Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2804 พบนางอีกแล้ว
ตอนที่ 2804 พบนางอีกแล้ว
พวกจ้าวชิวสือที่เป็นนักศึกษาสถาบันศึกษาล้างบาปที่มองดูพวกของเติ้งเหรินเซิน ลู่ซื่อเม่าซึ่งเดินอยู่ข้างหน้า แสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ทุกที่ที่เดินผ่านไป ผู้คนที่อยู่ซ้ายขวาสองข้างทางต่างทยอยกันถอยหลบแล้ว รู้สึกผะอืดผะอมยิ่ง
เฉกเช่นมีคนฐานะร่ำรวยคนหนึ่งมาถึงบ้านของเจ้า ทำโอ้อวดทุกอย่าง และรังเกียจความยากจนของเจ้าบ้าน มันช่างเป็นเรื่องที่น่าผะอืดผะอมเหลือเกิน
“อธิการบดีตู้ สถาบันศึกษาล้างบาปคือหนึ่งในสถาบันศึกษาใหญ่ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์” ขณะก้าวเดินไปข้างหน้า เติ้งเหรินเซินได้กล่าวต่อตู้เหวินรุ่ยว่า “สถาบันศึกษาล้างบาปสมควรแบกรับหน้าที่ด้านแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ให้แสงสว่างส่องเข้าไปยังทั่วทุกมุมของเมืองล้างบาป สาดส่องเข้าไปภายในจิตใจของทุกๆ คนในเมืองล้างบาป ให้พวกเขานับถือศรัทธาในแสงสว่าง สรรเสริญเยินยอต่อแสงสว่าง”
ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า คำพูดลักษณะเช่นนี้ของเติ้งเหรินเซินเป็นการตำหนิพวกตู้เหวินรุ่ยของสถาบันศึกษาล้างบาปไม่ได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์
ตู้เหวินรุ่ยเพียงหัวเราะเท่านั้นเอง โดยไม่ได้ตอบโต้คำพูดของเติ้งเหรินเซิน
“พวกเขาก็แค่คนธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ใช่เป็นคนไม่ดีอะไร และหาใช่เป็นผู้ที่มีจิตใจใฝ่ในความมืดอะไร พวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ต้องการเพียงแค่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ทำไมจะต้องนับถือศรัทธาแสงสว่าง ต้องสรรเสริญเยินยอในแสงสว่าง” เดิมนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปก็เดินอยู่ด้านหลัง และเข้ากับพวกของเติ้งเหรินเซินไม่ได้อยู่แล้ว เวลานี้เมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนี้ของเติ้งเหรินเซินแล้ว ทำให้ยิ่งไม่พอใจมากยิ่งขึ้น จึงมีผู้ที่กล่าวตอบโต้ขึ้นมา
ท่าทีของพวกเติ้งเหรินเซินในเวลานี้ เป็นท่าทางของผู้ที่อยู่เหนือผู้คนอย่างสิ้นเชิง ขณะที่พวกเขาเหล่านี้เหมือนว่ากลายเป็นคนที่ไม่สามารถพบกับแสงสว่างได้อย่างนั้น
“หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ควรนับถือศรัทธาในความสว่าง หรือว่าจะต้องนับถือศรัทธาในความมืดอย่างนั้นรึ?” ขณะที่เติ้งเหรินเซินยังไม่ทันพูดอะไรออกมา ลู่ซื่อเม่าได้พูดเสียงเย็นชาว่า “พวกเราฝึกปรือเคล็ดวิชาสว่างของปฐมบรรพบุรุษ สืบทอดแนวความคิดของปฐมบรรพบุรุษ ในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ สมควรให้แสงสว่างของปฐมบรรพบุรุษได้รับการส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น แม้แต่เมืองล้างบาปก็สมควรอยู่ภายใต้การครอบงำของแสงสว่าง”
“สวะ” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง ส่ายหน้า และกล่าวว่า “หากไม่ใช่ความสว่างก็คือความชั่วร้ายอย่างนั้นรึ? เหล่าเวไนยสัตว์ล้วนมีจิตวิญญาณ ทุกๆ คนล้วนแล้วแต่มีจิตที่ยึดติดเป็นของตนเอง มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนเอง ใครเป็นคนบอกว่าผู้คนในโลกล้วนสมควรนับถือศรัทธาในแสงสว่าง? เกรงว่าขณะปราชญ์ไกลกันดารยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เคยพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา การช่วยปลดปล่อยใต้หล้า เวทนาเหล่าเวไนยสัตว์เป็นเพียงจิตที่ยึดติดของปราชญ์ไกลกันดารเท่านั้น แต่ว่า ผู้คนบนโลกจะนับถือศรัทธาเขาหรือไม่นั้น เป็นการตัดสินใจเลือกของพวกเขาเอง!”
“ภายใต้แสงสว่างสมควรสาดส่องทั่วหล้าอย่างเสมอภาค!” เติ้งเหรินเซินกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “แสงสว่างสาดส่องทั่วหล้าอย่างเสมอภาคก็คือการขจัดสิ้นการกำเนิดของความมืด!”
“ไร้สมองจนไม่อาจเยียวยา” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง ส่ายหน้า และกล่าวว่า “บังคับให้ผู้คนนับถือศรัทธาในกฎเกณฑ์ของลัทธิ มันแตกต่างจากความมืดตรงไหน?”
“พูดจาหลอกลวงผู้คน ชนเผ่าบาปอย่างเจ้าสมควรประหาร!” ลู่ซื่อเม่าส่งเสียงฮึน่าเกรงขาม ในมือกำกระบี่แน่น
“ทุกท่าน นี่เป็นเรื่องสถาบันศึกษาล้างบาปของพวกเรา สถาบันศึกษาล้างบาปย่อมมีข้อสรุปเอง” จังหวะที่ลู่ซื่อเม่าชักกระบี่ออกมานั้น ตู้เหวินรุ่ยในฐานะที่เป็นอธิการบดีได้หัวเราะและกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ทุกท่านเป็นกังวล”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของตู้เหวินรุ่ยพลันทำให้ลู่ซื่อเม่ามีท่าทีแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ไม่เหมาะที่จะอาละวาด ขณะที่เติ้งเหรินเซินก็พูดขึ้นเป็นกลางๆ ว่า “อธิการบดีตู้ พวกเราก็ทำเพื่อทุกคน”
“ความปรารถนาดีของอาวุโสเติ้ง ข้าขอบคุณยิ่ง” ตู้เหวินรุ่ยยิ้มกล่าว
เมื่อตู้เหวินรุ่ยทำการไกล่เกลี่ย ทำให้ความขัดแย้งคราวนี้จบลงง่ายดาย บรรดาพวกลู่ซื่อเม่าที่มีชาติกำเนิดมาจากนักศึกษาของสถาบันศึกษาอื่นๆ ดูยิ่งมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยท่าทีที่มองพวกของหลี่ชิเย่อย่างเย้ยหยัน
เฉกเช่นพวกนักศึกษาที่มีชาติกำเนิดมาจากสถาบันศึกษาล้างบาปอย่างจ้าวชิวสือ พวกเขารู้สึกไม่สบายใจสำหรับท่าทีเช่นนี้ของพวกลู่ซื่อเม่า แต่ก็จนด้วยเกล้า
กล่าวสำหรับเหล่านักศึกษาเช่นพวกของจ้าวชิวสือแล้ว ในเวลานี้กลับรู้สึกว่าหลี่ชิเย่ที่มีชาติกำเนิดจากชนเผ่าบาปมีความรู้สึกใกล้ชิดกับพวกเขาได้มากกว่า
หลังจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในครั้งนี้ พวกเขาได้เร่งรีบเดินทางไปยังสถาบันศึกษาล้างบาป โดยไม่ได้มีการพูดคุยกันอีกตลอดทาง
สถาบันศึกษาล้างบาปคือสถาบันการศึกษาที่ใหญ่ที่สุดของเมืองล้างบาป และเป็นสถาบันการศึกษาเพียงหนึ่งเดียวของเมืองล้างบาป ทุกคนที่คิดจะฝึกบำเพ็ญเพียร ส่วนใหญ่แล้วก็เลือกที่จะมาอยู่ที่สถาบันศึกษาล้างบาป
แน่นอน บางส่วนที่มีคุณสมบัติบางทีอาจจะเดินทางไกลไปยังเมืองอื่น เพื่อหาทางสมัครเข้าไปยังสถาบันศึกษาอื่นๆ เพียงแต่ ผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองล้างบาปคิดจะสมัครเข้าไปยังสถาบันศึกษาอื่นนั้นหาใช่เป็นเรื่องง่ายดาย จะอย่างไรเสีย สถาบันศึกษาอื่นๆ จะมากหรือน้อยก็มักจะเหยียบหยามผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองล้างบาป โดยพวกเขามองว่า ผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองล้างบาปคือผู้ที่ต่ำชั้นกว่า พวกเขาล้วนแล้วแต่คือทายาทรุ่นหลังของคนบาป
สถาบันศึกษาล้างบาปมีขนาดใหญ่มาก กินพื้นที่อาณาบริเวณที่กว้างขวางมาก และสถาบันศึกษาล้างบาปไม่ได้เป็นเพียงแค่สถาบันศึกษาเท่านั้น มันมีฐานะที่สำคัญมากในเมืองล้างบาป กระทั่งกล่าวได้ว่า เมืองล้างบาปนั้นอยู่ภายใต้การดูแลของสถาบันศึกษาล้างบาป
ห้วงระยะเวลาก่อตั้งสถาบันศึกษาล้างบาปนั้นดึกดำบรรพ์ยิ่ง กระทั่งมีผู้ที่เห็นว่า สถาบันศึกษาล้างบาปนั้นก่อตั้งขึ้นมาพร้อมๆ กับหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ในเวลาเดียวกัน กระทั่งยังมีผู้กล่าวว่า สถาบันศึกษาล้างบาปก่อตั้งขึ้นด้วยมือของปราชญ์ไกลกันดารเอง
ด้วยเหตุนี้เอง ในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์จึงมีการพูดกันว่า ความจริงแล้วหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มีสถาบันศึกษาใหญ่อยู่ห้าสถาบันศึกษา นอกเหนือจากสถาบันศึกษาใหญ่อีกสี่แห่งแล้ว ควรจะเพิ่มสถาบันศึกษาล้างบาปเข้าไปด้วย
เพียงแต่สถาบันศึกษาล้างบาปค่อนข้างด้อยกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่สามารถเทียบได้กับสถาบันศึกษาอีกสี่แห่ง บวกกับสถาบันศึกษาล้างบาปตั้งอยู่ในเมืองล้างบาปชื่อเสียงไม่ดี ส่งผลให้สถาบันศึกษาล้างบาปมีชื่อเสียงที่ด้อยมาโดยตลอด และนอกเหนือจากนักศึกษาที่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองล้างบาปแล้ว นักศึกษาจากสถานที่อื่นๆ ไม่ต้องการสมัครเข้าเป็นนักศึกษาในสถาบันศึกษาล้างบาปอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้สถาบันศึกษาล้างบาปยิ่งดูเหี่ยวเฉามากยิ่งขึ้น
หลังจากเข้าไปในสถาบันศึกษาล้างบาปแล้ว ภายใต้การสั่งการของตู้เหวินรุ่ย จ้าวชิวสือได้จัดการเรื่องที่พักให้กับหลี่ชิเย่
นับว่าจ้าวชิวสือเป็นคนที่ทำงานได้น่าไว้วางใจโดยแท้ แม้ว่าทุกคนต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่นั้นคือชนเผ่าบาป แต่ว่า จ้าวชิวสือก็ไม่ได้รังเกียจหลี่ชิเย่ในเรื่องนี้ เขาทำตามคำสั่งของตู้เหวินรุ่ย จัดแจงเรื่องที่พักของหลี่ชิเย่ได้ดีมาก
ก่อนเดินจากไป จ้าวชิวสือยังได้กำชับกับหลี่ชิเย่เป็นพิเศษว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเพิ่งมาที่สถาบันศึกษา หากมีเรื่องอะไรสามารถมาหาข้า ข้าช่วยงานอยู่ที่ห้องรับรองนักศึกษาใหม่”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ กับความเป็นคนซื่อๆ และเลือดที่เร่าร้อนของจ้าวชิวสือ จากนั้นหาทางทำให้เขาจากไป
หลังจากที่จ้าวชิวสือจากไปแล้ว หลี่ชิเย่นั่งอยู่ข้างเตียงหลับตาพักผ่อนกายา เหมือนนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น
“มองพอแล้วยัง?” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่ได้ลืมตาขึ้นช้าๆ และกล่าวว่า “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า หากทำให้ข้าโกรธล่ะก็ แค่นิ้วเดียวของข้าก็สามารถลากเอาสำนักของพวกเจ้าลงมาจากฟ้า”
รอบๆ ตัวของหลี่ชิเย่ไม่มีคนเลย คำพูดของเขาเหมือนพูดกับอากาศอย่างนั้น
จังหวะที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ได้ยินเสียงแว้งค์ดังขึ้น อากาศเหมือนกระเพื่อมทีหนึ่ง เบื้องหน้าของหลี่ชิเย่ปรากฎคนผู้หนึ่ง
ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ในชุดของผ้าโปร่งบางสีเขียว ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าของนางได้อย่างชัดเจน ผู้หญิงคนนี้ก็คือผู้หญิงที่มีผ้าคลุมหน้าซึ่งพวกของเฉินเหวยเจิ้งได้พบที่ศาลาพักร้อนคนนั้น ภายหลังนางและหลวงจีนคนนั้นถูกหลี่ชิเย่ทำให้ตกใจจนหลบหนีไป
เวลานี้ผู้หญิงคนนี้ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลี่ชิเย่อีกครั้งหนึ่งแบบไร้ซุ่มเสียง เหมือนว่าไม่มีผู้ใดสามารถพบเห็นอย่างนั้น
“ข้าน้อยไม่ได้มุ่งร้ายต่อผู้อาวุโส ข้าน้อยแค่ต้องการผูกกัมมปัจจัยเท่านั้น” ผู้หญิงที่สวมผ้าโปร่งบางสีเขียวทั้งชุดรีบแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ น้ำเสียงดั่งนกขมิ้นออกจากเขา ท่าทางเคารพนอบน้อม ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
“อาศัยเจ้าก็สามารถมุ่งร้ายกับข้าได้อย่างนั้นรึ? เจ้าร่วมมือกับหลวงจีนนั่นเข้ามาพร้อมกัน ข้าแค่นิ้วมือนิ้วเดียวก็สามารถบดขยี้พวกเจ้าภายในหนึ่งกระบวนท่า” หลี่ชิเย่นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตา นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ผู้หญิงคนนี้ยืนมือทิ้งข้างลำตัว มาคราวนี้นางไม่กล้าประมาท และไม่กล้าทำบุ่มบ่าม ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม นางติดตามมาตลอดทาง และรู้แล้วว่าหลี่ชิเย่มีความน่ากลัวเช่นใดแล้ว
ภายในใจของนางมีความชัดเจนยิ่ง คำพูดของหลี่ชิเย่หาใช่เป็นคำพูดที่โอ้อวด นางไม่สามารถรับมือได้กับมือข้างเดียวของเขาบดขยี้ลงมาได้อยู่แล้ว
“สามารถจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารหามาถึงตรงนี้ได้ ดูท่าเจ้ายังมีฝีมืออยู่บ้าง” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาตามอารมณ์
“ไม่ขอปิดบังผู้อาวุโส ข้าได้รับมอบของวิเศษชิ้นหนึ่งจากบรรพบุรุษ สามารถพยากรณ์ถึงร่องรอยของผู้อาวุโสได้บ้าง” ผู้หญิงคนนี้รีบพูดออกมาโดยไม่กล้าปิดบัง
“โฉงปี้นับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง วิชาพยากรณ์ก็นับเป็นหนึ่งสุดยอดวิชา” หลี่ชิเย่ไม่ใด้ใส่ใจ
“ผู้อาวุโสรู้จักปฐมบรรพบุรุษของพวกเรา…” ผู้หญิงคนนี้ถึงกับผวา และตกใจจนหวาดหวั่นพรั่นพรึง เมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “ไม่รู้จัก ในเมื่อเนางกล้าแอบส่องชะตาฟ้าก็สมควรทราบว่าข้ามาแล้ว ตำราสวรรค์ที่ฝึกปรือนับว่ามีฝีมืออยู่บ้าง แต่ว่า เบื้องหลังของข้าหาใช่สิ่งที่นางสามารถแอบส่องได้อยู่แล้ว! และหาใช่สิ่งที่พวกเจ้าสามารถพยากรณ์ได้อยู่แล้ว!”
“เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือน มีตาหามีแววไม่” ภายในใจของผู้หญิงหวาดผวา ถึงกับเหงื่อเย็นผุดขึ้นมาตลอดเวลา ความน่ากลัวของหลี่ชิเย่นั้น นางเข้าใจอย่างชัดเจน
“เจ้าไม่นับว่าไร้สมอง เหนือกว่าหลวงจีนเล็กน้อย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียงเฉย
ผู้หญิงคนนี้ยืนก้มหน้ารับฟังคำสั่งสอน ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา กล่าวได้ว่าในเวลานี้หลี่ชิเย่ละเว้นชีวิตนางก็คือความกรุณาอย่างหนึ่ง ในเวลานี้ แม้ว่าชาติกำเนิดของนางจะไม่ธรรมดามากกว่านี้ แม้ว่าผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังของนางแข็งแกร่งมากกว่านี้ เกรงว่าหลี่ชิเย่ก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา นางยังคงไม่ได้แตกต่างอะไรกับมดปลวกเท่าไรในสายตาของเขา
“ในเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญเรื่องการพยากรณ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าพยากรณ์อะไรออกมาได้บ้าง?” หลี่ชิเย่นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้นเพียงมองดูนางแวบหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ได้ทำให้ผู้หญิงคนนี้รู้สึกโล่งอก เมื่อหลี่ชิเย่มองตนเองแวบหนึ่ง นี่คือการโปรดปราน สามารถให้หลี่ชิเย่มองตนได้สักแวบหนึ่งนับว่าไม่ง่ายแล้ว
“เรียนผู้อาวุโส ศิษย์ความรู้ตื้นเขิน ไม่สามารถพยากรณ์ได้โดยประมาณ รู้แต่ว่าอนาคตมืดดำ ไม่สามารถแอบส่องเห็นได้” ผู้หญิงคนนี้รีบเร่งตอบตามความเป็นจริง
“นั่นหาใช่สิ่งที่เจ้ามีสิทธิ์ไปแอบส่องได้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
“ศิษย์รู้สึกละอาย” ผู้หญิงคนนี้รีบกล่าวว่า “ศิษย์ลงเขาในครั้งนี้เพราะคำพูดคำหนึ่งของท่านบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงเข้ามาค้นหาในโลกมนุษย์ปุถุชนธรรมดา หวังผูกกัมมปัจจัย จึงได้ล่วงเกินต่อผู้อาวุโส”
“ฟ้าจะเปลี่ยน คนโหดปรากฎ!” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
“ถูกต้อง ผู้อาวุโส” ผู้หญิงคนนี้รีบเอ่ยขึ้น
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดอย่างไรเล่า?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มขึ้นมา
ผู้หญิงคนนี้ทำท่าลังเลนิดหนึ่ง มองดูหลี่ชิเย่ สุดท้ายก้มหน้าลง และกล่าวว่า “หากฟ้าจะเปลี่ยนไป ตามความเห็นของศิษย์ บางที ผู้อาวุโสก็คือพระเจ้าผู้ช่วยโลก”
“พระเจ้าผู้ช่วยโลก?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “บางที ภายในใจของเจ้าอาจจะคิดว่าข้าก็คือคนโหดคนนั้น”
“บรรพบุรุษทิ้งคำพูดที่เตือนสติเอาไว้ ศิษย์ตื้นเขิน ไม่กล้าคาดเดามากเกิน” ผู้หญิงคนนี้รีบกล่าวว่า “ต่อให้คาดเดา เกรงว่าก็คงแค่สุ่มเท่านั้นเอง”
“ใครคือผู้ช่วยชีวิต ใครคือคนโหด คงไม่สามารถรู้แล้วล่ะ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า ฟ้าจะเปลี่ยน นั่นไม่ผิดจริงๆ ดีไม่ดีแดนลัทธิเซียนจะหายวับไปกับตาในพริบตา นับจากนี้ไม่คงอยู่อีกต่อไป” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เพ่งสายตาไปข้างหน้า
……………………………………………………..