป ความสำเร็จน่าดูชมทีเดียว ไฉนต้องไปรนหาที่ตาย”
ในสายตาอาจารย์ของกัวเจียหุ้ยมองว่า การที่กัวเจียหุ้ยแบกคนพิการคนหนึ่งไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย สำหรับหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาพิการคนหนึ่งตายก็ช่าง ขณะที่ศิษย์อย่างกัวเจียหุ้ยหากต้องมาตายที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ออกจะน่าเสียดาย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเร็วๆ นี้การฝึกของกัวเจียหุ้ยไม่ธรรมดาจริงๆ อาจารย์ของเขาก็คาดหวังในตัวของนาง
กัวเจียหุ้ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ยังคงตัดสินใจแน่วแน่จะไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ของนางก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก สั่งการไปว่า “เช่นนั้นแล้ว เจ้ากลับไปเตรียมตัวก็แล้วกัน”
กัวเจียหุ้ยหันหลังเดินจากไป กลับไปตระเตรียมสิ่งที่จำเป็นในการปีนเขา นางเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาในการปีนนานเท่าไร ดังนั้น จึงได้เตรียมเสบียงไปไม่น้อย และหยูกยาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ
อาจารย์ของกัวเจียหุ้ยนับว่าใส่ใจต่อศิษย์เช่นนาง แม้ว่าเขาไม่เห็นด้วยกับกัวเจียหุ้ยที่จะไปปีนเขา แต่ยังคงมอบยาเม็ดให้กัวเจียหุ้ยขวดหนึ่งเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งอาจสามารถช่วยชีวิตนางได้ในยามจำเป็น
หลังจากที่กัวเจียหุ้ยเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพแล้ว ได้แบกหลี่ชิเย่ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ความจริงแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมนิกายหู้ซานจงจำนวนมากเมื่อได้ยินว่า กัวเจียหุ้ยจะแบกหลี่ชิเย่ที่เป็นคนพิการไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกไม่เข้าใจ เรื่องเช่นนี้นับว่าไร้เหตุผลเกินไปแล้ว เป็นเหตุผลที่ไม่สามารถเข้าใจได้
อย่าว่าแต่ศิษย์ธรรมดาของนิกายหู้ซานจงเช่นพวกเขาเลย แม้แต่บรรดาเหล่าบรรพบุรุษนิกายหู้ซานจงก็ปีนขึ้นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังต้องแบกคนพิการอีกคนไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์
“ไม่รู้จักเจียมตน ไม่รู้จักคำว่าตาย” สุดท้าย บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักบางส่วนได้แต่วิจารณ์การกระทำเช่นนี้ของกัวเจียหุ้ย
การดำรงอยู่ในนิกายหู้ซานจงของกัวเจียหุ้ยเดิมก็ไม่มีความสำคัญอยู่แล้ว เป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเรื่องการปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของนางได้ก่อเกิดการวิพากวิจารณ์ได้ไม่น้อย แต่ทว่า ผู้ที่ห่วงใยนางมีอยู่ไม่มาก
ศิษย์ร่วมสำนักบางส่วนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัวเจียหุ้ยยังมาโน้มน้าวกัวเจียหุ้ย หวังว่านางจะยอมละทิ้งการกระทำที่บ้าบิ่นเช่นนี้ แต่ว่า กัวเจียหุ้ยได้ปฏิเสธไปทุกคน ทำให้ทุกคนจนปัญญา
จ้าวจื้อถิงเสียอีกกลับไม่ได้หว่านล้อมกัวเจียหุ้ย นางรู้ว่าเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของหลี่ชิเย่ อีกทั้งกล่าวสำหรับกัวเจียหุ้ยแล้ว นับเป็นโอกาสที่ดีในการทดสอบตนเอง
ดังนั้น ก่อนกัวเจียหุ้ยจะออกเดินทาง จ้าวจื้อถิงยังได้ตระเตรียมทุกอย่างๆ พร้อมสรรพ จัดการตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่กัวเจียหุ้ยต้องการใช้ในการปีนเขาอย่างครบถ้วน เรียกได้ว่าครบถ้วนยิ่งกว่านางจะไปปีนเขาเองเสียอีก
กระทั่งจ้าวจื้อถิงได้นำอาวุธและของวิเศษของตนทั้งหมดให้กัวเจียหุ้ยยืม เผื่อว่ายามที่นางมีอันตรายสามารถนำมาช่วยชีวิตได้
เมื่อกัวเจียหุ้ยเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว จึงได้แบกหลี่ชิเย่ออกเดินทาง
ขณะที่กัวเจียหุ้ยออกเดินทาง มีศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักที่สนิทสนมบางคนได้มาส่ง แน่นอน ก็มีศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักจำนวนมากมาดูชมความคึกครื้น
“นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ ไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ด้วยความสามารถเพียงเท่านี้ เป็นการรนหาที่ตายเอง” มีผู้ที่เป็นศิษย์พี่เมื่อมองเห็นเช่นนี้แล้ว ส่ายหน้า และรู้สึกว่าไม่สามารถเข้าใจเหตุผลที่ทำเช่นนี้
“แหะ ศิษย์น้องกัวผู้นี้ เดิมทีก็เป็นผู้ที่ทำอะไรประหลาดๆ อยู่แล้ว อยู่ดีไม่ว่าดีกลับไปรับเลี้ยงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่พิการคนหนึ่ง เวลานี้ไม่รู้จักคำว่าตายจะแบกคนพิการคนนี้ไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คนแบบนี้สงสัยจิตวิปริต” มีศิษย์พี่สาวกล่าวเหยียดหยามออกมา
“หุบปาก” หลี่เจี้ยนคุนในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ได้ร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า “ศิษย์น้องกัวมีจิตใจที่บริสุทธิ์และมีจิตใจดีงาม ช่วยเหลือพยาบาลผู้บาดเจ็บและช่วยชีวิตผู้ได้รับอันตราย ไม่ได้มีความผิดอะไร”
“ผู้ที่สามารถไปปีนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ตัดสินใจแน่วแน่ทั้งสิ้น” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วหยุดนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “ใช่ว่าใครก็มีความกล้าหาญไปท้าทายมัน!”
จะอย่างไรเสียหลี่เจี้ยนคุนก็คือศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อเทียบกับศิษย์น้อง ศิษย์น้องสาวคนอื่นๆ แล้ว จะมากหรือน้อยก็มีวิสัยทัศน์มากกว่า
ศิษย์พี่และศิษย์พี่สาวคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะพูดอะไรให้มากความอีก เมื่อถูกห้ามปรามโดยหลี่เจี้ยนคุน
ขณะที่ศิษย์พี่ และศิษย์พี่สาวหลายคนที่สนิทกับกัวเจียหุ้ยมาส่งนั้น ก่อนออกเดินทางมีศิษย์พี่สาวได้กำชับนางเป็นพิเศษด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้าหากปีนขึ้นไปไม่ได้จริงๆ ล่ะก็อย่าได้ฝืน กลับมากลางคันก็แล้วกัน ไม่มีใครเขาหัวเราะเยาะเจ้าหรอกนะ ถ้าหากพานพบอันตรายเข้าจริงๆ จัดการโยนคนที่เจ้าแบกเอาไว้ทิ้งไป แล้วหันหลังหนีไปทันที”
…………………………………………………..