Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 121
บทที่ 121
อาวุโสใหญ่ จ้าวหวูจิ๋น
เห็นว่าเหลาเทียนจุนกรีดร้องได้น่าเจ็บปวดเพียงใด รอบๆ เวทีเฟิงหยุนไม่หลงเหลืออะไรนอกจากความเงียบ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเหลาเทียนจุนจะพ่ายแพ้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รู้ว่าเหลาเทียนจุนใช้เม็ดยาพลังฉี พวกเขารู้สึกสับสนและตกใจมากกว่าใครๆ
หลี่ฟู่เฉินเพิ่งถึงขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หกเท่านั้น หากรอจนให้เขาอยู่ระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิด ใช่ว่าพลังของเขาจะเทียบเท่ากับคนที่อยู่ขอบเขตปฐพีหรือไม่?
“ชั่วร้ายจริงๆ เขาอาจหญ้ากล้าที่จะทำร้ายเหลาเทียนจุนชิเซียง”
“การเสียแขนข้างซ้ายไปจะลดความแข็งแกร่งของเหลาเทียนจุนชิเซียงไปมหาศาล เขาจะกลายเป็นเสียเปรียบ เมื่อตอนที่เขาสู้กับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันในครั้งต่อไป”
“แขนซ้ายอาจจะดูไร้ประโยชน์ก็จริง แต่มันก็ช่วยให้ร่างกายมีความสมดุล เมื่อถึงเวลาสำคัญ มือทั้งคู่สามารถพลัดเปลี่ยนกันเพื่อเข้าโจมตีได้ ฮึ่ย ช่างน่าเสียดาย”
“ฮึ่ม ตัดแขนของเหลาเทียนจุนชิเซียง หลี่ฟู่เฉินผู้นี้ได้ล่วงเกินตระกูลเหลาอย่างสมบูรณ์แล้ว วันเวลาในอนาคตของเขาจะหมดไปกับความทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน!”
นอกจากจะตกตะลึงกับความสามารถของหลี่ฟู่เฉินแล้ว ทุกคนก็ประหลาดใจกับความมุ่งมั่นและความโหดร้ายของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างตระกูลเหลา หนึ่งจะไม่เป็นไรหากพวกเขายอมพ่ายแพ้ แต่หากกล้าให้พวกเขาเหล่านั้นต้องทนทุกข์ทรมาน เช่นนั้นแล้วคงไม่มีอะไรมาหยุดยั้งที่พวกนั้นจะให้ท่านได้สัมผัสกับนรก
“โง่เง่า เขาคิดหรอว่าหลังจากที่ลงจากเวทีเฟิงหยุน ความคับข้องใจทั้งหมดจะถูกลืมไป?” หยูเหวินเทียนไม่ชอบสิ่งที่เขาเห็นและกล่าวออกมาเสียงดัง
“ขยะ แกกล้าตัดแขนลูกชายของข้า ข้าจะตัดแขนขาทั้งหมดของเจ้าออกซะ!”
พร้อมกับเสียงคำราม ในทันทีเงาดำปรากฏขึ้นบนเวทีเฟิงหยุน
มันเป็นเหลาเทียนหยุน
หลังจากช่วยเหลือเหลาเทียนจุนผู้ที่สูญเสียแขนและอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเสร็จแล้ว สภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนก็ระเบิดออกและเคลือบคลานครอบคลุมเวทีเฟิงหยุน
ภายใต้สภาวะพลังฉีที่น่ากลัวเช่นนี้ หลี่ฟูเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาได้รับแรงกดดันจากขุนเขา หัวเข่าของเขาดูไร้กำลังและกำลังที่จะคุกเข่าลง
มันต้องไม่เป็นเช่นนั้น!
หลี่ฟู่เฉินกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อต่อต้านสภาวะพลังฉีนี้
แต่เนื่องจากเขากัดแรงเกินไป หลี่ฟู่เฉินจึงไม่รู้ว่าเขากัดลึกลงไปในเนื้อหนัง ขณะที่เลือดสดไหลออกมาจากมัน
“ท่านพ่อ ข้าเสียแขนไปแล้ว ข้าจบสิ้นแล้ว” เหลาเทียนจุนรู้สึกโศกเศร้าและกล่าวด้วยสายตาที่ไร้ชีวิตชีวา
“เทียนจุน” เหลาเทียนหยุนกลายเป็นกังวลใจ
เขาไม่เคยคาดคิดว่าเหลาเทียนจุนที่ใช้เม็ดยาพลังฉีจะพ่ายแพ้ต่อหลี่ฟู่เฉิน มันอยู่นอกการคาดการณ์ของเขาทั้งหมด
“สารเลวน้อย มันเป็นแค่การแข่งขันและเจ้ากลับใช้ความรุนแรงเกินควรเช่นนี้? เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?”
เหลาเทียนจุนจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉินอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
ภายใต้แรงกดดันจากสภาวะพลังฉี หลี่ฟูเฉินไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว เขากัดฟันขณะที่จดจ่ออยู่กับประสาทสัมผัส
ตั้งแต่ต้น หลี่ฟูเฉินไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่อย่างใด ทว่าในสายตาของเขา มันมีการแสดงออกที่ไม่ยอมแพ้และไม่มีแม้แต่เจตนาที่จะขออภัย
เห็นการแสดงออกของหลี่ฟู่เฉิน ใบหน้าของเหลาเทียนจุนมืดมน ด้วยสภาวะพลังฉีของขอบเขตสวรรค์ เขาก็ยังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าได้ พลังของศิษย์ผู้นี้แน่ว่าน่าสะพรึงกลัว
ผู้ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ โดยทั่วไปจะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต
ชายผู้นี้ต้องไม่สามารถอยู่ต่อไปได้
เหลาเทียนหยุนสามารถรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม เขาปล่อยเจตนาสังหารของตัวเองออกมา “สารเลวน้อย ทั้งที่ยังเยาว์วัยแต่ทว่ากลับโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ สำหรับนิกายคังหลุน เจ้าเป็นได้เพียงแค่หายนะ ข้าจะเป็นตัวแทนของนิกาย ที่จะทำลายตันเทียนของเจ้าและตัดแขนขาออกไปซะ”
ขณะที่เขาประกาศสิ่งนี้ เหลาเทียนหยุนสะบัดมือและยิงพลังฉีห้าสายพุ่งไปยังตันเทียนของหลี่ฟู่เฉินและแขนขาทั้งสี่ตามลำดับ
‘นี้จะเป็นจุดจบทั้งหมดหรือไม่?!’ หลี่ฟู่เฉินมองดูพลังฉีและคำรามอยู่ในจิตใจ
นอกเวที ผู้ชมส่วนใหญ่เพลิดเพลินไปกับความทุกข์ทนของเขา และมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะไม่สามารถทนดูได้
ตระกูลเหลาช่างเอาแต่ใจเกินไป
บนเวทีเฟิงหยุน ตราบใดที่ไม่ฆ่า ก็ไม่มีกฎอื่นใด
ทำไมมีเพียงแต่ลูกชายของท่านเท่านั้นที่สามารถทำให้หลี่ฟู่เฉินพิการได้? แต่หลี่ฟู่เฉินกลับไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายลูกชายของท่าน? นี่เป็นตรรกะอะไร?
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ฟู่เฉินปล่อยโอกาสให้ลูกชายของท่านออกไปแล้ว จุดจบทั้งหมดนี้มาจากการกระทำของลูกชายท่านเอง
น่าเสียดายที่เหลาเทียนหยุนไม่ได้ยินความคิดของคนเหล่านี้ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยิ่งเขาก็จะถือข้อความทั้งหมดเหล่านี้เป็นคำสบประมาส
ตระกูลเหลาของเขาเป็ยตระกูลเก่าแก่ที่อยู่ในนิกายคังหลุนมานาน ขยะอย่างหลี่ฟู่เฉินจะเปรียบเทียบกับลูกหลานของเขาได้อย่างไร?
หลี่ฟู่เฉินกำลังจะกลายเป็นคนพิการ …
“หยุดมันซะ เหลาเทียนหยุน”
เสียงที่แข็งแกร่งและเที่ยงธรรมสะท้อนมาจากด้านบน วินาทีถัดไป กำแพงพลังฉีก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลี่ฟู่เฉิน
พลังฉีห้าสายที่เหลาเทียนหยุนยิงออกไป หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับวัวดินที่พุ่งเข้าสู่ทะเล
ไม่ดีแล้ว มันเป็นผู้อาวุโสชั้นใน!
เหลาเทียนหยุนดูเหมือนจะลังเล เขากัดฟันของเขาและเริ่มโจมตีอีกครั้ง ครั้งนี้ เขาใช้กำลังออกไปอย่างเต็มที่ พลังฉีที่น่ากลัวให้ความรู้สึกราวกับช่องว่างก็สามารถแยกออกจากกันได้ปรากฏขึ้น ระหว่างทางของมัน พลังฉีเปลี่ยนไปเป็นคมดาบสวรรค์ และเฉือนไปที่กำแพงพลังฉี
“กล้าดียังไง! นอนลงเดี๋ยวนี้!”
กำแพงพลังฉีสั่นและคมดาบสวรรค์ก็แตกออก ถัดต่อจากนั้น สภาวะพลังฉีที่น่ากลัวก็คืบคลานลงมาและสร้างแรงกดดันต่อเหลาเทียนหยุน
ฉากที่น่าตกใจเกิดขึ้น
เหลาเทียนหยุนผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่สองของขอบเขตสวรรค์ กลับไม่สามารถทนต่อสภาวะพลังฉีที่ปรากฏออกมาและนอนราบลงกับพื้น ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว
เมื่อตอนที่เหลาเทียนหยุนพยายามใช้สภาวะพลังฉีของเขาในการกดดันหลี่ฟู่เฉิน เขาไม่แม้แต่จะทำให้หลี่ฟู่เฉินคุกเข่าลงได้ ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่บางท่านกลับใช้สภาวะพลังฉีเพื่อกดดันเหลาเทียนหยุนและทำให้เขานอนลงไปกับพื้น จะต้องแข็งแกร่งแค่ไหนเพื่อที่จะบรรลุระดับพลังเช่นนั้นได้
ทุกคนรอบๆ เวทีไม่กล่าวอะไรและไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้
การต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสนิกายชั้นในไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะกล่าวถึงได้ หรือการเข้าไปแทรกแซงเองก็ไม่มีวันทำได้เช่นกัน
บนท้องฟ้าเหนือเวทีเฟิงหยุน ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเขียวค่อยๆ ลอยลงมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
ผู้อาวุโสชั้นใน จ้าวหวูจิ๋น ระดับสูงสุดของขอบเขตสวรรค์ หนึ่งในสมาชิกระดับสูงที่แท้จริงของนิกายคังหลุน นอกจากผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสใหญ่ และผู้ป้องกันนิกาย สถานะของเขานั้นสูงที่สุดและน่านับถือที่สุด
“เหลาเทียนหยุน กล้าดียังไง เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวการต่อสู้บนเวทีเฟิงหยุนได้? เจ้าใช่ต้องการต่อต้าน?” จ้าวหวูจิ๋นไม่ลดสภาวะพลังฉีที่ปรากฏอยู่และยังคงกดกันเหลาเทียนจุนต่อไป
เหลาเทียนหยุนตะโกนทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่บนพื้น “อาวุโสใหญ่! ศิษย์ผู้นี้โหดเหี้ยมและเลวทรามต่ำช้า เขาไม่แม้แต่จะคำนึงถึงศิษย์พี่ที่อยู่ร่วมนิกายเดียวกัน เขาตัดแขนลูกชายของข้า ข้าจะให้อภัยเขาได้อย่างไร!”
จ้าวหวูจิ๋นมองอย่างเหลือเชื่อ เขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสคนนี้จะกล่าวสิ่งต่างๆ ออกมาอย่างไร้ยางอาย จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เวทีเฟิงหยุนไม่ใช่สถานที่ที่จะประณีประนอมเพราะคำว่าศิษย์พี่หรือศิษย์น้อง และมันก็เป็นลูกชายของเจ้าที่บังคับมือให้ศัตรูของเขาเองต้องลงมือ เขาได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่านไปแล้ว”
“ไม่ว่าอะไรก็ตาม ตระกูเหลาของข้าไม่ใช้สิ่งที่ตัวมันผู้นั้นจะเปรียบเทียบได้ อาวุโสใหญ่ โปรดให้ข้าลงโทษเขาด้วย”
“เล่นตลกอะไรอีก ไปซะ! หากข้ารู้ว่าตระกูลเหลาของเจ้าพยายามจัดการกับศิษย์ผู้นี้ ข้าจะไปรายงานกับผู้นำนิกายและไปจัดวินัยในตระกูลเหลาของเจ้า” จ้าวหวูจิ๋นมองอย่างน่ารังเกียจและใช้สภาวะพลังฉีของเขาบังคับทั้งเหลาเทียนหยุนและเหลาเทียนจุนออกไปจากเวที
ขณะเดียวกันกับที่จ้าวหวูจิ๋นกำลังหันมากล่าวกับหลี่ฟู่เฉิน อีกเสียงที่แข็งแกร่งและทรงพลังก็สะท้อนออกมา
“อาวุโสใหญ่! ท่านเอาแต่ใจเกินไป! ตระกูลเหลาของเราสร้างความสำเร็จไว้มากมาย นี่เป็นวิธีที่ท่านควรปฏิบัติต่อตระกูลเหลาของเราหรือไม่?”
จากระยะไกล ร่างเสื้อคลุมสีเขียวบินเข้ามา มันเป็นชายสูงอายุผู้มีผมสีขาว เขาแก่กว่าจ้าวหวูจิ๋นมาก สภาวะพลังฉีของเขาเหมือนกับมหาสมุทรที่ล้ำลึก ในพริบตา มันเหมือนกับว่ากำลังมองดูวังวนน้ำขนาดยักษ์ที่พลังทุกสิ่งถูกดูดกลืนเข้าไป
“เหลาไห่หวัง เป็นข้าที่เอาแต่ใจหรือตระกูลเหลาของข้ากันแน่? เจ้าคงรู้มันดี และข้าก็จะไม่ถกเถียงเรื่องนี้กับเจ้าเช่นกัน นำกลุ่มตระกูลเหลาของเจ้าออกไป!” จ้าวหวูจิ๋นกล่าวกับชายแก่ประสบการณ์ผู้มีผมสีขาว
อ้าปากค้าง!
คนส่วนใหญ่อ้าปากค้างรับอากาศ
วันนี้เกิดอะไรขึ้น? อันดับแรก มันเป็นผู้อาวุโสนิกายชั้นใน จ้าวหวูจิ๋นมาที่นี่เพื่อสังเกตการแข่งขัน ตอนนี้แม้แต่กระทั้งผู้นำตระกูลเหลา เหลาไห่หวังก็มาอยู่ที่นี่แล้วเช่นกัน
เหลาไห่หวัง ระดับเก้าของขอบเขตสวรรค์ เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสชั้นในผู้ซึ่งอยู่หนึ่งในสิบอันดับแรก และสถานะของเขาก็ด้อยกว่าผู้อาวุโสใหญ่ชั้นในเพียงเล็กน้อย
เหลียวไห่หวังไม่ต้องการเพิ่มความอับอาย ดังนั้นเขาจึงจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉิน ก่อนที่ทั้งสามคนจะแยกจากกัน