Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 3005 เสียงกลองสะเทือนทั่วหล้า
ตอนที่ 3005 เสียงกลองสะเทือนทั่วหล้า
ตึง ตึง ตึงขณะที่เสียงกลองศึกดังขึ้นมานั้น ทั่วทั้งโลกใบเล็กล้วนแล้วแต่มีเสียงกลองที่ดังก้องกังวาน เหมือนว่าเสียงกลองที่ดังตึง ตึง ตึงนี้ได้ดังก้องไปทุกซอกทุกมุมแล้วอย่างนั้น
“เสียงกลองมาจากที่ไหนกัน!” ทุกคนอดที่จะมองไปทิศทางที่เสียงกลองดังขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงกลองศึกที่ดังตึง ตึง ตึงนี้แล้ว
ตูม…ตูม…ตูม…จากเสียงกลองศึกที่ดังขึ้นมานั้น ท่ามกลางทะเลบนโลกใบเล็กนี้ ปรากฏเสียงดังตูมตามที่ดังแว่วเข้ามาเป็นระลอก มองเห็นทะเลคล้ายเปิดวาล์วประตูออกอย่างนั้น
ในเวลานี้เอง มองเห็นน้ำทะเลที่พลุ่งพล่าน ปรากฏกองทัพหมื่นพันที่โต้คลื่นออกมา พลันกระโจนเหินฟ้าขึ้นมุ่งหน้าไปยังทิศทางเสียงกลองที่ดังขึ้น
กองทัพหมื่นพันทัพนี้ที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางคลื่นทะเลล้วนแล้วแต่สวมชุดดำทั้งชุด เสมือนดั่งปกคลุมด้วยไอหมอก ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าของพวกเขาได้อย่างชัดเจน
กองทัพหมื่นพันลักษณะเช่นนี้แหวกคลื่นเหินฟ้า ท่วงท่ายิ่งใหญ่ไพศาล ผู้ที่เป็นหัวหน้าเป็นแม่ทัพปู โดยสวมชุดเกราะทั้งชุด ไอหมอกลอยคละคลุ้ง ท่าทางทรงกำลังอำนาจอย่างยิ่ง
เมื่อมองดูกองทัพนับหมื่นนับพันทัพนี้แล้ว ทำให้ผู้คนจำนนมากต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนตายทั้งสิ้น และหรือกล่าวว่าพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ปราศจากชีวิต แต่ กลับไม่ได้แตกต่างอะไรกับกองทัพที่มีชีวิตแต่อย่างใด บนตัวของพวกเขายังคงมีกลิ่นอายการฆ่าที่ลอยขึ้นท้องฟ้า
“สิ่งที่ปราศจากชีวิตมากมายมาจากไหนกัน…” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างรุ้สึกใจหายใจคว่ำ เมื่อมองเห็นกองทัพนับหมื่นนับพันทัพนี้
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในขณะที่เสียงกลองดังขึ้นนั้น คนตายเหล่านั้นที่เดิมทีเหมือนต้องการโจมตีต่อราชันแท้จริงเซิ่นซวงก็ได้ทยอยกันหันหลังวิ่งไปทันที โดยมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงกลองอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“มีบางอย่างไม่เหมือน” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงทำท่าครุ่นคิด และเอ่ยขึ้น ขณะมองดูบรรดาทหารที่เดินทางมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เป็นต้นเสียงกลองนั่น
“ไม่เหมือนจริงๆ บรรดาสิ่งปราศจากชีวิตที่หวังลงมือกับเจ้าเมื่อครู่กับบรรดาสิ่งปราศจากชีวิตที่อยู่ในทะเลล้วนไม่เหมือนกัน ยังมีบรรดาทหารอเวจีที่เดินทัพเหล่านั้นก็แตกต่างกัน” ดวงตากระบือดำขนาดใหญ่ที่เหมือนกระดิ่งทองแดงจ้องเขม็งไปที่บรรดาสิ่งปราศจากชีวิตอย่างไม่ลดละ มองดูดวงตาทั้งสองของบรรดาสิ่งปราศจากชีวิตที่พวยพุ่งเป็นประกายที่ละลานตาผู้คนออกมา
“ต่างกันที่วิธีตายเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “หรือจะพูดว่าขั้นตอนการกลับกลายเป็นสิ่งปราศจากชีวิตต่างกันเท่านั้นเอง เช่น ทหารอเวจีที่เดินทัพ สิ่งปราศจากชีวิตที่คลานขึ้นมาจากใต้พื้นดิน ยามมีชีวิตอยู่พวกเขาก็จัดว่าอยู่ในความมืด ขณะที่ทหารที่อยู่ในทะเล พวกเขากลายเป็นความมืดหลังจากตายไปแล้ว”
“เป็นของความมืดยามมีชีวิต และหรือเป็นของความมืดหลังจากตายไปแล้ว” สิ่งนี้ได้สร้างความหวั่นไหวในใจของราชันแท้จริงเซิ่นซวงอย่างยิ่ง และกล่าวว่า “กรณีหลังได้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้วรึ?”
หลี่ชิเย่ยิ้มทีหนึ่งโดยไม่ได้ตอบคำถาม เพียงมองดูบรรดาสิ่งปราศจากชีวิตเหล่านั่น และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เรื่องราววกวน และประหลาดยิ่ง แต่ทุกสิ่งทุกอย่างหนีไม่พ้นคำว่า ‘จิตมนุษย์’ สองคำนี้”
เอี๊ยดดด เอี๊ยดดด เอี๊ยดดด…เสียงที่หนักอึ้งดังขึ้นเป็นระลอก จังหวะที่เสียงกลองดังขึ้นนั้น ไม่เพียงแต่มีกองทัพหมื่นพันที่โต้คลื่นโผล่ขึ้นมาจากทะเลแล้วเหินฟ้าขึ้นไป ภายในโลกใบเล็กก็มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกที่เปิดออกกะทันหัน ส่งประกายไฟที่วูบวาบออกมาจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์
ผู้คนจำนวนมากมองไปทันที เห็นเพียงภายในภูเขาศักดิ์สิทธิ์คือวิมานอันเป็นสิริมงคล เปลวไฟถึงพ่นทะลักออกมาจากวิมานอันเป็นสิริมงคลแห่งนี้นี่เอง
ในเวลานี้เอง ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าท่ามกลางประกายเปลวไฟ ปรากฎรถศักดิ์สิทธิ์คันหนึ่งออกมาจากประกายแสงของวิมานอันเป็นสิริมงคลนี่เอง
รถศักดิ์สิทธิ์ทะยานขึ้นฟ้า แล่นไปยังบริเวณที่เป็นต้นเสียงกลองอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างมองเห็นบนรถศักดิ์สิทธิ์มีผู้เฒ่านั่งอยู่คนหนึ่ง ผู้เฒ่านั่งตัวตรงอยู่ภายในรถ ผู้เฒ่าผู้นี้เสมือนดั่งเป็นฮ่องเต้ที่ได้รับการเคารพสูงสุดองค์หนึ่ง บนตัวได้เปล่งพลังที่ยิ่งใหญ่สูงสุดออกมา บนศีรษะสวมมงกุฎที่มีแผงม่านลูกปัด โดยแผงม่านลูกปัดได้ปิดบังโฉมหน้าของเขาเอาไว้
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ยังคงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแม้ไม่แสดงอาการโกรธ แต่ยังคงเปี่ยมด้วยอำนาจ เหมือนว่าในขณะนี้เขาสามารถปกครองใต้หล้า
แต่ว่า ด้วยผู้เฒ่าที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมเช่นนี้ บนตัวกลับไม่ปรากฎความมีชีวิตชีวาออกมา ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเขาก็เป็นคนตายคนหนึ่ง
“เขา เขาเหมือนเป็น…” ภายในใจของระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะเก่าแก่โบราณผู้หนึ่งถึงกับหวั่นไหว เมื่อเห็นผู้เฒ่าที่นั่งบนรถศักดิ์สิทธิ์ มุ่งหน้าไปยังบริเวณต้นเสียงกลองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง เขาได้นึกถึงบุคคลผู้หนึ่ง แต่ไม่กล้ายืนยัน
ตูม…เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ปรากฏชายฉกรรจ์ที่ขี่ม้าศึกเข้ามา ทรงกำลังอำนาจฉลาดเฉลียวและถืออำนาจบาตรใหญ่ เคลื่อนไหวรวดเร็ว มีกระบี่สุริยันจันทราที่ห้อยอยู่บริเวณเอว สวมใส่ชุดเกราะ แต่ว่าชุดเกราะได้แตกละเอียดไปครึ่งซีก เหมือนผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด
แต่ ชายฉกรรจ์ยังคงกำลังอำนาจใต้หล้าปราศจากผู้ต่อกร ควบม้าก้าวข้ามฟ้าดินมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เป็นต้นเสียง่ของเสียงกลอง
“เป็นผู้ได้รับความเคารพสูงสุดอีกคนหนึ่ง…” ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยได้สั่นเทาทีหนึ่ง เมื่อมองเห็นชายฉกรรจ์ที่ก้าวข้ามฟ้าดินผู้นี้ ใครๆ ก็มองออกว่า ชายฉกรรจ์ผู้นี้ยามมีชีวิตต้องแข็งแกร่งมากอย่างแน่นอน กระทั่งสามารถสังหารพวกเขาซึ่งเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นใหญ่ในเขตๆ หนึ่งเหล่านี้
ตูม ตูม ตูมในเวลาเดียวกัน มีเรือขนาดยักษ์ลำหนึ่งที่แล่นผ่านท้องฟ้าเข้ามา โดยเรือยักษ์ลำนี้ส่งประกายสีทองวูบวาบ ในเวลานี้มีผู้ที่ตาแหลมพลันมองไปแล้วเห็นมนุษย์ทองแดงคนหนึ่งยืนอยู่บนเรือ มนุษย์ทองแดงผู้นี้สูงถึงพันจ้าง ยกมือขึ้นคว้าสุริยันจันทราได้ มีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า
ขณะที่มนุษย์ทองแดงผู้นี้กรอกตา ทุกคนต่างรู้สึกสั่นเทาในใจ เนื่องจากดวงตาคู่นั้นของมนุษย์ทองแดงเปี่ยมด้วยความมืด เหมือนว่าสามารถสะกดจิตวิญญาณผู้คนได้อย่างนั้น
“นี่ นี่คือไต้ซือคนนั้นของเผ่าเซียนถงมิใช่รึ…” ราชันแท้จริงคนหนึ่งรู้สึกหวั่นไหวในใจเมื่อมองเห็นมนุษย์ทองแดงผู้นี้ ราชันแท้จริงผู้นี้อายุยังน้อยแต่ว่ามีประสบการณ์กว้างขวาง เขานึกถึงตำนานๆ หนึ่งขึ้นมาได้ทันทีเมื่อมองเห็นมนุษย์ทองแดงผู้นี้ อดเสียวสันหลังวาบไม่ได้
“พี่ท่าน พูดจาระวังนิดหนึ่ง” เทพแท้จริงขั้นอมตะที่อยู่ข้างกายราชันแท้จริงผู้นี้พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ภายในใจของราชันแท้จริงผู้นี้พลันเย็นวาบ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง จัดท่าทางอยู่ในอาการสำรวม ไม่กล้าพูดอะไรง่ายๆ ออกมา
เนื่องจากหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป ไม่เพียงสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของไต้ซือที่เป็นผู้ยากจะหาใดเทียมแห่งยุคเท่านั้น ยังสร้างความเสื่อมเสียให้กับเผ่าเซียนถง เกรงว่าจะก่อเกิดเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนหากแพร่ออกไปแล้ว
“ไอ้บ้าเอ๊ย บรรดาราชันแท้จริง เทพแท้จริงขั้นคงความอมตะตลอดกาลที่ร่วมเดินทางปราบปรามไกลเหล่านั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นสิ่งที่ปราศจากชีวิตแล้วรึ?” เทียบกับบรรดาราชันแท้จริง เทพแท้จริงขั้นคงความอมตะตลอดกาลที่ระวังคำพูดแล้ว ปากของกระบือดำขนาดใหญ่ไม่ได้เป็นกังวลกับเรื่องนี้ เป็นคนกินที่ลับไขที่แจ้ง โพล่งปากออกมาทันที
คำพูดของกระบือดำขนาดใหญ่ไม่ได้พูดโดยไม่มีเหตุผล เขาเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่มายาวนานมาก เขารู้เรื่องราวอย่างชัดเจนว่าในครั้งนั้นมีผู้ใดบ้างที่เข้าร่วมการปราบปรามไกลของปฐมบรรพบุรุษอัคคี เวลานี้เขากล้าพูดคำพูดนี้ออกมาเรียกได้ว่ามีความมั่นใจเต็มร้อย
ผู้คนจำนวนมากต่างได้ยินอย่างชัดเจนกับคำพูดที่กินที่ลับไขที่แจ้งเช่นนี้ของกระบือดำขนาดใหญ่ ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหวั่นไหวในใจและใจหายใจคว่ำ และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทยอยกันมองไปที่กระบือดำขนาดใหญ่
สมควรทราบว่า ในครั้งนั้นผู้คนจำนวนเท่าไรที่เข้าร่วมเดินทางปราบปรามไกลกับบรรพบุรุษอัคคี ในนั้นเกี่ยวพันถึงระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ และสำนักจำนวนเท่าไร อีกทั้งคนเหล่านี้ยังเป็นระดับปฐมบรรพบุรุษ ราชันแท้จริง กระทั่งเทพแท้จริงชั้นคงความอมตะตลอดกาลที่ปราศจากผู้ต่อกรของพวกเขา พวกเขาเหล่านั้นบางทีก็จะเป็นผู้ก่อตั้งของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเหล่านั้น หรือปรัชญาเมธีสูงสุดของพวกเขา
ถ้าหากมีสักวัน ปรัชญาเมธี ปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาล้วนกลายเป็นสิ่งปราศจากชีวิตแล้ว เรื่องเช่นนี้หากแพร่งพรายออกไปย่อมก่อเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นเพียงใด เกรงว่าแดนลัทธิเซียนนับจากนี้ไปก็จะเต็มไปด้วยคำโจษจันไปทั่วบ้านทั่วเมือง
แน่นอนที่สุด กระบือดำขนาดใหญ่ไม่ได้มีความกังวลในเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว เมื่อผู้คนจำนวนไม่น้อยมองไปที่เขานั้น ดวงตาที่มีขนาดเท่ากระดิ่งทองแดงพลันจ้องเขม็ง และพูดว่า “มีอะไรน่าดู หรือว่าปากของกระบือสุดหล่ออย่างข้าจะไปทำให้เขาต้องแปดเปื้อนอย่างนั้น”
แม้ว่าคนบางคน โดยเฉพาะบรรพบุรุษของพวกเขาเคยเข้าร่วมการเดินทางปราบปรามไกล พวกเขาดูจะไม่ค่อยพอใจในคำพูดเช่นนี้ของกระบือดำขนาดใหญ่ แต่ว่า ยังคงอดสะท้านภายในใจไม่ได้
เนื่องจากเวลานี้สิ่งที่พวกเขามองเห็นเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้ เพียงแต่พวกเขาไม่กล้าพูดออกมาง่ายดาย และไม่กล้ากล่าวสรุปง่ายๆ เท่านั้นเอง
ในเวลานี้ มีความรู้สึกเหมือนทุกทิศทั่วหล้ามาเฝ้าอย่างนั้น ยามที่กลองศึกดังขึ้น มีภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดออก นรกอเวจีปรากฏขึ้น ในวิมานดินแดนแห่งความสุขมีแม่ทัพ ฮ่องเต้ ผู้ปราศจากผู้ต่อกร…บรรดาผู้ได้รับการเคารพสูงสุดจำนวนมากปรากฎตัวขึ้นมา ทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังที่ที่เสียงกลองดังขึ้นมา
ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสยองในใจเมื่อมองเห็นระดับที่ปราศจากผู้ต่อกรจากทุกทิศทุกทางล้วนมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เสียงกลองศึกดังขึ้น มันมีอะไรกันแน่นะ
“จะไปดูสักหน่อยไหม…” มีผู้ที่ลังเลอยู่บ้างมองตากันและกันเล็กน้อย
“หาเรื่องตาย…” ระดับเทพแท้จริงชั้นคงความอมตะตลอดกาลที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าตวาดห้ามเอาไว้ว่า “เมื่อไรที่เหยียบเข้าที่ตรงนั้น ไม่แน่นักอาจะจะถูกบรรดาสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านั้นโจมตี ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะเหมือนถูกเขาเก็บผักเฉือนเอาตามใจ!”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่เดิมคิดจะติดตามไปดู พลันล้มเลิกความตั้งใจทันที
เมื่อครู่บรรดาสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านั้นพลันเก็บเกี่ยวชีวิตของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนไปจำนวนเท่าไร แม้แต่รัศมีแสงที่ส่องประกายทั่วหล้าอย่างเสมอภาคที่ทรงพลังเช่นนี้ของราชันแท้จริงเซิ่นซวงได้ส่องสว่างแล้ว พวกมันยังคงคิดอยากจะลองโจมตีต่อราชันแท้จริงเซิ่นซวงอีก
หากพวกเขาเข้าไปจริงๆ เกรงว่าจะต้องถูกบรรดาสิ่งที่ปราศจากชีวิตเหล่านั้นโจมตีแน่นอน
ในเวลานี้ได้มีผู้ที่ส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับพรรคพวกของตน เมื่อพรรคพวกของเขาได้สติกลับมาแล้ว พวกเขาต่างทยอยกันหลบหนีไปอย่างเงียบๆ
ทว่า พวกเขาไม่ได้หลบหนีออกไปจากโลกใบน้อยๆ แห่งนี้ แต่มุ่งหน้าไปยังวิมานดินแดนแห่งความสุขนั่น พวกเขาค่อยๆ แอบย่องเข้าไปในวิมานดินแดนแห่งความสุขที่เปิดออก เพื่อขโมยของวิเศษที่อยู่ภายในวิมานดินแดนแห่งความสุข
“ฉวยโอกาสที่พวกเขาไม่อยู่ พวกเราไปหยิบของวิเศษกัน” เมื่อมีผู้นำ ก็มีผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยได้สติกลับมา พวกเขาต่างทยอยกันไปยังวิมานดินแดนแห่งความสุข
ผู้ที่เป็นเจ้าของๆ วิมานดินแดนแห่งความสุข.เหล่านี้รุดไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงกลองที่ดังขึ้น ประตูวิมานดินแดนแห่งความสุขเปิดกว้าง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเปิดโอกาสให้กับผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นยอดฝีมือเหล่านี้ พวกเขาลอบเข้าไปใน…วิมานดินแดนแห่งความสุขในเวลานี้พวกเขาต่างสาระวนกับการขโมยของวิเศษที่อยู่ภายในวิมานดินแดนแห่งความสุขไม่มีใครต้องการเสี่ยงชีวิตมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่เป็นต้นกำเนิดเสียงกลองที่ดังขึ้นมา
แน่นอนที่สุด หลี่ชิเย่ไม่ได้สนใจสำหรับของวิเศษที่อยู่ภายในวิมานดินแดนแห่งความสุขเหล่านั้น เขามองไปยังทิศทางที่เสียงกลองถูกส่งเข้ามาแล้วถึงกับเพ่งสายตาทั้งสอง ส่งประกายเยือกเย็นแวบวับ
“แหะที่ตรงนี้ชั่วร้าย เกรงว่าได้กลายเป็นรังของมารไปแล้ว” กระบือดำขนาดใหญ่ไม่ใช่เป็นผู้ที่พูดดีตลอดมาอยู่แล้ว เวลานี้เขาหัวเราะแหะแหะขึ้นมา
“นี่มันเรือปราบปรามไกลของปฐมบรรพบุรุษอัคคีนะ” ราชันแท้จริงเซิ่นซวงยังคงมีความหวัง
“แหะปฐมบรรพบุรุษอัคคีแล้วเป็นอย่างไร” กระบือดำขนาดใหญ่หัวเราะแหะแหะและกล่าวว่า “ไม่มีใครกล้ารับประกันว่า ต่อให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นสิ่งแทนว่าจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขาจะแกร่งจนไม่สามารถสั่นคลอนได้”
“ผู้กล้าที่เข่นฆ่ามังกร บางที สักวันหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นมังกรร้ายได้” หลี่ชิเย่มองดูราชันแท้จริงเซิ่นซวงทีหนึ่งด้วยคำพูดที่ลึกซึ้งยิ่ง
“เรื่องนี้…” คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ พลันทำให้ราชันแท้จริงเซิ่นซวงรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา
……………………………………