Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2777 บัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ
ตอนที่ 2777 บัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ
“เข็นข้าขึ้นไป ข้าต้องการนั่งที่ตรงนั้น” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา และชี้ไปที่บัลลังก์ซึ่งตั้งอยู่บนตำหนักปฐมบรรพบุรุษ
“ว่าไงนะ เขาจะนั่งตรงนั้น!” บรรดาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างส่งเสียงฮือฮาเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
เวลานี้ ทุกคนที่ส่งเสียงฮือฮาต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ แล้วก็มองดูบัลลังก์ที่อยู่ในตำหนักปฐมบรรพบุรุษ ในเวลานี้ทุกคนล้วนแล้วแต่มองไม่ออกว่าหลี่ชิเย่กำลังล้อเล่นหรือพูดจริง
“เขาอวดดีมากเกินไปแล้ว ด้วยตำแหน่งฐานะของเขายังไม่มีสิทธิ์ได้นั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ!” มีผู้อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้
บัลลังก์ที่อยู่ในตำหนักปฐมบรรพบุรุษมีชื่อเรียกว่าบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ ตามตำนานเล่าว่า ผู้เฒ่าอมตะเคยนั่งมาก่อนในยุคสมัยที่ดึกดำบรรพมาก ภายหลังก็มีระดับบรรพบุรุษที่เก่ากะลายิ่งหลายคนเคยนั่งกันมาตามลำดับ
แต่ว่า ระดับบรรพบุรุษที่เก่ากะลายิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เคยมีคุณูปการที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นกว่าใครๆ ให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารโดยรวม ตำแหน่งฐานะของพวกเขาได้รับการยอมรับเป็นเอกฉันท์จากบรรดาศิษย์ผู้บำเพ็ญตนของสำนักเจ้าลัทธิแคว้นโบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งหมด
คนล่าสุดที่เคยนั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษตัวนี้ก็คือเจียงฉางฉุนแล้ว แน่นอน กล่าวสำหรับทุกคนที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารแล้ว พวกเขาไม่มีความเห็นกับการนั่งในตำแหน่งนี้ของเจียงฉางฉุน มันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว จะอย่างไรเสีย เจียงฉางฉุนก็คือผู้ที่มีความโดดเด่นยอดเยี่ยมมากที่สุดต่อจากผู้เฒ่าอมตะของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารแล้ว
มาวันนี้ ปรมาจารย์หนุ่มอย่างหลี่ชิเย่ถึงกับต้องการนั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษตัวนี้ จะไม่ให้ทุกคนต้องฮือฮากันขึ้นมาได้อย่างไรเล่า
แม้จะกล่าวว่า หลี่ชิเย่ในวันนี้ได้ผงาดขึ้นมาและไร้เทียมทาน ปราศจากผู้ต่อกร แต่ว่า ในสายตาของทุกคนมองว่า ต่อให้หลี่ชิเย่แข็งแกร่งมากกว่านี้เขายังคงต้องมีการสั่งสม จำเป็นต้องตกผลึก อาศัยฐานะของเขาในขณะนี้ยังห่างไกลไม่มีสิทธิ์ที่จะนั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษตัวนี้
“ฮึเขาคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงกับกล้านั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ โง่เขลาและอวดดี” ระดับผู้อาวุโสตระกูลขุนนางโบราณส่งเสียงฮึเย็นชาด้วยความไม่พอใจ
“นั่นน่ะสิ เพิ่งเริ่มจะมีผลงานเล็กน้อยก็ลืมตนเสียแล้ว” ยอดฝีมือ ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยต่างไม่พอใจต่อการกระทำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่เคยสร้างผลงานให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ถึงกับต้องการนั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษกับเขาบ้าง ไม่ปัสสาวะส่องดูเงาตัวเองเสียบ้าง”
“เจ้าหนูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ” ระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งในความต้องการของหลี่ชิเย่ ส่งเสียงฮึเย็นชา และกล่าวว่า “ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ดังกล่าวต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและบารมีสูง มีผลงานโดดเด่นดังกึกก้อง เขาอาศัยอะไรมานั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ!”
เฉินเหวยเจิ้งเองถึงกับขนหัวลุกเมื่อได้ฟังความต้องการของหลี่ชิเย่ เนื่องจากเขารู้ถึงความหมายของบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ แม้แต่ท่ามกลางปรัชญาเมธีในแต่ละรุ่นของนิกายหู้ซานจงเองก็มีอยู่ไม่กี่คน ที่มีสิทธิ์ได้นั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษได้อย่างแท้จริง เวลานี้ปรมาจารย์ถึงกับต้องการนั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษต่อหน้าผู้คนใต้หล้า เหมือนต้องการเป็นศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งหมด
“ท่านปรมาจารย์ เวลานี้ เวลานี้ เวลานี้ดูจะไม่ถูกเวลากระมัง” เวลานี้เฉินเหวยเจิ้งพูดได้ชาญฉลาดเหลือเกิน
“ไม่ถูกเวลาอะไร” หลี่ชิเย่ไม่นับเป็นอะไรทั้งนั้น กล่าวเรียบเฉยว่า “ข้าอยากนั่ง ก็จะต้องได้นั่ง!”
สิ่งนี้พลันทำให้เฉินเหวยเจิ้งต้องอึ้ง เวลานี้เขารู้สึกปวดหัวอย่างยิ่ง กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เวลานี้เขารู้สึกว่าท่าทีของปรมาจารย์ก็คล้ายดั่งเป็นเด็กที่ไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด คิดจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ดื้อรั้นยิ่งนัก
“โง่เขลาอวดดี…” ในเวลานี้เอง เสียงฮึน่าเกรงขามเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงฮึที่เสมือนดั่งฟ้าผ่าที่ระเบิดลงมา เก่ากะลาผู้หนึ่งก้าวออกมาด้านหน้าผู้คน ประกายตาดั่งอสุนีเย็นยะเยือก ประกายเยือกเย็นแผ่กระจาย พลันจ้องเขม็งหลี่ชิเย่เอาไว้
“บัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษเป็นเกียรติยศสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารพวกเรา ผู้ไร้ซึ่งคุณูปการ ผู้ไม่ได้มีอำนาจสูงสุด ไม่สามารถนั่งได้ เจ้าเป็นตัวอะไร ถึงกับกล่าววาจาไร้ยางอาย คิดจะนั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษเหมือนกัน ไม่เจียมตัวเสียเลย!” ผู้เฒ่าผู้นี้สวมชุดแพร ด้านหลังศีรษะมีประกาย ทำให้ภาพรวมของเขาแลดูทรงอานุภาพอยากจะหาผู้ใดเทียม แม้ว่าบนตัวของเขาไม่ได้แผ่กลิ่นอายที่สะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมา แต่ว่า พลันที่เขาเคลื่อนไหวก็สามารถทำให้ภูเขาแม่น้ำพรั่งพรูออกมา ควบคุมจักรวาล ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า
“ระดับบรรพบุรุษของแคว้นฉีฟงมาแล้ว” มีผู้ที่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเหมือนกันถึงกับมีท่าทีเย็นวาบขึ้นมา
“เจ้าเป็นใครรึ…” หลี่ชิเย่ไม่ได้แสดงอาการโกรธ เมื่อถูกเก่ากะลาผู้นี้ว่ากล่าวด่าทอด้วยเสียงอันดัง เพียงหันศีรษะกลับมาอย่างช้าๆ มองดูเขาตามอารมณ์ไปแวบหนึ่ง ท่าทางไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง
ท่าทางที่เอ้อระเหยของหลี่ชิเย่พลันทำให้เก่ากะลาผู้นี้มีท่าทีเปลี่ยนไปทันที สีหน้าดูไม่จืด ท่าทางเย็นชา และกล่าวว่า “เก่ากะลาคืออ๋องเทพแห่งแคว้นฉีฟง!”
เฉินเหวยเจิ้งถึงกับมีท่าทีที่หวาดกลัวขึ้นมา เมื่อได้ยินชื่ออ๋องเทพฉีฟงชื่อนี้
“อ๋องเทพฉีฟง ระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งมากที่สุดของแคว้นฉีฟง ฟังว่าเป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นแสนชาติ กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าได้ก้าวเข้าสู่ชั้นศักราชแล้ว!” ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีท่าทีหวาดกลัวเมื่อได้ยินฉายานี้แล้ว
อ๋องเทพฉีฟงมีชื่อเสียงโด่งดังในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ความโด่งดังด้านชื่อเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่าจู่หวังแห่งดินแดนภาคกลาง
“ไม่รู้จัก แค่นายหมูนายหมาเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ไม่ได้มองหน้าเขาสักแวบหนึ่ง โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “หลบไปข้างๆ เสีย อย่ามารบกวนอารมณ์สุนทรีของข้า”
“เจ้า…” สีหน้าของอ๋องเทพฉีฟงพลันดูไม่จืดถึงขีดสุด
ตัวเขาในฐานะที่เป็นระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งมากที่สุดของแคว้นฉีฟง ปรกติแล้วน้อยครั้งที่จะปรากฎตัวออกมา ขอเพียงเขาปรากฏตัวเรียกได้ว่าชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า ไม่รู้ว่ามีศิษย์รุ่นเยาว์จำนวนเท่าไรที่คุกเข่าก้มกรามแทบเท้าของเขา ยอดฝีมือและผู้มีฝีมือสูงส่งจำนวนเท่าไรใต้หล้าที่ให้ความเคารพนอบน้อมต่อเขาอย่างยิ่ง
แต่ว่า มาวันนี้เขาไม่มีค่าคู่ควรจะเอ่ยถึงในสายตาของหลี่ชิเย่ ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ท่าทางโบกมือของเขานั้นคล้ายเป็นการไล่แมลงวันอย่างนั้น แล้วจะให้ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะชื่อเสียงบารมีโด่งดังอย่างเขาเอาหน้าไปไว้ไหน
“โอหังอวดดีเหลือเกิน” ผู้ที่เพิ่งเคยเห็นหลี่ชิเย่เป็นครั้งแรกต่างรุ้สึกว่าท่าทางลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่โอหังอวดดีเหลือเกิน
“อย่าลืมไปสิ จู่หวังแห่งดินแดนภาคกลางก็ถูกเขาสังหารในกระบี่เดียว” มีผู้เฒ่าที่เคยเห็นการต่อสู้ด้วยสายตาของตนเอง หัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ต่อให้อ๋องเทพฉีฟงคือระดับระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะชั้นศักราชแล้วก็ตาม เกรงว่าเขาก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาจริงๆ มีเพียงระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นคงความอมตะตลอดกาลเท่านั้นจึงเข้าตาของเขาได้”
แม้ว่าท่าทางของหลี่ชิเย่นับว่าบ้าระห่ำและใช้อำนาจบาตรใหญ่โดยแท้จริง แต่ว่า ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองว่าหลี่ชิเย่ในเวลานี้นับว่ามีสิทธิ์ที่จะบ้าระห่ำและใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้อย่างแท้จริง
“วันนี้ ต่อให้ข้าเป็นเพียงผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งก็สมควรขัดขวางเจ้า” อ๋องเทพฉีฟงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “บัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษเป็นตัวแทนเกียรติยศสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารพวกเรา ผู้ที่สามารถนั่งบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษได้นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีคุณูประการที่ล้ำเลิศ มีผลงานการสู้รบที่โดดเด่นเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งสิ้น…”
“…มิฉะนั้นล่ะก็ ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตามก็ไม่มีสิทธิ์นั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษพวกเรา! หากมองว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกรก็สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ สามารถอาศัยกำลังที่เหนือกว่าขึ้นนั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษดื้อๆ เท่ากับทำให้เกียรติยศสูงสุดของบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษพวกเราต้องแปดเปื้อน และเป็นการรังแกระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารพวกเรา เป็นศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารทั้งหมด!”
คำพูดของอ๋องเทพฉีฟงในเวลานี้สร้างความฮึกเหิมอย่างยิ่ง และมีพลังปลุกระดมยิ่งนัก ทำให้ผู้ที่อยุ่ในเหตุการณ์จำนวนมากทยอยกันพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิ บัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษคือเกียรติยศของพวกเรา ใช่ว่าใครก็สามารถนั่งได้” ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยถูกปลุกระดมจนมีอารมณ์ฮึกเหิม
มีรุ่นอาวุโสที่รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว กล่าวน่าเกรงขามว่า “คิดจะนั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษก็ไม่ยาก เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กวาดล้างใต้หล้า เอาชนะจนไร้คู่ต่อกรในหล้าก่อนแล้วค่อยมานั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ มิฉะนั้นล่ะก็ ต่อให้เจ้านั่งอยู่บนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษก็ยากที่จะทำให้ผู้อื่นยอมรับ”
“ไสหัวออกไป ตำหนักปฐมบรรพบุรุษหาใช่ที่ๆ เจ้าจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ แข็งแกร่งแล้วยอดมากเลยรึ ต่อให้แข็งแกร่งมากกว่านี้แล้วอย่างไร หรือว่าเจ้าคิดจะทำอะไรก็ทำอะไรอย่างนั้นรึ?” มีศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ด่าทอหลี่ชิเย่เป็นการใหญ่
“แข็งแกร่งนับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้านับว่าสามารถทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจได้จริงๆ ข้าคิดจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น!”
“เจ้า…” มีผู้ที่ถูกคำพูดที่โอหังเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ยั่วโมโหจนเพลิงแห่งความโกรธแลบออกมา ถึงกับสองตาพ่นเป็นไฟออกมา
ท่าทางของอ๋องเทพฉีฟงดูจะพึงพอใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเห็นผู้คนมีอารมณ์ฮึกเหิม เขาต้องการให้หลี่ชิเย่เป็นศัตรูกับคนทั่วหล้า ให้เขายากที่จะขยับตัวในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารในภายหลัง
“บัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษใช่ว่าเจ้าคิดจะนั่งก็นั่งได้” เวลานี้มีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่ตำแหน่งสูงมากด้วยอำนาจส่งเสียงฮึเย็นชา และกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ถ้าหากเจ้าต้องการนั่งบนบัลลังก์ปฐมบรรพบุรุษ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกคน มิฉะนั้นแล้วทุกคนก็จะเป็นศัตรูกับเจ้า เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เกรงว่าคนแรกที่ไม่เห็นด้วยก็คือวิหารอมตะ!”
ในเวลานี้มีคนฉลาดยกเอาวิหารอมตะออกมา จะอย่างไรเสียวิหารอมตะคือสำนักที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร การหยิบยกเอาวิหารอมตะออกมา จะมากหรือน้อยก็จะทำให้หลี่ชิเย่ต้องหวั่นเกรง
“ใครบอกว่าวิหารอมตะพวกเราไม่เห็นด้วย?” ในเวลานี้ เสียงที่ไพเราะน่าฟังเสียงหนึ่งดังขึ้น โดยที่เสียงไพเราะน่าฟังเสียงนี้เปี่ยมด้วยลักษณะอันน่าเกรงขาม
ทุกคนต่างหันกลับไปมองเมื่อได้ยินเสียงนี้แล้ว
นาทีนี้ มองเห็นประตูของวังวนที่อยู่บนท้องฟ้าปรากฏคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา คนผู้นี้ได้ก้าวลงมาตามบันไดทองคำช้าๆ
นี่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง บุคลิกความสามารถยอดเยี่ยม อายุอานามของนางดูใกล้จะสามสิบ ภาพรวมของนางเปี่ยมด้วยเสน่ห์ของผู้หญิงที่มีความเป็นผู้ใหญ่ เสมือนดั่งเป็นลูกท้อพันธุ์น้ำผึ้งที่สุกงอม หน้าอกที่อวบอิ่ม สะโพกที่กลมงอน องค์เอวที่คอดกิ่ว
กล่าวได้ว่า ส่วนเว้าส่วนโค้งบนตัวของนางนั้น หากมากกว่านิดหนึ่งก็จะมากไป หากน้อยไปนิดหนึ่งก็จะขาดไป นางสวมใส่ชุดผ้าโปร่งบางยาว แลดูสูงส่งและมีความเป็นกษัตริย์ ปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้า งดงามจนไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้
บุคลิกลักษณะความเป็นผู้ใหญ่ภายใต้การขับให้เด่นขึ้นด้วยกลิ่นอายความเป็นกษัตริย์ที่สูงส่งของนาง ทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจละสายตาจากนางเป็นเวลานาน
“ฮ่องแต้วิหารอมตะ…” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสทยอยกันโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพ หลังจากมองเห็นผู้หญิงคนนี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว
“ฮ่องแต้วิหารอมตะ!” ภายในใจของทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวขึ้นเมื่อได้ยินชื่อนี้ แม้แต่อ๋องเทพฉีฟงก็มีท่าทีหวาดกลัวขึ้นมา
“คารวะฮ่องแต้วิหารอมตะ!” ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันโค้งคำนับต่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้เป็นผู้ที่หยิ่งยโสมากกว่านี้ยังต้องแสดงความเคารพต่อฮ่องแต้วิหารอมตะ
“ฮ่องแต้วิหารอมตะสุดยอดยากจะหาผู้ใดเทียมในหล้า” มีบุรุษกลุ่มคนรุ่นใหม่มองดูจนเคลิบเคลิ้มหลงไหล ใบหน้าเต็มไปด้วยความลุ่มหลงมัวเมา ผู้อาวุโสจึงยกมือฟาดไปที่ท้ายทอยของเขาหนึ่งฝ่ามือ
“โง่เขลา ฮ่องแต้วิหารอมตะเป็นฮ่องแต้มาสองยุคสมัย คงความเป็นผู้มีวาสนาตลอดไป อย่าเพ้อฝันไร้เดียงสา” เมื่อถูกผู้อาวุโสกล่าวตักเตือนให้รู้ว่าหลงผิด ทำให้ผู้เยาว์ตื่นขึ้นมา
ผู้เยาว์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความลุ่มหลงมัวเมาพลันเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย รีบก้มกราบกับพื้นเมื่อได้ฟังคำของผู้อาวุโสแล้ว
“เป็นฮ่องแต้มาสองยุคสมัย คงความเป็นผู้มีวาสนาตลอดไป!” คำพูดเช่นนี้พลันทำให้ศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งหมดที่มีจิตใจหวั่นไหวได้ตื่นขึ้นมา ก้มกราบกับพื้นและมีเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย
…………………………………………………