Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2815 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 2815 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์
หลังจากเหยียบย่างเข้าไปในดินแดนของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ทำให้ผู้ใดก็ตาม สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่อาบเอิบอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์
ท่ามกลางดินแดนของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องสว่างผู้บำเพ็ญตนทุกๆ คนอย่างเสมอภาคเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ส่องสว่างอย่างเสมอภาคกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า หรือสิงสาราสัตว์และวิหคนานาชนิด ล้วนแล้วแต่ได้รับการส่องสว่างจากรัศมีแสงสว่างอย่างเสมอภาค
ด้วยเหตุที่รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานความสุขให้กับผู้คนทั้งอาณาจักร ส่งผลให้ทั่วทั้งหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่เสมือนหนึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สูงสุด การอาศัยอยู่ ณ ที่ตรงนี้จะห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ห่างไกลจากความทุกข์ยาก
กล่าวโดยอาศัยตัวอย่างที่ง่ายที่สุด ประชาชนธรรมดา อาณาประชาราษฎร์ทั่วไปที่ถือกำเนิดอยู่ในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ พวกเขามีอายุขัยยืนยาวยิ่งกว่า มีโรคภัยไข้เจ็บน้อยกว่า และมีความทุกยากที่น้อยกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประชาชนธรรมดา อาณาประชาราษฎร์ทั่วไปที่อาศัยอยู่ในสถานที่อื่นๆ
ตัวเปรียบเทียบที่ง่ายที่สุดก็คือเมืองล้างบาป เมืองล้างบาปก็คือสถานที่ที่รัศมีแสงไม่สามารถส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ขณะที่ประชาชน และมนุษย์ปุถุชนทั่วไปของสถานที่อื่นๆ ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ อายุขัยของพวกเขาก็จะยืนยาวกว่าประชาชน และมนุษย์ปุถุชนทั่วไปของเมืองล้างบาป
เมื่อพูดถึงเรื่องของน้ำดื่ม น้ำในแม่น้ำลำคลองของสถานที่อื่นๆ ในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่มีรสชาติที่หวานหอมกว่าน้ำในแม่น้ำลำคลองของเมืองล้างบาป มีประโยชน์ต่อสุขภาพของร่างกายยิ่งกว่า
กล่าวได้ว่า แสงสว่างของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ในทุกๆ ด้าน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้รับประทานความสุขจากพลังของแสงสว่าง มีเพียงเมืองล้างบาปที่ได้รับการยกเว้น
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้คนจำนวนมากในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นเพียงประชาชนธรรมดาทั่วไป พวกเขาก็มองว่าตนเองนั้นสูงส่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองล้างบาป เหมือนว่าพวกเขาคือลูกรักของสวรรค์
แน่นอน รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคก็ได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ในทุกๆ ด้าน ยกตัวอย่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกปรือ พลันที่พวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาก็เลื่อมใสศรัทธาในความสว่าง ประจบต่อความสว่าง
ดังนั้น ประชาชนที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ จะใช้เวลาจำนวนมากไปกับการศรัทธาต่อความสว่าง แหงนหน้าและแสดงคารวะต่อความสว่าง และหากว่ากันด้วยเรื่องมาตรฐานความเป็นอยู่ ประชาชนที่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็จะสูงกว่าที่อื่นๆ ที่นี่คือสถานที่ที่มาตรฐานด้านคุณธรรมสูงกว่าสถานที่อื่นๆ
เฉกเช่นเมืองล้างบาป ซึ่งเป็นเมืองที่ธรรมดามากๆ เมืองหนึ่ง ซึ่งไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ พ่อค้าและเจ้าหน้าที่รัฐผู้ต่ำต้อยที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ แต่ว่า หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นที่สถานที่อื่นๆ ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ก็จะถูกผู้คนเหยียดหยามและไม่ใยดี
ดังนั้น เฉกเช่นประเพณีปฏิบัติทั่วไปเช่นนี้ของเมืองล้างบาป จะถูกผู้คนของสถานที่หลายๆ แห่งในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มองว่าเป็นการใฝ่ต่ำ และมีชีวิตที่ตกต่ำชั่วร้าย
ความจริงแล้ว เมืองล้างบาปก็ไม่ได้มีความชั่วร้ายอะไร เพียงแต่ สถานที่ผื่นฟ ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่ถูกรัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ประชาชนของสถานที่เหล่านั้นได้รับการปฏิบัติที่ดีมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงส่งผลให้สถานที่หลายแห่งในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์มองเมืองล้างบาปว่าเป็นที่ที่ตกต่ำ และดูแคลนต่อเมืองล้างบาป
แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งแล้ว การที่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดที่จะไปตำหนิได้ และไม่มีสิ่งใดสามารถท้าทายได้ กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้ว การที่ศรัทธาและประจบต่อความสว่างเพียงหนึ่งเดียวเช่นนี้ เป็นเรื่องของนานาจิตตัง ต่างจิตต่างใจแล้วล่ะ
แน่นอน กล่าวสำหรับนักศึกษาจำนวนมากบนเรือแล้ว พวกเขาย่อมใฝ่ฝันในสถานที่ที่รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ภายในใจของพวกเขา เฉกเช่นสถานที่ที่รัศมีแสงสว่างส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค มันเสมือนหนึ่งเป็นดินแดนแห่งความสุขบนโลกมนุษย์อย่างนั้น สามารถอาบเอิบภายใต้แสงสว่างที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ทุกเวลา มันช่างเป็นเรื่องที่ผู้คนอยากโน้มเข้าหาเหลือเกิน
ดังนั้น เมื่อนักศึกษาจำนวนมากนึกถึงเมืองล้างบาปของตนเองแล้ว ถึงกับสลดจนหน้าถอดสี
ลักษณะท่าทางต่างๆ นานาเช่นนี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในสายตาของตู้เหวินรุ่ยทั้งหมด เขาเองก็รู้ว่า ในอนาคตเมื่อนักศึกษาเหล่านี้เติบใหญ่แล้ว ก็จะทยอยกันไปจากสถาบันศึกษา ไปจากเมืองล้างบาป และไปทำมาหากินด้วยตนเอง สร้างอาณาจักรที่เป็นของตนเอง แต่ว่า เกรงว่านักศึกษาเหล่านี้จะไม่กลับมาที่เมืองล้างบาปอีกแล้ว ต่อให้มีคนที่กลับมาก็คงไม่กี่คนเท่านั้น
สิ่งนี้ใช่จะเป็นการคาดเดาของตู้เหวินรุ่ยเอง เนื่องจากเขาในฐานะอธิการบดี เขาเคยส่งนักศึกษาจากไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ชินชากับผลที่จะออกมลักษณะเช่นนี้
ตู้เหวินรุ่ยไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับผลในลักษณะเช่นนี้ เขาได้แต่ฝากความอวยพรใ จะอย่างไรเสียทุกคนย่อมมีปณิธานที่เป็นของตนเอง เขาไม่สามารถบังคับให้นักศึกษาเหล่านี้ หลังจากที่สำเร็จการศึกษาแล้วให้ยังคงรั้งอยู่ในเมืองล้างบาปต่อไป และอุทิศให้กับเมืองล้างบาป หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ เป็นการเห็นแก่ตัวมากเกินไปแล้ว
สิ่งนี้ก็เป็นการไม่ปฏิบัติตามความปรารถนาดั้งเดิมในการรั้งอยู่ที่สถาบันศึกษาล้างบาปของตน สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือส่งตัวนักศึกษาเหล่านี้ออกไป ให้พวกเขาได้โบยบินไปยังท้องฟ้าสูง ต้านลมสู้คลื่น ส่วนอนาคตพวกเขาจะเลือกไปอยู่ที่ที่ห่างไกล หรือเลือกที่จะคงอยู่ในเมืองล้างบาป ตู้เหวินรุ่ยเคารพในการเลือกของพวกเขา
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ สำหรับเรื่องราวตรงหน้าต่างๆ นานา กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “คนบางคนแม้ไม่ใช่ปราชญ์ แต่ความยิ่งใหญ่ของเขาไม่แพ้ผู้เป็นปราชญ์”
ตู้เหวินรุ่ยเพียงเผยรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไร ยังคงควบคุมเรือบินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่สุดจะเทียบเทียม
ระยะทางจากเมืองล้างบาปอยู่ห่างจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไกลมาก แต่ว่า ภายใต้เรือของตู้เหวินรุ่ยที่บินได้อย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ สิบกว่าวันก็บินเข้าไปบริเวณของภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ระหว่างทาง พวกของจ้าวชิวสือได้มองเห็นต่างๆ นานาตลอดทาง การไปยังเขาศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้นับว่าเป็นบุญตาของพวกเขา เรียกได้ว่าเป็นการเปิดหน้าต่างบานหนึ่งให้กับพวกเขา
เมื่อเรือบินไปถึงเขาศักดิ์สิทธิ์นั้น เมื่อทอดสายตามองออกไป เห็นเพียงหิมะขาวสะอาดข้างหน้า ไม่ นั่นไม่ใช่หิมะสีขาว เมื่อดูให้ระเอียดก็จะพบว่าที่รวมตัวกันบนกลุ่มของยอดเขาคือแสงสว่าง เสมือนหนึ่งสามบุปผาเหนือศีรษะ ดังนั้นเมื่อมองจากระยะห่างไกลจึงเหมือนเป็นหิมะขาวอย่างนั้น
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เป็นผืนแผ่นดินที่กว้างขวางมาก ที่ตรงนี้มองเห็นเทือกเขาที่ทอดยาวสลับ สูงตระหง่านเทียมฟ้า โดยมีภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
เมื่อเปรียบกับสถานที่อื่นๆ ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีประกายศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรงอย่างที่ทุกคนจินตนาการ และหรือรัศมีแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค
ที่ตรงนี้ ประกายศักดิ์สิทธิ์ก็ดี แสงสว่างก็ช่าง ล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นหิมะที่ทับถมและน้ำฝน พวกมันได้ชโลมเข้าไปในดินทำการหล่อเลี้ยงเทือกเขาแห่งนี้ พลังจรัสที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ลอยล่องอยู่บนพื้นผิวอีกต่อไป
ดังนั้น เมื่อมองจากระยะห่างไกล จึงเหมือนดั่งมองเห็นเป็นภูเขาหิมะอย่างนั้น และภาพลักษณะเช่นนี้สามารถมองเห็นได้จากบนท้องฟ้าเท่านั้น นั่นเป็นเพราะแสงสว่างรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น เหมือนเป็นหิมะที่ทับถมอยู่ตรงนั้น
ด้วยเหตุที่พลังจรัสที่อยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้หลับกลายเสมือนหนึ่งเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงที่มีขนาดเล็กและไร้เสียง ทำให้ทุกคนหลังจากมาถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว ความรู้สึกก็คือไม่สามารถรับรู้ได้ถึงพลังรัศมีแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาคแบบนั้นอีกแล้ว ปราศจากความรู้สึกที่รัศมีแสงสว่างมีอยู่ทุกที่แบบนั้น
ความจริงแล้ว ขอเพียงผู้ที่แข็งแกร่งจนยืนอยู่บนจุดสูงสุด ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าใต้พื้นดินของภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ซ่อนพลังจรัสที่ยิ่งใหญ่มหาศาลและไม่มีขอบเขตสิ้นสุดเอาไว้ ภายใต้ผืนแผ่นดินผืนนี้ พลังจรัสเสมือนหนึ่งเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลอย่างนั้น พร้อมที่จะร้องคำรามและวิ่งห้ออยู่ใต้พื้นดินตลอดเวลา ขณะที่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งลูกเป็นเพียงผืนแผ่นดินที่ค้ำยันแผ่นดินที่เต็มไปด้วยทะเลจรัสเท่านั้น
กล่าวได้ว่า เมื่อท่านสามารถรับรู้ได้ถึงพลังจรัสที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็จะพบว่า พลังศักดิ์สิทธิ์ใต้พื้นดินจะเหนือกว่าทุกๆ ที่ในหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่า ต้นกำเนิดสัจธรรมของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ใต้พื้นดินของภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
เมื่อเรือไปถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์นั้น นักศึกษาจำนวนมากต่างมองด้วยความงงงัน เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นภูเขาแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกที่ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นแผ่นดิน มีความยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลิ่นอายที่ภูเขาแต่ละลูกโชยเข้ามาปะทะใบหน้า ยิ่งทำให้สิ่งที่ผู้คนรู้สึกก็คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกที่พุ่งเข้ามาปะทะโดยตรงอย่างนั้น
หลังจากที่เรื่องพวกเขามาถึงแล้ว ได้มีผู้คนจำนวนมากก็ได้มาถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วเช่นกัน ไม่เพียงมีนักศึกษาจากสถาบันศึกษาล้างบาปของพวกเขาเท่านั้นที่มายังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ สถาบันศึกษาอื่นๆ ของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็มีนักศึกษายอดฝีมือไม่น้อยที่รุดมายังภูเขาศักดิ์สิทธิ์
นักศึกษาที่มาจากสถาบันศึกษาอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาที่แข็งแกร่งและมีความยอดเยี่ยมโดดเด่นมากที่สุด กระทั่งบางส่วนในนั้นได้กลายเป็นราชันแท้จริงหรือเทพแท้จริงขั้นอมตะ กระทั่งเป็นขั้นอมตะตลอดกาล
กล่าวได้ว่า ผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นนี้คือผู้ที่อยู่ในฐานะสูงเด่น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในฐานะนักศึกษาของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่า พวกเขาได้มีอำนาจสูงสุดในครอบครองแล้ว
เมื่อนักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปเปรียบเทียบกับนักศึกษาเหล่านนี้แล้ว ดูจะไม่สามารถอวดได้ แม้ว่าจ้าวชิวสือจะเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นมากที่สุดของสถาบันศึกษาแล้ว
แต่ว่า เมื่อเปรียบกับสถาบันศึกษาอื่นๆ แล้ว โดยเฉพาะเฉกเช่นสถาบันศึกษาเป่ยเยี่ยนที่เป็นประเภทสี่สถาบันศึกษาใหญ่แล้ว พวกเขายิ่งดูสลดและอับแสงแล้ว
ในเวลานี้ มีเรือบินแต่ละลำที่บินก้าวข้ามท้องฟ้าเข้ามา เรือบินแต่ละลำเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้แสดงสัญลักษณ์ของสถาบันศึกษาแต่ละแห่งบนตัวของเรือบิน โดยเรือบินแต่ละลำล้วนแล้วแต่แตกต่างกัน แต่สามารถมองออกว่าเรือบินแต่ละลำเหล่านี้มีประกายวิเศษที่วูบวาบ รัศมีแสงสว่างที่ส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค มีความโอ่อ่าอย่างยิ่ง
และมีนักศึกษาบางคนที่ขับและควบคุมของวิเศษมาเอง มองเห็นนักศึกษาที่ยืนอยู่บนกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขนาดยักษ์ ประกายกระบี่ที่กระจายอยู่บนท้องฟ้าเป็นพันลี้ ด้านหลังของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์มีพู่ที่สีสันงามตาเจิดจ้าลากเป็นหางยาว ละลานตาอย่างยิ่ง ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับหวั่นไหวสิ่งนี้
มีนักศึกษาที่ขี่สัตว์ประหลาดมา ได้ยินเสียงคำรามดังฮือ มองเห็นบนท้องฟ้าปรากฏช้างวิเศษที่เหินฟ้าเข้ามา โดยช้างวิเศษได้ส่งประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เสมือนดั่งแสงจันทร์ออกมาวูบวาบ บนหลังมีหอศักดิ์สิทธิ์อยู่หลังหนึ่ง เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็ก้าวเข้าไปภายในภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว
และมีนักศึกษาที่เหินฟ้าเข้ามา ซึ่งนักศึกษาที่เหินฟ้าเข้ามานั้นจะมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก อายุยังน้อยก็อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะแล้ว ก้าวเท้าก้าวเดียวก็คือหนึ่งอาณาจักร มีวงแหวนศักดิ์สิทธิ์ครอบไว้ทั้งตัว ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เสมือนดั่งเปลวเพลิงเซียนที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้วยหนึ่งก้าวหนึ่งอาณาจักร เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ถึงภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว
อาศัยอำนาจลักษณะเช่นนี้ ทำให้บรรดานักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปยืนมองตาค้างพูดอะไรไม่ออก เนื่องจากนักศึกษาอย่างเช่นพวกเขาล้วนแล้วแต่เบียดเสียดมาในเรือลำเดียว อีกทั้งเรือของอธิการบดีก็ไม่ได้โอ่อ่าตระการตาเหมือนเรือวิเศษเหล่านั้นที่มีประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบ เมื่อเปรียบเทียบกับเรือวิเศษเหล่านั้นแล้ว เรือของอธิการบดีพวกเขาดูจะอัปลักษณ์มากเหลือเกิน
ยิ่งไปกว่านั้น นักศึกษาเหล่านี้ยังมีอายุอานามพอๆ กับพวกเขา แต่กลับไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเขากี่เท่าตัว ไม่รู้ว่าดูสง่างามมากกว่าพวกเขาเท่าไร
ไม่ว่าจะเป็นด้านการแต่งตัว หรือด้านท่าทางของพวกเขา ล้วนแล้วแต่เทียบไม่ได้กับนักศึกษาคนอื่นๆ เลย
ถ้าหากจะบอกว่านักศึกษาของสถาบันศึกษาอื่นๆ คือพวกคหบดีล่ะก็ นักศึกษาของสถาบันศึกษาล้างบาปก็เป็นได้เพียงยาจกที่นั่งขอทานตามถนนเท่านั้นเอง
ในเวลานี้ ทำให้นักศึกษาสถาบันศึกษาล้างบาปต่างรุ้สึกอับอาย และหมกตัวตามมุมอับโดยสัญชาตญาณ ไม่มีท่าทางที่เชิดหน้ายืดอกด้วยความมั่นใจ
ตู้เหวินรุ่ยถึงกับทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ เมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว สถาบันศึกษาล้างบาปจะอย่างไรเสียก็คือสถานที่เล็กๆ ส่งผลให้นักศึกษาไม่มีท่าทีที่ยิ่งใหญ่