Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 122
“เช่นนั้น นี้ก็คือนักสู้ขอบเขตสวรรค์?”
หลี่ฟู่เฉินชุ่มไปด้วยเหงื่อ มันราวกับว่าเขาเพิ่งออกมาจากสระน้ำ
นักสู้ขอบเขตสวรรค์นั้นมีอำนาจมากเกินไป ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว ทำเพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากสภาวะพลังฉีก็เพียงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้ล้มลง
เหตุผลที่หลี่ฟู่เฉินสามารถทนต่อสภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนได้ มันไม่ได้เป็นเพราะเขาแข็งแกร่ง ในความเป็นจริง แม้แต่กระทั่งขอบเขตต้นกำเนิดระดับเก้าที่เป็นศิษย์ชั้นหนึ่งก็คงไม่อาจสามารถทนต่อแรงกดดันของเหลาเทียนหยุนได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของระดับการบ่มเพาะ แต่สิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับพลังจิตวิญญาณด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
พลังจิตวิญญาณเป็นสิ่งลึกลับ มันไม่อาจทราบได้ว่าจะมีผลกระทบกับร่างกายอย่างไรบ้าง
หากมนุษย์ที่มีค่าเฉลี่ยตามปกติเชื่อว่าร่างกายของพวกตนป่วย ไม่นานหลังจากนั้น ร่างกายของพวกเขาก็จะป่วยจริงๆ
บางคน หลังจากเข้าไปในสถานที่ที่มีผีสิง ก็จะทีอาการเหมือนถูกครอบงำและมีการแสดงออกแปลกๆ หรือแม้กระทั่งทำสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่แท้จริงแล้วนั้น มันเป็นเพราะพลังจิตวิญญาณของเหยื่อได้รับผลกระทบ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเกิดอาการภาพหลอน
พลังจิตวิญญาณเป็นคุณสมบัติของร่างกายที่อยู่ภายใน เมื่อคุณลักษณะนี้ถูกคุกคาม ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยารุนแรง
ผู้ที่บ่มเพาะจิตวิญญาณ อาจใช้เพียงการจ้องตาหนึ่งครั้งเพื่อทำให้ศัตรูเกิดภาพหลอนและทำสิ่งต่างๆ ที่ขัดต่อเจตจำนงของเหยื่อ
มันเห็นได้ชัดว่าบุคคลที่ทำได้ดังกล่าวแทบจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตำนาน จากหนึ่งพันล้านคนอาจไม่มีแม้แต่เพียงคนเดียวที่ทำเช่นนั้นได้ เฉพาะผู้ที่มีโครงกระดูกชนิดพิเศษเท่านั้นถึงสามารถบ่มเพาะฝกฝึนพลังจิตวิญญาณของตนเองได้
เหตุผลที่หลี่ฟู่เฉินสามารถทนต่อสภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนได้ก็เพราะพลังจิตวิญญาณของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนอื่นหลายเท่า
“ไม่เลว การเอาชนะเหลาเทียนจุนที่กินเม็ดยาพลังฉีเข้าไปได้ สิ่งนี้ทำให้ข้าประหลาดใจ แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทนแรงกดดันจากสภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนได้ เจ้ารู้หรือไม่แม้แต่กระทั่งนักสู้ขอบเขตปฐพีตามค่าเฉลี่ยไม่สามารถทนมันได้?”
หันกลับมา จ้าวหวูจิ๋นมองไปที่หลี่ฟู่เฉินด้วยใบหน้าที่น่าชื่นชม
มันเป็นสิ่งที่ดีที่หลี่ฟู่เฉินมีการรับรู้ที่ยอดเยี่ยม แต่พลังจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งเช่นกัน จ้าวหวูจิ๋นไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ชื่นชมความสามารถพิเศษเหล่านี้
บางทีโครงกระปกติอาจจะเป็นตัวกดความสำเร็จของหลี่ฟู่เฉินไว้ แต่จากศักยภาพในปัจจุบันของเขา การเข้าสู้ขอบเขตปฐพีนั้นคงจะไม่เป็นปัญหาใดๆ ด้วยการรับรู้ของเขา แม้หลังจากที่ก้าวขึ้นไปสู้ขอบเขตปฐพี เขาก็คงจะเป็นหนึ่งในนักสู้ที่น่าเกรงขามอยู่ดี
และหากได้เผชิญหน้ากับวาสนา โอกาสที่จะเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ก็อาจเป็นไปได้
“ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือจากอาวุโสใหญ่ ฟู่เฉินจะตอบแทนคุณในวันนึง” หลี่ฟู่เฉินกล่าวอย่างขอบคุณ
หากไม่ใช่เพราะจ้าวหวูจิ๋น เขาอาจจะกลายเป็นคนพิการไปแล้ว เช่นนั้นเรื่องจุดสูงสุดของเต๋านักสู้หรือเต๋าแห่งดาบก็คงจะไกลเกินตัวเขาแล้ว
“ฮึ่ม นี่คือนิกายคังหลุน หากเขาถูกอนุญาตให้สร้างความยุ่งยากได้ เช่นนั้นแล้วนิกายคังหลุนจะรักษาอำนาจไว้ได้อย่างไร” จ้าวหวูจิ๋นกล่าว
“ท่านปู่ ตระกูลเหลาช่างไร้เหตุผล ไม่ใช่ว่าท่านสมควรรายงานเรื่องนี้ไปยังผู้นำนิกาย?” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยเองก็ขึ้นมาบนเวทีด้วยเช่นกัน
จ้าวหวูจิ๋นส่ายหัว “เจ้าคิดว่าเป็นง่ายที่จะล้มล้างตระกูลโบราณ? ความแข็งแกร่งของตระกูลเหลาโดยรวมอาจจะด้อยกว่าตระกูลจ้าวของเราก็จริง แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ พวกเขาเหนือกว่าเรามาก ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเหลาก็เป็นสมาชิกของนิกายคังหลุน การโค่นล้มพวกนั้นเท่ากับเป็นการทำให้กำลังทหารของนิกายคังหลุนอ่อนแอ่ลง มันจะทำให้เราเสียเปรียบนิกายอื่นมากขึ้น”
ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันไม่มีเหตุผลที่จะกำจัดตระกูลเหลา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ทำให้ใครขุ่นเคือง
ล้างคอของตน จ้าวหวูจิ๋นมองไปที่หลี่ฟู่เฉินอีกครั้ง “ด้วยโครงกระดูกของเจ้า เจ้าไม่ควรมีคุณสมบัติที่จะเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของนิกายคังหลุนเรา แต่หลังจากเห็นการรับรู้และความมุ่งมั่นจากจิตวิญญาณของเจ้า ข้าจึงตัดสินที่จะมอบสถานะอัจฉริยะให้เจ้า แต่สถานะนี้ไม่มั่นคงนัก หากการรับรู้ของเจ้าหายไปในอนาคต และความเร็วในการฝึกฝนลดลง สถานะอัจฉริยะนี้จะถูกถอดถอนออก”
ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ชั้นใน เขามีอำนาจในการมอบสถานะอัจฉริยะให้กับเหล่าศิษย์และไม่จำเป็นต้องขออนุมัติ แต่แน่นอนว่าสิ่งจำเป็นที่หลี่ฟู่เฉินต้องมีก็คือการพิสูจน์ความสามารถและจำเป็นต้องต้านทานกับคุณสมบัติที่ไม่เอื้ออำนวยนี้ มันไม่เหมือนกับว่าจ้าวหวูจิ๋นมอบสถานะอศจรรย์ให้กับคนที่เขาเลือกเลย มันยังมีข้อกำหนดบางอย่างอยู่
“ขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่”
หลี่ฟูเฉินที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ของเขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งนี้
อัจฉริยะชั้นในทั้งหมดเองก็เป็นศิษย์ชั้นหนึ่ง แต่ในระหว่างการซื้อของจากนิกาย พวกเขาได้รับส่วนลดมากกว่าศิษย์ชั้นหนึ่ง
ศิษย์ชั้นหนึ่งได้รับส่วนลด 30% ในขณะที่ศิษย์อัจฉริยะชั้นในได้รับส่วนลด 50% นั่นคือคะแนนสะสมที่ลดลง 20% ซึ่งเขาขาดมันไป
ถ้าเขาจะไปแก่นสารเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2 มันจะเป็น 100,000 เหรียญทองต่อขวดแทนที่จะเป็น 140,000 เหรียญทองแบบก่อนหน้า ประหยัดไปได้ถึง 40,000 เหรียญทอง
“วิธีที่ดีที่สุดในการทดแทนคุณของเจ้า คือการฝึกฝนให้หนักเข้าไว้ รักษามันไว้ให้ดี!”
จ้าวหวูจิ๋นตบไหล่หลี่ฟู่เฉิน
เขาเป็นคนที่ชื่นชอบในพรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหมิ๋งเยวี่ยหรือหลี่ฟู่เฉิน ในสายตาของเขา พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเมล็ดพันธ์ที่มีพรสวรรค์
แต่หลี่ฟู่เฉินนั้นแตกต่างจากจ้าวหมิ๋งเยวี่ย หลี่ฟู่เฉินมีปัจจัยที่ไม่รู้มากมาย เขาไม่กล้าทำนายว่าหลี่ฟู่เฉินจะลงเอยที่ใด หากไม่ใช่เพราะการรับรู้ที่ผิดปกติของเขา เขาคงจะทำเพียงแต่ให้คำสรรเสริญและไม่ได้ให้สถานะอัจฉริยะแก่หลี่ฟูเฉิน
“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง อาวุโสใหญ่” หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า
“ตอนนี้ข้าไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องไป” จ้าวหวูจิ๋นยิ้ม ร่างกายของเขาส่องประกายและกลายเป็นสายธารแสง ขณะที่เขาหายไปจากวิสัยทัศน์ของทุกคน
“ข้าช่วยเหลือเจ้าครั้งใหญ่ ไม่ใช่ว่าเจ้าควรพาข้าและเฉินชิเซียงไปเลี้ยงอาหารซักมื้อ?” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยหัวเราะ
“แน่นอน”
ในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อฝึกฝนเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต เขาจึงต้องซื้อเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2 มาถึงสามขวด มันมีราคาทั้งหมด 420,000 เหรียญทอง และตอนนี้เขาเหลือเพียง 100,000 เหรียญทองเท่านั้น
แต่เมื่อถึงเวลที่ต้องเลี้ยง สิ่งที่ยิ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรบ่ายเบี่ยงด้วยเช่นกัน
นอกเวทีเฟิงหยุน คนส่วนใหญ่ไม่ได้จากไปในทันที แต่ละคนจ้องมองไปที่หลี่ฟู่เฉินด้วยสายตาที่อิจฉาและชื่นชม
“ผู้อาวุโสใหญ่ชั้นในมอบสถานะอัจฉริยะชั้นในให้กับศิษย์ผู้นี้จริงๆ มันจะดีแค่ไหนกันหากข้าได้มันมาแบบนั้น อย่างน้อยมันก็จะเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของข้าได้หลายเท่า”
“ถูกแล้ว! อัจฉริยะนิกายชั้นในสามารถแลกสินค้าจากนิกายได้ในราคาที่ลดลง 50% มันจะช่วยให้เจ้าประหยัดคะแนนสะสมได้มาก!”
“เจ้ายังไม่ควรชื่นชมยินดีตอนนี้ นิกายชั้นในทั้งหมดมีศิษย์อัจฉริยะทั้งหมดกว่า 30 คน แม้ว่าเจ้าจะได้รับสถานะอัจฉริยะมา แต่คุณสมบัติของเจ้าอาจไม่เหมาะสมกับมันก็ได้
ทุกคนเริ่มถกเถียงกัน
ได้ยินการสนทนา หยูเหวินเทียนส่งเสียงฮึ่มและออกจากเวทีเฟิงหยุน
“หลี่ฟู่เฉิน ตอนนี้ข้าจะอนุญาตให้เจ้าแผลงฤทธิ์ไปก่อน” ฟางเหล่ยไห่ระงับอารมณ์ของตัวเองและจากไป
“อัฉริยะชั้นใน? ฮี่ฮี่ หลี่ชิตี๋ได้กำไรจากภัยพิบัติครั้งนี้แล้ว” เฉินฟางหัวหัวเราะ
ก่อนที่ฝูงชนจะแยกย้ายกันไป ทั้งสามคนเดินทางไปยังศาลาละเอียดอ่อนเพื่อทานอาหารมื้อใหญ่อีกมื้อนึง
แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะรู้สึกจุกนิดๆ เมื่อเขาต้องจ่ายเหรียญทองออกไปหลายพัน แต่เมื่อเทียบกับการได้รับสถานะอัจฉริยะชั้นใน เหรียญทองเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรเลย มันเป็นค่าใช้จ่ายจากการแอดออมเพื่อซื้อเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาจำเป็นต้องได้รับทองเพิ่มขึ้น
***
“ครึ่งแรกของปีผ่านไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องทำภารกิจนิกายอีกครั้ง”
ภารกิจหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีเป็นกฎขั้นพื้นฐานสำหรับศิษย์นิกายชั้นในที่ต้องปฏิบัติตาม
ครั้งนี้ หลี่ฟู่เฉินพร้อมที่จะเลือกภารกิจระดับสูงเพื่อที่จะได้รับคะแนนสะสมมากขึ้นและอาจได้รับเหรียญทองมากขึ้นด้วย
ทานมื้อเย็นเสร็จ หลี่ฟูเฉินเดินทางกลับ
ที่เชิงเขา หลี่ฟู่เฉินหยุดเดิน ขณะที่เขาเดินผ่านเข้าไปในลานบ้าน
แต่เดิมลานแห่งนี้เป็นของจือฮงซิ่ว
เมื่อปีก่อน จ้าวฮงซิ่วได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์นิกายชั้นใน แต่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา จือฮงซิ่วหายตัวไปพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของเธอจือเซี่ยวหมิ๋ง สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าตระกูลจือต้องมีปัญหาแน่ๆ
น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงแค่นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิด เขาไม่แม้แต่จะป้องกันตัวเองได้ มันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะต้องปกป้องตระกูลๆ นึง ยิ่งไปกว่านั้น ที่จือฮงซิ่วออกจากนิกายคังหลุนไปอาจจะไม่ใช่เพราะเรื่องเลวร้าย ดังนั้น หลี่ฟู่เฉินจึงไม่ได้คิดมันต่ออีกต่อไป