Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2906 มรดกของปราชญ์ไกลกันดาร
ตอนที่ 2906 มรดกของปราชญ์ไกลกันดาร
ไม่ว่าปราชญ์ไกลกันดารจะคิดอย่างไรก็ตาม แต่ว่า ตอนนั้นเขาได้ทิ้งความรู้แจ้งของตนเอาไว้จริงๆ ทิ้งหัวใจแห่งแสงสว่างดวงนี้เอาไว้
นี่เป็นการกระทำที่บริสุทธิ์ยิ่ง ณ ที่ตรงนี้ ไม่ได้มีทางหนีทีไล่ใดๆ จริงๆ และหรือจะบอกว่าไม่มีแผนการชั่วร้ายใดๆ
การที่ปราชญ์ไกลกันดารได้ทิ้งความรู้แจ้งเช่นนี้เอาไว้ ทิ้งหัวใจแห่งแสงสว่างเช่นนี้เอาไว้ เขาทำเพื่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้โดยแท้จริง และหรือสิ่งนี้ก็คือมรดกเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถทิ้งเอาไว้ให้กับชนรุ่นหลัง
ไม่ว่ากลอุบายของปราชญ์ไกลกันดารเป็นเช่นใด เฉกเช่นคำพูดของผู้เฒ่าสลักหินที่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เป็นวิธีการที่ไม่ปรกติ แต่ว่า สามารถมั่นใจได้ก็คือ ขณะที่เขาทิ้งหัวใจแห่งแสงสว่างดวงนี้ไว้นั้น เขามีใจในกุศลกรรมอย่างแท้จริง ที่เขาทำเช่นนี้ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง และไม่ได้ทำเพื่อสามารถย้อนกลับมาได้อีกในชาติใดชาติหนึ่ง
แม้จะกล่าวว่า เป็นความจริงที่ปราชญ์ไกลกันดารได้ทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ และมีเจตนาที่เห็นแก่ตัวเอาไว้ในตำหนักใหญ่ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั้น
แต่ว่า ในต้นกำเนิดสัจธรรมที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทีมของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ เป็นความจริงที่ปราชญ์ไกลกันดารไม่ได้มีเจตนาที่เห็นแก่ตัว ไม่ได้ทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ เพื่อยึดครองพลังจรัสที่สั่งสมกันมาทุกยุคทุกสมัยมาเป็นของตน
“มนุษย์แรกกำเนิดมานั้น บริสุทธิ์โดยเนื้อแท้? บางที่อาจใช่ บางทีอานจไม่ใช่ แต่ว่า อย่างน้อยที่สุดเขาเคยทำดีมาก่อน” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “เฉกเช่นในโลกมนุษย์อย่างนั้น ใครๆ ล้วนแล้วแต่เคยคิดที่จะเป็นคนดีคนหนึ่ง แต่ว่า สุดท้ายแล้วกลับเลือกที่จะเป็นคนชั่ว เพียงแต่ ก่อนที่จะเป็นคนชั่วนั้น ได้ทิ้งมรดกของตนเอาไว้บางส่วน”
แน่นอน ไม่สามารถอาศัยคนดีคนชั่วไปเปรียบเทียบบุคคลอย่างปราชญ์ไกลกันดารได้ แต่ว่า อย่างน้อยที่สุดบนเส้นทางสายนี้เขาเคยทดลองมาแล้ว เหมือนดั่งมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างนั้น ไม่ว่าใครก็เคยดิ้นรนเพื่อเป็นคนดี แต่ ท้ายที่สุดแล้วยังคงละทิ้งมันไป
สุดท้าย สายตาของหลี่ชิเย่ตกอยู่บนพลังความมืดที่หมุนรอบตัวเองสายนั้นที่หมุนรอบหัวใจแห่งแสงสว่างนั่น
ถ้าหากเคยเห็นพลังความมืดสายนี้มาก่อน ต้องตู้สึกได้ว่าพลังความมืดสายนี้ดูคุ้นเคยมาก พลังความมืดสายนี้ก็คือพลังความมืดสายนั้นที่หนีออกจากสถาบันศึกษาล้างบาปนั่น พลังความมืดสายนี้เคยถูกสยบเอาไว้ภายในรูปแกะสลักของปราชญ์ไกลกันดาร และก็คือถูกสยบเอาไว้โดยกระบี่ล้างบาป
เพียงแต่ขณะหลี่ชิเย่หยิบเอากระบี่ล้างบาปไป พลังความมืดสายนี้จึงได้หลบหนีออกมาจากด้านใน
ขณะแวบแรกที่มองเห็น พลังความมืดสายนี้เปี่ยมด้วยความมืด แต่ว่า เมื่อมองดูให้ละเอียด จะพบว่า พลังความมืดสายนี้ได้สืบทอดสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย เพียงแต่ไม่ได้มีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งมากแบบนั้นแล้ว ไม่สามารถเข้าใจและซาบซึ้งถึงสิ่งที่พลังความมืดสายนี้ได้สืบทอดเอาไว้
ในเวลานี้ สายตาของหลี่ชิเย่ได้ล็อกเป้าหมายที่พลังความมืดสายนี้เอาไว้ สุดท้ายมือขนาดใหญ่ได้ยื่นไปคว้าจับพลังความมืดสายนี้ แม้ว่าพลังความมืดสายนี้จะมีพลังที่แกร่งมาก แต่ว่า มื่อมือของหลี่ชิเย่ที่ยื่นเข้าไปจับ แม้พลังความมืดสายนี้คิดจะหนีก็หนีไม่พ้น พลันถูกมือของหลี่ชิเย่จับตัวเอาไว้แน่น
ในเวลานี้ หลังจากที่พลังความมืดถูกหลี่ชิเย่จับเอาไว้แล้ว มันก็หยุดการหมุนเคลื่อนที่เช่นกัน
ในเวลานี้ ตาทั้งสองข้างของหลี่ชิเย่เพ่งไปข้างหน้า พลันทะลุผ่านพลังความมืดสายนี้ ได้มีการพิจารณาอย่างละเอียดถึงสิ่งที่มีการสืบทอดอยู่ภายในพลังความมืดสายนี้
ในพริบตาเดียวนั่นเอง สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นจากพลังความมืดสายนี้มีมากมายเหลือเกิน ความจริงแล้ว เมื่อเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็จะพบว่า สิ่งนี้หาใช่พลังความมืดที่แท้จริง ที่ถูกต้องยิ่งกว่าต้องบอกว่า สิ่งนี้คืออารมณ์ความรู้สึกที่เป็นด้านลบ เป็นบันทึกความมืด
ข้างในนั้นได้สืบทอดความเศร้าโศกเสียใจมากเหลือเกิน สืบทอดความพลัดพรากมากเหลือเกิน
นี่คือความทรงจำที่สืบทอดมาจากพลังด้านลบ ข้างในนั้นมีความทรงจำที่เก็บเอาไว้มากมายเหลือเกิน ท้ายสุดได้กลายเป็นความมืด
ท่ามกลางความมืดนี้สามารถมองออกได้ว่า แรกทีเดียว บางทีไม่ว่าใครก็ตามปรารถนาดั้งเดิมล้วนแล้วแต่ดีทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็เคยคิดปกป้องคนข้างกายของตน ไม่ว่าใครก็เคยคิดเฝ้าปกป้องโลกของตน
แต่ว่า จากความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ทราบในอนาคต หวาดกลัวต่อความตาย หวาดกลัวต่อการทำลายพินาศย่อยยับ…ความโลภลโมบได้กัดกร่อนหัวใจดวงหนึ่ง กัดกร่อนคนๆ หนึ่งอย่างช้าๆ
ในขณะที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น เคยคิดที่จะให้ตนเองนั้นกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง เพื่อไปปกป้องคนในครอบครัว ปกป้องคนที่ตนรัก ปกป้องบ้านเมืองของตน…
ดังนั้น จึงไปต่อสู้อย่างสุดชีวิต ไปฟันฝ่า แต่ทว่า เมื่อตัวเองมีความแข็งแกร่งมากขึ้นๆ เรื่อยๆ สิ่งที่ต้องการก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อำนาจ ชื่อเสียง ความไร้ผู้ต่อกร…
ขณะที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดจึงได้พบว่า ทุกสิ่งล้วนเล็กจิ๋วอะไรขนาดนั้น ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง
เวลานี้ ก็จะพบว่า สิ่งที่เคยพยายามเอาไว้ สิ่งที่เคยฟันฝ่าเอาไว้ ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถึง ล้วนแล้วแต่หายวับไปกับตาในพริบตาเดียว
ในเวลานี้เอง กำลังดิ้นรน กำลังต่อสู้อย่างสุดชีวิต แต่ว่า เมื่อความพยายามทุกอย่าง การต่อสู้อย่างสุดชีวิตล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ บางทีขณะที่ภายใต้พลังซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่ากำลังยั่วยวนเจ้าอยู่ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แนวความคิดที่ยึดถือในครั้งนั้นก็เริ่มสั่นคลอน
แรกเริ่มเดิมที บางทีเจ้าคิดจะปกป้องอะไรบางอย่าง แต่ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย เผชิญกับความพินาศย่อยยับ เผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ ทุกสิ่งล้วนทำให้สั่นคลอน และมีพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าคอยเย้ายวนเจ้าอยู่
นาทีนี้ สิ่งที่เจ้าต้องการคือ ให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไป เนื่องจากตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป จึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะไปสู้เอาชนะความพินาศย่อยยับ ไปเอาชนะความไม่รู้…บางที เมื่อเจ้าก้าวเท้าก้าวนั้นออกไป เจ้าก็จะพบว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นเล็กน้อยไม่คู่ควรจะกล่าวถึง เมื่ออยู่ต่อหน้าอายุวัฒนะ
เวลานี้ มีความคิดที่โลภละโมบยิ่งกว่ากำลังดึงดูดเจ้า ทำให้ตกลงสู่ความมืดอย่างแท้จริง
ในเวลานี้ สิ่งที่เจ้าปรารถนาคือ ทำให้ตนเองนั้นมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่การปกป้องคนหนึ่งคนใด และหรือโลกใดโลกหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นการทำเพื่อให้ตนเองสามารถมีชีวิตอยู่ท่ามกลางภัยพิบัติใหญ่เท่านั้นเอง กระทั่งให้ตนเองนั้นมีอายุวัฒนะ
เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ในเวลานี้ เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ปกป้องโลกที่ตนเองเคยปกป้อง ทั้งยังเป็นการเริ่มทำลายโลกของตนให้พังพินาศย่อยยับ
เพราะว่าเจ้าต้องการทำให้มีพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นจึงจะเอาชนะสิ่งที่ไม่รู้ได้ เจ้าต้องการพลังที่มากยิ่งกว่าจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เจ้าต้องการพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งกว่า จึงสามารถทำให้ตนมีชีวิตนิรันดร์
ดังนั้น ในเวลานี้ เจ้ากวาดต้อนเอาพลังจากโลกที่ตนเองปกป้อง รีดโลกของตนจนแห้ง ทำลายโลกที่ตนเองเฝ้าปกป้อง สุดท้าย เพียงเพื่อต้องการให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ให้ตนเองนั้นมีชีวิตเป็นนิรันดร์…
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ความมืดสายนี้แบกรับอยู่นั้น คือประสบการณ์ด้านมืดของปราชญ์ไกลกันดารเอง ความมืดสายนี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากที่อื่น และไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งของบางสิ่ง แต่มันกำเนิดขึ้นมาจากความโลภละโมบที่อยู่ลึกๆ ภายในใจของปราชญ์ไกลกันดารเอง
ท่ามกลางความมืด ได้สืบทอดเรื่องราวที่เคยไม่สง่างามในอดีตของปราชญ์ไกลกันดาร แต่ว่า ก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการเก็บเอาไว้ เนื่องจากในประสบการณ์นี้มีโครงหน้าแต่ละโครง มีคนที่ผิดหวัง มีคนที่อาฆาตแค้น…ทั้งหมดเคยเป็นผู้ที่ปราชญ์ไกลกันดารต้องการปกป้อง เป็นสิ่งที่ต้องการปกป้อง แต่ว่า ท้ายที่สุด กลับเป็นตัวเขาที่ทำลายโลกนี้ด้วยมือของเขาเอง!
ช่างเป็นอะไรที่ถูกสลักเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใน เรื่องเช่นนี้จะไม่สามารถลืมเลือนไปได้ทั้งชาติ ได้แต่ฝังเอาไว้ภายในส่วนที่ลึกที่สุดภายในจิตใจ
ดังนั้น สิ่งนี้จึงจินตนาการได้ว่า เพราะอะไรความืดสายนี้จึงได้ถูกความสว่างขับไล่ ไม่ถูกเผาไหม้โดยความสว่าง เนื่องจากนี่เป็นการรับโทษ!
“ในเมื่อเลือกที่จะละทิ้ง เช่นนั้นแล้วก็ให้มันสูญหาไปก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ เขาเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรปราชญ์ไกลกันดารจึงต้องการเก็บความมืดเช่นนี้เอาไว้ เนื่องจากที่ตรงนั้นมีใบหน้าแต่ละใบที่เขาไม่เคยจะลืมเลือน
จี๊ด จี๊ด จี๊ดในเวลานี้เอง สายพานที่ก่อตัวขึ้นจากพลังความมืดสายนี้ค่อยๆ ลุกไหม้ขึ้นมา ภายใต้เพลิงสัจธรรมของหลี่ชิเย่
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ครั้นพลังความมืดสายนี้ได้ลุกไหม้ไปครู่ใหญ่ ทันใดนั้น ท่ามกลางเพลิงที่ลุกไหม้ปรากฎใบหน้าขึ้นมาหน้าหนึ่ง เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่ง นั่นก็คือปราชญ์ไกลกันดาร
“เจ้าต้องการลบเลือนร่องรอยที่ข้าทิ้งเอาไว้บนโลกมนุษย์อย่างนั้นรึ?” เสียงของปราชญ์ไกลกันดารดังก้องกังวานสะท้อนไปมา
“ไม่ เจ้าได้ทิ้งเอาไว้แล้ว ความสว่างก็คือร่องรอยที่เจ้าได้ทิ้งเอาไว้” หลี่ชิเย่มองดูโครงหน้านั้นของปราชญ์ไกลกันดาร หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าเองก็คิดจะลบเลือนสิ่งบางสิ่งของตนเองมิใช่รึ? เพียงแต่เจ้าไม่อาจตัดใจลงมือได้เท่านั้นเอง เนื่องจากถ้าหากเจ้าลืมคนเหล่านั้นไปเสีย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่ดำรงอยู่อย่างแท้จริงอีกแล้ว! ไม่ใช่วัยรุ่นคนนั้นอีกต่อไป!”
ปราชญ์ไกลกันดารนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง โครงหน้านั้นดูนิ่งมาก
“แต่ว่า ขณะที่เจ้าจัดการผนึกมันเอาไว้ในสถาบันศึกษาล้างบาป ก็ได้ตัดสินใจเลือกไปแล้ว เพียงแต่ เจ้าทำได้ไม่เด็ดขาดเท่านั้นเอง ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจเลือกแล้ว ข้าก็จะช่วยเจ้าทำให้มันเด็ดขาดมากกว่านี้ ด้วยการลบเลือนมันออกไปอย่างสิ้นเชิง” หลี่ชิเย่กล่าว
“ก็ดี จะอย่างไรเสียก็ต้องหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น” สุดท้าย ปราชญ์ไกลกันดารทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง
“หากจิตยังคงอยู่ ก็คงอยู่เป็นนิรันดร์” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ
“หากจิตยังคงอยู่ ก็คงอยู่เป็นนิรันดร์” ปราชญ์ไกลกันดารอดที่จะหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “ข้าก็เคยมีความคิดเช่นนี้มาก่อน เสียดาย คงมีสักวันเจ้าก็จะพบว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ทางออก! มีเพียงชีวิตนิรันดร์ จึงจะคงอยู่เป็นนิรันดร์!”
“ดังนั้น เจ้าก็คือเจ้า ระดับความสูงที่สูงที่สุดของเจ้าก็คือปราชญ์ไกลกันดารเท่านั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ขณะที่ข้าก็คือข้า หลี่ชิเย่!”
“หวังว่าเป็นเช่นนั้น…” สุดท้าย ปราชญ์ไกลกันดารทอดถอนใจเบาๆ ทีหนึ่ง
เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้นไม่ขาดสาย ในเวลานี้ เพลิงสัจธรรมของหลี่ชิเย่ได้ทำการเผาไหม้พลังความมืดสายนั้นอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ใบหน้าของปราชญ์ไกลกันดารก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยนับแต่นี้เป็นต้นไป
สุดท้าย มองดูหัวใจแห่งแสงสว่างดวงนั้นที่กำลังเต้นอยู่ หลี่ชิเย่ได้ทอดถอนใจและเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “สำเร็จก็ความสว่าง ล้มเหลวก็ความสว่าง ความไม่มั่นคงของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ความสว่างก็ดี ความืดก็ช่าง มันก็แค่ความคิดเพียงแวบเดียวเท่านั้นเอง!” ขาดคำ หันหลังจากไป
หลี่ชิเย่ไปจากต้นกำเนิดสัจธรรมของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่เขาได้เห็นกับตาตนเองแล้ว การเดินทางเที่ยวนี้ก็เสร็จสิ้นลงในที่สุด หอจรัสศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีสิ่งใดคู่ควรให้เขาต้องไปดูอีกแล้ว
ออกจากหุบเหวลึกแล้ว เมื่อกลับสู่ทุ่งกว้างอีกครั้ง สามารถมองเห็นภูเขาเตี้ยๆ ลูกนั้นแต่ไกล
เสียงสลักหินดังตึง ตึง ตึงที่สะท้อนก้องท่ามกลางฟ้าดิน มองเห็นผู้เฒ่ายังคงทำการสลักอยู่ด้านหน้าผนังหิน ตอกสลักลงไปทีละนิ้วๆ ด้วยท่าทีที่เชื่องช้ามาก
แม้ว่าผู้เฒ่าจะสลักได้เชื่องช้า แต่ว่า เสียงสลักหินของเขาเหมือนกลายเป็นท่วงทำนองเป็นนิรันดร์ของโลกนี้ พันล้านปีผ่านไป ต่อให้โลกเกิดวิบัติกลับตาลปัตรไปหมด ชั่วฟ้าดินสลาย แต่ทว่า ผู้เฒ่ายังคงสลักผนังหินอยู่ที่ตรงนั้น
หลี่ชิเย่เพียงมองดูผู้เฒ่าจากระยะห่างไกล โดยไม่ได้ไปรบกวนเขาอีก ขณะที่ผู้เฒ่าก็เหมือนว่าไม่ได้พบเห็นหลี่ชิเย่เช่นกัน
………………………………………………………..