Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2905 ทะเลแสงสว่าง
ตอนที่ 2905 ทะเลแสงสว่าง
ลึกเข้าไปในนั้น คือหุบเหวลึกที่ไม่มีสิ้นสุด เสมือนดั่งมองไม่เห็นก้นเหวอย่างนั้น ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ไม่ว่าใครก็ตามหากตกลงไปในหุบเหวลึกที่ไม่มีสิ้นสุดนี้แล้ว ก็จะขึ้นมาไม่ได้อีกเลย
หลี่ชิเย่ยืนอยู่ตรงนั้นและกระโดดลงไป เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น คล้ายกลับกลายเป็นดาวตกอย่างนั้น หายไปท่ามกลางความมืดของหุบเหวลึกนั่น
การตกลงไปด้วยความเร็วที่ถึงขั้นปราศจากสิ่งใดเทียบเทียมเช่นนี้ ในระหว่างขั้นตอนที่ตกลงไปนั้น ไม่ทราบว่าได้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุด เท้าสองข้างของหลี่ชิเย่ก็ถึงพื้น ถึงที่หมายได้แล้วในที่สุด
ที่ตรงนี้คือส่วนที่ลึกที่สุดของภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ความจริงแล้วมันคือส่วนที่ลึกที่สุดของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดอีกด้วย
คิดจะมาให้ถึงที่ตรงนี้นั้น ใช่ว่าคนปรกติทั่วไปสามารถทำได้อยู่แล้ว แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นราชันแท้จริงก็ไม่แน่ว่าจะมาถึงตรงนี้ได้
สถานที่ตรงนั้นปรากฏความสว่างที่วูบวาบขณะยังไม่ทันได้ก้าวเดินเข้าไป ขณะก้าวเดินเข้าไปนั้น ก็ได้พบเห็นทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอยู่ตรงหน้า
ที่นี่คือทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งซ่อนอยู่ลึกๆ ใต้ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ โดยที่ทะเลแห่งนี้กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตไม่มีสิ้นสุด เหมือนว่าเจ้าไม่มีทางไปให้ถึงสุดปลายทางของทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้อย่างนั้น
สิ่งที่สร้างความหวั่นไหวให้กับผู้คนมากที่สุดก็คือ ทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลตรงหน้ามันคือทะเลแสงสว่าง หรือจะกล่าวว่านี่มันหาใช่ทะเลอะไรอยู่แล้ว แต่เป็นบริเวณที่พลังจรัสของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดมารวมกันอยู่ที่ตรงนี้ ทะเลกว้างใหญ่ไพศาลที่เห็นอยู่ตรงหน้าหรือก็คือต้นกำเนิดสัจธรรรมของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
เกรงว่าภาพเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่พบเห็นก็ต้องรูสึกว่าเหลือเชื่อ ล้วนแล้วแต่รู้สึกว่ามันสร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเหลือเกิน ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งถึงกับใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ เกรงว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถจินตนาการได้กระมัง
ความจริงแล้ว พลังจรัสที่มารวมตัวกันอยู่ในต้นกำเนิดสัจธรรมแห่งนี้ มันหาใช้พลังจรัสที่เป็นของปราชญ์ไกลกันดารเพียงผู้เดียวเหลือทิ้งเอาไว้เท่านั้น แต่เป็นปรัชญาเมธี ยอดฝีมือ กระทั่งอาณาประชาราษฎร์นับล้านล้านของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รวบรวมเอาไว้ในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา
กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจำนวนมากแล้ว จากการที่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิหนึ่งได้พัฒนาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเสื่อมโทรมลง จากนั้นก็จะตามติดด้วยพลังต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินั้นเหือดแห้งไปทั้งหมด
ขณะที่ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิจรัสกลับแตกต่างจากผู้อื่น ขอเพียงเจ้าเป็นราษฎรของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาจรัสหรือไม่ก็ตาม แต่ว่า เจ้าเลื่อมใสศรัทธาในแสงสว่าง จากการที่เจ้ามีความเลื่อมใสศรัทธายิ่งลึกซึ้งมากเท่าใด เช่นนั้นแล้วพลังจรัสที่มีอยู่ในตัวก็จะมากยิ่งขึ้น ครั้นหลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว พลังจรัสของเจ้าก็จะกลับกลายเป็นของผืนแผ่นดิน โดยเฉพาะประชาชนที่ถวายตัวเป็นศิษย์ให้กับความสว่าง เมื่อเขาละสังขารในท่านั่งกรรมฐานแล้ว พลังสรัสทั้งหมดก็จะกลับคืนให้กับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิโดยไม่มีการเหลือเอาไว้แม้แต่น้อย และไปรวมอยู่ในต้นกำเนิดสัจธรรม
นี่ก็คือเหตุผลว่า เพราะอะไรบริเวณลึกเข้าไปในภูเขาศักดิ์สิทธิ์จึงสามารถมองเห็นบรรดาผู้ที่ละสังขารในท่านั่งกรรมฐานจึงมีท่าทีที่เงียบสงบ เพราะว่าพวกเขาได้ถวายตัวให้กับความสว่าง ก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาคิดว่าตนเองนั้นได้คงอยู่คู่กับความสว่าง มีต้นกำเนิดเดียวกันกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ดังนั้น ขณะที่พวกเขาละสังขารในท่านั่งกรรมฐานจึงมีลักษณะที่เงียบสงบ โดยพวกเขามองว่า พวกเขาเสมอด้วยอายุขัย และถือกำเนิดพร้อมกันกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ
สิ่งนี้คือสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุดของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพยายามมาชั่วชีวิต ได้รับโชคชะตาที่ฟ้าดินประทานมาให้ แต่ทว่า เมื่อเจ้าถวายตัวเป็นสาวกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลับคืนสู่ความสว่าง และไปรวมอยู่ในต้นกำเนิดสัจธรรม
พูดแบบไม่เกรงใจก็คือ ขณะที่เจ้าตาย ต้นกำเนิดสัจธรรมของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ก็จะรีดทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้าจนแห้ง พลังลมปราณชั่วชีวิตของเจ้า โชคที่ได้รับการประทานมาจากฟ้าดินของเจ้า พลังวัตรชั่วชีวิตของเจ้า ล้วนแล้วแต่กลายเป็นความสว่างในท้ายที่สุด และไหลไปรวมตัวกันอยู่ในต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหอจรัสศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้น จะไปโทษกระบือดำขนาดใหญ่ที่หัวเราะเยาะปราชญ์ไกลกันดารตลอดมาก็ไม่ถูก เห็นว่าปราชญ์ไกลกันดารก็คือสุภาพบุรุษจอมปลอมคนหนึ่ง เยาะเย้ยปราชญ์ไกลกันดารคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะความมืดที่แท้จริง
ครั้นเข้าใจถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของต้นกำเนิดสัจธรรมหอจรัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็จะเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรกระบือดำขนาดใหญ่ถึงได้เชิดใส่ปราชญ์ไกลกันดารเช่นนี้
แน่นอนที่สุด การที่ปราชญ์ไกลกันดารสามารถมีโชคที่ได้รับการประทานมาจากฟ้าดินเช่นนี้ได้ ก็นับว่าเขามีจุดที่ฝืนลิขิตสวรรค์โดยแท้จริง และมีความปราดเปรื่องน่าทึ่งของเขาจริงๆ เพียงแต่ผู้ที่อยู่ในระดับสุดยอดบางคนไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ของปราชญ์ไกลกันดารเท่านั้น
ลองนึกภาพดู หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ในพันล้านปีที่ผ่านมาเคยมีอาณาประชาราษฎร์มาแล้วเท่าใด มีชีวิตจำนวนเท่าใด ขณะที่ชีวิตเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เลื่อมใสศรัทธาในความสว่าง เมื่อพวกเขาตายไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับคืนเป็นของความสว่าง ท้ายที่สุดก็ไปรวมตัวกันอยู่ในต้นกำเนิดสัจธรรมของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์
นี่คือตัวเลขที่มหาศาลไม่สามารถนับได้ ด้วยเหตุนี้เอง ในพันล้านปีที่ผ่านมาจึงมีประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถวายทุกสิ่งทุกอย่างของตนแล้ว จึงได้รวบรวมกลายเป็นต้นกำเนิดสัจธรรมหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ดูไปแล้วคล้ายเป็นทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตาอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ยืนอยู่ด้านหน้าทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล ยิ้มนิดหนึ่งแล้วเหินฟ้าขึ้นไป ก้าวข้ามทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตนี้ไป
ทะเลต้นกำเนิดสัจธรรมที่รวบรวมความสว่างไม่มีสิ้นสุดนี้ไร้ขอบเขต เหมือนว่าต่อให้พยายามชั่วชีวิตก็ไม่สามารถก้าวข้ามแม่น้ำที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขตนี้ไปได้
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางทะเลแสงสว่างลักษณะเช่นนี้ใช่ว่าจะคลื่นลมสงบ ปรากฏพายุโหมคลื่นสูงกระหน่ำอยู่ทุกที่ บางแห่งมีคลื่นที่โหมสาดซัด ขณะที่เกิดคลื่นยักษ์ที่โหมสาดซัดนั้น พุ่งปะทะไปถึงท้องฟ้าและกวาดเอาท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวลงมาได้อย่างนั้น ด้วยพายุความสว่างที่น่าสยองขวัญเช่นนี้ เป็นที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงแก่ผู้พบเห็น
แต่ว่า ไม่ว่าทะเลแสงสว่างนี้จะกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด ไม่ว่าพายุความสว่างจะดุดันเช่นใด ทั้งหมดล้วนขวางจังหวะการก้าวย่างของหลี่ชิเย่ไม่ได้ กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความยากแต่อย่างใดทั้งสิ้น
ท่ามกลางทะเลแสงสว่างเช่นนี้ หลี่ชิเย่ก้าวข้ามจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่ง ก้าวข้ามทะเลที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ก้าวผ่านพายุที่ร้องคำราม สุดท้าย มาถึงต้นน้ำของทะเลแสงสว่างนี้
ตึง…ตึง…ตึง…ขณะที่หลี่ชิเย่ยังไม่ทันถึงยังต้นน้ำของทะเลแสงสว่างนี้ ก็ได้ยินเสียงตึง ตึง ตึงมาแต่ไกล เสียงลักษณะเช่นนี้ขณะได้ยินจากระยะไกลมันก็เหมือนเสียงหัวใจเต้นอย่างนั้น โดยที่เสียงหัวใจเต้นลักษณะเช่นนี้มีท่วงทำนองและจังหวะจะโคนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินเสียงหัวใจเต้นตึง ตึง ตึงเช่นนี้ ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าเสียงหัวใจเต้นแบบนี้คือเสียงเต้นของหัวใจที่แข็งแรงมาก
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้ไปถึงต้นกำเนิดทะเลแสงสว่างแล้ว นั่นก็คือหัวใจแห่งแสงสว่างดวงหนึ่ง!
เฉกเช่นสามารถได้ยินเสียงเต้นของหัวใจดังตึง ตึง ตึงมาแต่ไกลอย่างนั้น เมื่อไปถึงต้นกำเนิดของทะเลแสงสว่างแล้ว มันเป็นเสียงเต้นของหัวใจดวงหนึ่งจริงๆ เสียงเต้นของหัวใจที่ได้ยินเมื่อครู่ก็มาจากมันนั่นเอง
หัวใจดวงนี้แตกต่างกับหัวใจของคนปรกติทั่วไป โดยหัวใจดวงนี้ประณีตงดงามและโปร่งแสง หัวใจดวงนี้ก็เหมือนก่อตัวขึ้นมาจากแสงสว่างที่หาที่สุดไม่ได้ เหมือนอาศัยแสงสว่างทั้งหมดบนโลกมาบีบอัดให้กลายเป็นหัวในลักษณะเช่นนี้อย่างนั้น ลำพังแค่หัวใจดวงนี้ดวงเดียวก็ได้หลอมรวมความสว่างจากทั่วโลกเอาไว้
จังหวะที่หัวใจแห่งแสงสว่างเต้นตึง ตึง ตึงนั้น จากการที่หัวใจบีบและคลายตัว มันกำลังหายใจเอาความสว่าง และคายความสว่างอยู่
เหมือนว่า หัวใจแห่งแสงสว่างดวงนี้กำลังหายใจเอาพลังจรัสอยู่ แต่ว่า เมื่อมันดูดเอาพลังจรัสเข้าไปแล้ว พลังจรัสที่คายออกมาก็จะมีความบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ร้อนแรงเจิดจรัสมากขึ้น เหมือนว่าพลังจรัสที่ถูกมันหายใจดูดเข้าไปนั้น ล้วนแล้วแต่ ผ่านการเจียระไนมาอย่างดีจากหัวใจแห่งแสงสว่างดวงนี้
แต่ว่า พูดไปแล้วแปลกมาก จังหวะที่พลังจรัสดวงนี้หายใจเข้าออก ถึงกับมีความมืดสายหนึ่งหมุนตามหัวใจแห่งแสงสว่าง โดยที่พลังความมืดสายนี้ดุจดั่งเป็นสายพานเส้นหนึ่งที่หมุนรอบหัวใจแห่งแสงสว่างด้วยตนเองรอบแล้วรอบเล่า
ภาพลักษณะเช่นนี้ ดูไปแล้วเหลือเชื่อยิ่งจริงๆ สมควรทราบว่า ที่นี่คือโลกแห่งความสว่าง กล่าวได้ว่า ภายในต้นกำเนิดสัจธรรมได้รวบรวมพลังจรัสที่แข็งแกร่งและปราศจากผู้ต่อกรมากที่สุดในหล้าเอาไว้
ลองนึกภาพดู ภายใต้พลังจรัสที่ยิ่งใหญ่ไพศาลไม่มีสิ้นสุดเช่นนี้ พลังความมืดสายนี้นับเป็นอะไรได้? ไร้ค่าที่จะกล่าวถึงอยู่แล้ว เพียงทะเลแสงสว่างก่อเกิดคลื่นความสว่างยักษ์ที่โหมสาดซัดลูกหนึ่ง ก็สามารถจัดการเผาไหม้พลังความมืดสายนี้จนสิ้นซาก
แต่ว่าพูดไปก็แปลก ท่ามกลางทะเลแสงสว่างนี้ พลังจรัสกลับไม่มีความคิดที่จะเผาทำลายพลังความมืดให้สิ้นซากแม้แต่น้อย
อีกทั้งพลังความมืดขณะเคลื่อนที่วนรอบหัวใจแห่งแสงสว่างนั้น ถึงกับวิ่งไล่ไม่ยอมจากไปไหน ภาพเช่นนี้ก็คล้ายดั่งเป็นต่างเพศไล่ติดตามคนรักของตนเองอย่างนั้น ไม่ห่างไม่ทอดทิ้ง และไม่ทอดทิ้งตลอดกาล
สมควรทราบว่า ความสว่างและความมืดนั้นอยู่ร่วมโลกไม่ได้ เมื่อฝ่ายหนึ่งแข็งแกร่งมากพอต้องทำลายอีกฝ่ายอย่างแน่นอน ขณะที่ฝ่ายหยึ่งอ่อนด้อยต้องหลีกหนีให้ไกลจากฝ่ายที่แข็งแกร่งแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้พลังความมืดสายนี้เรียกได้ว่าอ่อนด้อยจนสามารถมองข้ามไปได้เมื่อเทียบกับหัวใจแห่งแสงสว่าง กระทั่งภายใต้พลังจรัสที่ไม่มีสิ้นสุดนี้ ขอเพียงมีคลื่นความสว่างเล็กน้อยก็สามารถเผาทำลายมันจนไม่เหลือกซาก
แม้จะมีความอันตรายเช่นนี้ก็ตาม แต่ว่า พลังความมืดสายนี้ยังคงหมุนวนไปรอบๆ หัวใจแห่งแสงสว่างไม่ห่าง เหมือนแมลงเม่าวิ่งเข้าหากองไฟอย่างนั้น
ไม่ว่าใครที่ได้เห็นภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
“ว้าวปรากฎการณ์ที่ประหลาดมาก” หลี่ชิเย่เองก็อดที่จะทอดถอนใจขึ้นมาบ้าง เมื่อมองเห็นภาพตรงหน้า
ในเวลานี้ นัยน์ตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ที่เบิ่งตามองออกไป ด้วยแววตาที่เจิดจ้ายิ่งนัก เสมือนดั่งก้าวข้ามอดีตปัจจุบันอย่างนั้น พริบตาเดียวนั่นเอง สายตาของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งทะลุผ่านทุกสิ่งทุกอย่าง และส่องไปยังหัวใจแห่งแสงสว่างในทันที
นาทีนี้หัวใจแห่งแสงสว่างก็เหมือนรับรู้ได้ถึงสายตาที่น่ากลัวของหลี่ชิเย่ มันหดตัวนิดหนึ่ง แต่ทว่า ตามติดด้วยการเต้นดังตึง ตึง ตึง จังหวะจะโคนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเต็มไปด้วยท่วงทำนองเหมือนเดิม
เวลานี้นาทีนี้ หัวใจแห่งแสงสว่างภายใต้สายตาของหลี่ชิเย่ยังคงไม่สะทกสะท้านอะไรอย่างนั้น เหมือนว่ามันมีความบริสุทธิ์เปิดเผยเช่นนี้เองแหละ ไม่มีวัตถุประสงค์ใดๆ ที่ให้ผู้อื่นรับรู้ไม่ได้อย่างนั้น
ในขณะนี้ สายตาของหลี่ชิเย่ได้ทะลุผ่านหัวใจแห่งแสงสว่าง ปราศจากกลอุบายใดๆ ที่จะปิดบังซ่อนเร้น และไม่มีสิ่งใดสามารถหลบหนีการพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดจากสายตาของหลี่ชิเย่ไปได้
ขณะที่สายตาของหลี่ชิเย่ทะลุผ่านหัวใจแห่งแสงสว่างนั้น จึงมองเห็นหัวใจแห่งแสงสว่างดวงนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นี่ไม่เพียงเป็นแค่หัวใจแห่งแสงสว่างดวงหนึ่งเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นยังเป็นหัวในที่รู้แจ้งดวงหนึ่งอีกด้วย
ในที่สุด หลี่ชิเย่ได้พยักหน้าเมื่อเห็นภาพนี้แล้ว
“ไม่ว่ากลอุบายของเจ้าเป็นเช่นใด เมื่อถึงที่สุดแล้ว ปราชญ์ไกลกันดารยังคงทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยสัญชาตญาณของตนเอาไว้ ทิ้งความรู้แจ้งเกี่ยวกับความสว่างของตนเอาไว้ ขณะที่เขาทิ้งหัวใจแห่งแสงสว่างเอาไว้นั้น หันหลังกลับคืนสู่ความมืด เขาไปได้อย่างสุดๆ โดยทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยสัญชาตญาณของตนเอาไว้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
“บางที การที่เขาทิ้งความรู้สึกผิดชอบชั่วดีโดยสัญชาตญาณของตนเอาไว้ก็เพื่อต้องการให้ด้านมืดของตนถึงแก่นมากยิ่งขึ้น บางที เขาคาดหวังตนเองหลังจากที่เป็นความมืดอย่างแท้จริงไปแล้ว บางทีหลังจากที่เมฆหมอกจางหายไปแล้ว สามารถทิ้งร่องรอยของตนเล็กน้อยบนโลกใบนี้ ทิ้งมรดกที่สามารถสืบทอดกันได้ให้กับชนรุ่นหลัง” หลี่ชิเย่รู้สึกปลงอนิจจัง และส่ายหน้าเบาๆ
…………………………………………………