Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 482.2 ถึงจะเผชิญหน้ากับคนนับหมื่นก็จะก้าวไปอย่างกล้าหาญ (2)
- Home
- Emperor's Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 482.2 ถึงจะเผชิญหน้ากับคนนับหมื่นก็จะก้าวไปอย่างกล้าหาญ (2)
ตอนที่ 482 ถึงจะเผชิญหน้ากับคนนับหมื่นก็จะก้าวไปอย่างกล้าหาญ (2)
………………..
เฉินอวิ๋นซีสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยว่า “ก่อนที่ปู่จะไปเทียนหนาน โทรมาหาฉันว่าทิ้งของที่ช่วยเพิ่มความสามารถไว้ให้ฉันบางส่วน ของอยู่ที่มหาวิทยาลัยจิงหนาน ครั้งนี้กลับไปฉันจะไปรับของสักหน่อย…จากนั้นฉันคิดจะไปฝึกประสบการณ์ที่ถ้ำใต้ดินจิงหนาน ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ฉันหาโอกาสฝึกประสบการณ์ได้ยาก รวมถึงถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้เช่นกัน ตอนนี้คนของพวกเราก็มีโอกาสแสดงฝีมือน้อย ทางถ้ำใต้ดินจิงหนานสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่นี่ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงก็ลงมือน้อยครั้ง ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางมีโอกาสมากกว่า”
ฟางผิงเก็บข้อมูลเอกสารบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “อวิ๋นซี…ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองขนาดนั้น เธอไม่เหมือนกับพวกเรา พวกเรามีของบางอย่าง เธออาจไม่มีเสมอไป ไม่ว่าจะเป็นฉันหรือพวกหลี่หานซงล้วนไม่เหมือนกับพวกเธอ…”
“ฉันเข้าใจ แต่ฉันก็รู้ว่าต้องพยายามถึงจะมีอะไรกลับมา”
เฉินอวิ๋นซีขบริมฝีปาก เงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยต่อว่า “รุ่นพี่ฉินพรสวรรค์ไม่ดี แต่เขายังสามารถเข้าสู่ขั้นห้าตอนกลางได้อย่างรวดเร็ว แม้จะสู้พวกนายไม่ได้ แต่ก็ไม่ถูกทิ้งห่างเท่าไหร่ พรสวรรค์ของฉันดีกว่ารุ่นพี่ฉิน ยังมีการสนับสนุนจากปู่ ฉันถูกทิ้งให้รั้งท้ายก็เป็นเพราะว่าฉันพยายามไม่มากพอ”
ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกเกือบสามครั้ง แม้จะบอกว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสองครั้งหรือสามครั้ง ถึงขั้นสามแล้ว นอกจากความได้เปรียบเรื่องปราณและพื้นฐานร่างกาย การฝึกวิชาก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่น
แต่หลอมกระดูกได้เยอะ อันที่จริงก็คือความแข็งแกร่งของพรสวรรค์
ยิ่งมีพรสวรรค์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีโอกาสดูดซับพลังงานได้สูงเท่านั้น หลอมกระดูกหลายครั้ง ไม่ได้เป็นแค่เรื่องระดับการหลอมกระดูกของสามระดับล่างเท่านั้น
พวกเซี่ยเหล่ยและเฉินอวิ๋นซี เทียบกับพวกฉินเฟิ่งชิงแล้ว กินยาบำรุงหนึ่งเม็ดเหมือนกัน เซี่ยเหล่ยสามารถแปลงพลังมาใช้เองแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เฉินอวิ๋นซีแปลงได้เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นอย่างต่ำ แต่ฉินเฟิ่งชิง…น่าจะประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
นี่คือความแตกต่างของพรสวรรค์ แน่นอนว่าผู้ฝึกยุทธ์สมัยนี้ไม่ได้เห็นความสำคัญของพรสวรรค์มากเกินไป
ดูดซับเปลี่ยนแปลงได้สูงกว่า ไม่ได้หมายความว่าจะสูงกว่าคนอื่นจริงๆ ปรมาจารย์หลายคนอันที่จริงก็หลอมกระดูกครั้งเดียวเท่านั้น ผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกสองครั้งหลายคน รั้งอยู่ในสามระดับล่างชั่วชีวิตก็มีเหมือนกัน
ฟางผิงเก็บเอกสารข้อมูลแล้วก็มองเธอพักหนึ่ง เอ่ยอีกครั้งว่า “ตอนนี้เธอถึงขั้นสี่ตอนกลางแล้วเหมือนกัน ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขั้นนี้ไม่ใช่เด็กที่ไม่มีแรงเชือดคอไก่อีกแล้ว ถ้าฉันเป็นขั้นเก้าสุดยอด ฉันคงจะพูดว่าไม่ต้องไป เพราะฉันสามารถปกป้องพวกเธอได้ เธอเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ปราณก็ไม่ได้แย่อะไร ฝีมือด้อยนิดหน่อยจะเป็นไรไป แต่ฉันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก…ฉันไม่สามารถให้คำสัญญาหรือรับประกันเรื่องพวกนี้ได้ เธออยากไป งั้นก็ไป ดูแลตัวเองให้ดี…”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็หมุนตัวกลับไปที่ห้อง หลังจากนั้นสักพักก็คว้ากระเป๋าออกมา ยื่นให้เธอว่า “ในนี้เป็นหินพลังงานบางส่วนผลไป๋ชุ่ยอีกสามลูก ตอนนี้ฉันไม่ได้ใช้ ผลไป๋ชุ่ยก็กินให้หมดซะ ไม่รู้ว่าจะพอให้เธอทะลวงถึงขั้นสี่สูงสุดหรือเปล่า อีกอย่าง…ยังมีน้ำแร่ชีวิตอีกนิดหน่อย ถ้าบาดเจ็บ ประหยัดใช้หน่อย หากไม่เป็นอะไรมากใช้ยาบำรุงก็เพียงพอแล้ว ไปเอายาบำรุงที่ฝ่ายบริการด้วย ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปู่เธอทั้งหมด ยังไงเขาก็ควบคุมมหาวิทยาลัยจิงหนาน ทั้งตระกูลเฉินยังไม่ได้มีผู้สืบทอดแค่เธอคนเดียว คะแนนหักเอาจากฉัน คะแนนฉันเยอะอยู่แล้ว”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มต่อ “อย่าปฏิเสธเลย…”
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยอ้อมแอ้มว่า “ไม่ได้ปฏิเสธ”
ฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย หัวเราะออกมา “จะตรงเกินไปแล้ว ช่างเถอะ งั้นตามนี้ละกัน อีกอย่างไปทำเกราะขั้นหกไว้สวมสักตัว…”
“ปู่เตรียมเกราะหนังปีศาจขั้นเจ็ดไว้ให้ฉันตัวหนึ่งแล้ว” เฉินอวิ๋นซีรับบทสนทนาเสียงเบา
ฟางผิงอึ้งไปอีกครั้ง เอ่ยแก้เขินอยู่บ้าง “ครั้งหน้าถ้าฉันพูดอยู่ ไม่อนุญาตให้พูดแทรก!”
ฉันกำลังพูดอย่างดูดี แสดงความเป็นลูกผู้ชาย เธอกลับแล้วใหญ่…ปู่เตรียมเกราะปีศาจขั้นเจ็ดไว้ให้เธอ ยอดเยี่ยมมากสินะ?
คิดว่าฉันไม่มีหรือไง?
เอาเถอะ ฟางผิงไม่มีจริงๆ นั่นแหละ
แต่กึ่งร่างทองของเขาไม่ด้อยกว่าเกราะหนังปีศาจขั้นเจ็ดเสมอไป ขั้นแปดยังพอว่า
เกราะหนังร่างทองขั้นแปดของสัตว์ปีศาจมีประโยชน์กับเขาไม่น้อย
น่าเสียดายที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่มี
อธิการคนก่อนเคยฆ่ามาหนึ่งตัว แต่หนังพวกนั้นนำไปเป็นวัตถุดิบสร้างอาวุธวิเศษแล้ว ของทั่วไปแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบที่สูงค่าพวกนี้ไม่ได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดถึงได้มีอาวุธวิเศษของอู๋ขุยซาน
เจ้าพวกนั้นจากเมืองเจิ้นซิงกลับมีของพวกนี้ แต่ฟางผิงหลอกเอาอาวุธวิเศษพวกเขามาห้าชิ้นแล้ว หากหลอกเอาเกราะมาอีก นั่นคงไม่มีคำตอบให้ง่ายๆ แล้ว
แม้จะคิดอย่างนั้น ฟางผิงกลับเอ่ยด้วยใบหน้าอวดดีว่า “ปู่เธอเตรียมเกราะขั้นเจ็ดไว้ให้เท่านั้นเหรอ อีกไม่กี่วันฉันจะส่งเกราะขั้นแปดให้เธอตัวหนึ่งละกัน ตัวนั้นที่ปู่เธอเตรียมไว้ ทิ้งไปยังได้!”
เฉินอวิ๋นซีเผยรอยยิ้มอย่างสดใส พยักหน้างึกงัก ลังเลไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “เกราะขั้นเจ็ดก็มีมูลค่าเหมือนกัน ทิ้งไปคงไม่ดีเท่าไหร่หรือเปล่า?”
ยังจะทิ้งจริงๆ ได้หรือไง!
ยิ่งไปกว่านั้น เกราะขั้นแปด ฉันพูดเล่นเฉยๆ มีของแบบนี้ก็ขายข้างนอกไม่ได้ ไม่มีก็ซื้อไม่ได้เหมือนกัน
นอกจากเขาไปฆ่าด้วยตัวเอง หรือจะให้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไปล่าให้
ทางมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ คนที่มีความสามารถนี้มีแค่อู๋ขุยซานและตาเฒ่าหลี่เท่านั้น ตาเฒ่าหลี่ไม่สะดวกลงมือ อู๋ขุยซานจะฆ่าสัตว์ปีศาจขั้นแปดได้หรือเปล่ายังต้องดูที่โชค
ฟางผิงไม่พูดมากอีก เฉินอวิ๋นซีไม่พูดต่อเช่นกัน
ช่วยฟางผิงเก็บห้องเสร็จแล้ว เฉินอวิ๋นซีก็ออกจากหอพักฟางผิง กลับไปหอพักตัวเอง ถือกระเป๋าเดินทางที่จัดเตรียมเรียบร้อยแล้วของตัวเอง กลับจิงหนานในคืนนั้น
—
บนระเบียงหอพัก
ฟางผิงมองเงาผอมบางที่อยู่ด้านล่างนั้น รู้สึกซับซ้อนในใจอยู่บ้าง
ในยุคสมัยนี้ผู้ฝึกยุทธ์หญิงไม่ได้ดูแลสามีและสั่งสอนลูกเพียงอย่างเดียว
เมื่อถึงระดับของเฉินอวิ๋นซี อาจจะไล่ตามเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ของตัวเอง ดำเนินภารกิจหรือหาโอกาสให้ตัวเองเหมือนกัน
ครั้งนี้เขาใช้สายตามองส่งเฉินอวิ๋นซีจากไป เธอไปถ้ำใต้ดินจิงหนานจะปลอดภัยหรือเปล่า? จะเจอกับอันตรายหรือไม่? ฟางผิงไม่รู้!
ตอนนี้จู่ๆ ฟางผิงก็เข้าใจขึ้นมาอยู่บ้าง ในอดีตตอนที่เฉินอวิ๋นซีมองส่งตัวเองออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นความรู้สึกแบบไหน
ท่ามกลางแสงไฟที่มืดสลัว เงาของเฉินอวิ๋นซีค่อยๆ ห่างไกลออกไป
ทั่วทั้งเขตหอพักจมดิ่งสู่ความเงียบ
นับวันก็มีคนออกไปจากมหาวิทยาลัยมากขึ้นเรื่อยๆ ไปหาโอกาสในเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ของตัวเอง
ตั้งแต่ที่ถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ถูกปิด หลายคนก็ออกไปจากมหาวิทยาลัยแล้ว ไปถ้ำใต้ดินแห่งอื่น ไปเข้าร่วมการต่อสู้ของพวกเขา
เซี่ยเหล่ยไปแล้ว ทั้งยังไปนานแล้วด้วย ตั้งแต่เริ่มภาคเรียนนี้ ฟางผิงยังไม่เคยเห็นเขาเลย
รุ่นพี่เหลียงเฟิงหวา เย่ฉิงและเหลียงหวาเป่าพวกนี้ต่างก็ตามหาสิ่งของ ไปถ้ำใต้ดินแต่ละแห่ง จวบจนวันนี้ยังไม่กลับมา
หยางเสี่ยวม่าน ฟางผิงไม่เห็นเธอนานแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเธอเข้าด่านหรือไปถ้ำใต้ดินกันแน่
คนที่เด็ดเดี่ยวไม่เหมือนผู้หญิงอย่างจ้าวเสวี่ยเหมย สองวันก่อนก็ถือกระบองยาวออกเดินทางไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับ ตอนที่ออกไป ฟางผิงไม่ได้ไปส่งเหมือนกัน กลับทอดสายตามองส่งเธอออกไปเหมือนวันนี้
“ผู้ฝึกยุทธ์สมัยนี้…”
ช่วงเวลานั้น จู่ๆ ฟางผิงก็ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายยังไง
ผู้ฝึกยุทธ์สมัยนี้น่าเศร้าอย่างนั้นเหรอ?
บางทีอาจจะโศกเศร้า ทั้งอาจจะโชคดีด้วยเช่นกัน
มีกี่คนที่ไปไม่กลับ
ทั้งมีอีกกี่คนที่สามารถเปล่งแสงสว่างอย่างสดใสได้ในยุคสมัยนี้
เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์หลายร้อยหลายพันปีก่อนยังโดดเด่นสว่างไสวยิ่งกว่า!
ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ยุคสมัยไหนจะสู้ยุคสมัยนี้ได้อีกแล้ว!
ถึงจะเผชิญหน้ากับคนนับหมื่นก็จะก้าวไปอย่างกล้าหาญ!
—————-
………………..