Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 130
บทที่ 130
ตระกูลหม๋าผู้หยิ่งผยอง
ตระกลูเจิ้ง
หลังจากที่รอมากว่าหนึ่งเดือน ตระกูลเจิ้งกลับกลายเป็นกังวล
พระพุทธรูปหยกคือมรดกตกทอดของตระกูลเจิ้ง และเทคนิคลับมังกรเร้นลับก็คือเทคนิคลับที่ตระกูลเจิ้งต้องการให้คนรุ่นต่อไปของตระกูลสืบทอด ดังนั้น สิ่งนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหายไปได้ หากหลี่ฟู่เฉินล้มเหลว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว
“ข้าสงสัยว่าวีรบุรุษหนุ่มหลี่ได้พบกับพี่น้องสามหวังแล้วหรือยัง?”
ในศาลาเจ็ดชั้นที่พำนักของผู้นำตระกูลเจิ้ง ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้งมองไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไป หวังอยากที่จะเห็นร่างของหลี่ฟู่เฉิน
“อ๊ะ!”
หลังจากจ้องมองบ้างบางครั้งหลายเวลา ผู้อาวุโสเริ่มส่ายหัวและเตรียมที่จะลงจากศาลาแห่งนี้
“ลุงสอง นั้น นั้นใช่วีรบุรุษหนุ่มหลี่หรือไม่?”
ผู้นำตระกูลตื่นเต้นขณะที่ชี้ไปยังที่แห่งนึง
“ให้ข้าดู”
ผู้อาวุโสรีบหันกลับไป
“มันเป็นวีรบุรุษหนุ่มหลี่! ฮ่าฮ่า! ให้เราได้ตอนรับเขา!” ผู้อาวุโสตระกูลเจิ้งหัวเต็มเสียง
ด้านนอกประตูบ้านของตระกูลเจิ้ง เหล่าอาวุโสของตระกูลเจิ้งยืนเรียงกันเป็นสองแถวเพื่อรอต้อนรับ
“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ เกี่ยวกับพระพุทธรูปหยก…” ผู้นำตระกูลเจิ้งถามอย่างระมัดระวัง
หลี่ฟู่เฉินเดินเข้ามาและหัวเราะ “โชคยังดีที่ข้าไม่ได้ทำให้ตัวเองขายหน้า”
จบคำพูดของเขา เขาหยิบพระพุทธรูปหยกออกจากที่เก็บสัมภาระ
“ขอบคุณวีรบุรุษหนุ่มหลี่ ขอบคุณมาก!” ผู้นำตระกูลตื่นเต้นยิ่ง และรับพระพุทธรูปหยกมาพร้อมกับคำขอบคุณ
***
เพื่อที่จะฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับ จึงจำเป็นต้องมีพระพุทธรูปหยก ดังนั้น หลี่ฟูเฉินต้องอยู่ที่ตระกูลเจิ้งชั่วคราว
เขาตั้งใจที่จะเข้าถึงขั้นสามของเทคนิคลับมังกรเร้นลับให้ได้ก่อนจะกลับไปยังนิกาย
มันคงจะช่วยชีวิตเข้าได้หากต้องเดินทางไปยังที่ๆ แปลกประหลาด
“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ อาหารกลางวันของท่าน”
ลานนอกบ้าน สาวใช้สองคนถือถาดอาหารมา
“วางไว้ที่โต๊ะหินด้านนอก ข้าจะทานมันทีหลัง” เสียงของหลี่ฟู่เฉินดังมาจากในบ้าน
“วีรบุรุษหนุ่มหลี่แน่แล้วว่าต้องขยันหมั่นเพียร เขาไม่ได้ออกจากบ้านตลอดทั้งสัปดาห์และฝึกฝนอย่างหนักเพื่อพัฒนาทักษะต่อสู้ของเขา ไม่น่าแปลกใจที่เขามีความสามารถในระดับนี้ได้”
“อ้าย… มันคงจะดีถ้าข้าได้วีรบุรุษหนุ่มหลี่เป็นสามี!”
“เลิกฝันได้แล้ว! แม้แต่นายหญิงตระกูลเจิ้งของเราก็ยังดีไม่พอสำหรับวีรบุรุษหนุ่มหลี่ มันคงจะดีกว่าหากเจ้านำมันไว้ในความฝันตลอดไป!”
“ข้าก็แค่ฝันถึงเท่านั้นเอง”
วางถาดลงไว้ แม่บ้านสองคนจากไปขณะที่หัวเราะคิกคัก
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายหัว
เทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นที่สามยากต่อการฝึกฝน ครึ่งเดือนผ่านไปแล้วแต่หลี่ฟู่เฉินก็ยังไม่พบจุดสำคัญสำหรับการพัฒนาต่อไป เขาคาดว่าเขาจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งหรือสองเดือนก่อนที่เขาจะเชี่ยวชาญ
วันนี้ หลี่ฟู่เฉินทำการฝึกฝนสืบต่อไป
ห่างออกไปหลายไมล์ กลุ่มคนที่ขี่ม้าเลือดปีศาจกำลังวิ่งตรงมาที่ตระกูลเจิ้ง
“นายน้อยชิงหยาง ผู้นำตระกูลผู้นี้ต้องการถูกบังคับมากกว่าถูกยื่นข้อเสนอ มันเป็นพรสำสำหรับพวกเขาแล้วที่นายน้อยชิงหยางต้องการแต่งงานกับหญิงสาวของตระกูลเจิ้ง เจิ้งเหว่ย แต่พวกเขายังกล้าที่จะปฏิเสธอยู่อีก?”
“นั้นถูกแล้ว ตอนนั้นคราแรกหญิงสาวจากตระกูลหลูไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตาม แต่ท้ายที่สุดก็ต้องจบลงด้วยการเป็นผู้หญิงของนายน้อยชิงหยางอยู่ดี”
ผู้นำกลุ่มที่ขี่ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 คือชายอายุ 30 ปี เขามีใบหน้ายาวและจมูกรูปกระเทียม เขาไม่ถือว่าน่าเกลียด แต่ให้ความรู้สึกที่ดูแล้วอึดอัด
ชายสองคนที่อยู่ข้างเขาไม่หยุดที่จะหาคำประจบ
ชายผู้นี้ชื่อหม๋าชิงหยาง ไม่นานจากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่โหดเหี้ยม “หญิงสาวจากตระกูลหลูไม่เชื่อฟังข้าฉะนั้นนางจึงถูกทรมานจากข้าเป็นเวลากว่าเดือน หญิงสาวจากตระกูลเจิ้งนางนี้เองก็ไม่เชื่อฟังข้าเช่นกัน หลังจากข้าพาเธอกลับไปได้แล้ว ข้าจะทรมานนางเป็นเวลาสามเดือน”
ตระกูลหม๋าของเขาเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักของเมืองจวนปีศาจ ตระกูลของเขามีนักสู้ขอบเขตปฐพีสามคนและสมาชิกของตระกูลจำนวนมาก็อยู่ในนิกายวารีคราม(คังหลุน) ทุกทิศของเมืองจวนปีศาจ ไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานตระกูลหม๋าเว้นแต่ตระกูลหลีกอีกสองตระกูล
“นายน้อยชิงหยาง พวกเรามาถึงตระกูลเจิ้งแล้ว”
“เข้าไป!”
หม๋าชิงหยางไม่ได้ลดความเร็วของตนเองลง และนำพากลุ่มของเขาไปที่บ้านของผู้นำตระกูลเจิ้ง
ด้วยกลุ่มคนที่กำลังขี่ม้าเข้ามามากมาย สมาชิกตระกูลเจิ้งกลายมาเป็นหวาดกลัว
ผู้นำตระกูลเจิ้งพยายามยกยิ้มและเดินเข้าไปเบื้องหน้าของหม๋าชิงหยางขณะที่ป้องกำปั้น “ข้าสงสัยว่าทำไมนายน้อยชิงหยางถึงมาอยู่ที่นี่?
หม๋าชิงหยางไม่ได้กล่าวสิ่งใด ชายข้างเขาพูดแทน “พาลูกสาวของเจ้าออกมา นายน้อยชิงหยางของข้าได้มานำลูกสาวของเจ้ากลับไปที่ตระกูลหม๋า นอกจากนี้ ท่านยังได้เตรียมเหรียญทองอีก 100,000 เหรียญทองเพื่อมาเป็นของฝาก ทำมัน หากเจ้าไม่ต้องการเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะตามมา”
ผู้นำตระกูลเจิ้งระงับความโกรธของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ “เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับการที่นายน้อยชิงหยางชมชอบลูกสาวข้า ตามตรรกะ มันควรจะเป็นพรสำหรับลูกสาวของข้า แต่ลูกสาวของข้ามีคนที่นางเลือกอยู่แล้ว ดังนั้น….”
“กล้าดียังไง! เจ้ารู้หรือไม่ว่านายน้อยชิงหยางของเราเป็นหลานชายของผู้นำตระกูลหม๋า? หยุดเรื่องไร้สาระของเจ้าก่อนที่เราจะกำจัดตระกูลเจิ้งทิ้ง!” ชายอีกคนดึงดาบออกมาและตะโกนอย่างดุเดือด
ผู้นำตระกูลหลังจากทั้งหมดแล้วก็ยังเป็นผู้นำตระกูลอยู่ดี ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาจำเป็นต้องทนทุกข์ทรมาณจากจากถูกปฏิบัติเช่นนี้ เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านเจ้าเมืองรู้หรือไม่ว่าตระกูลของท่านกำลังมาสร้างความรำคาญให้กับที่นี่?”
ตระกูลลำดับที่ 1 ของเมืองจวนปีศาจแน่นอนว่าย่อมเป็นตระกูลของท่านเจ้าเมือง ตระกูลซู
ได้ยินคำถาม การแสดงออกทางสายตาของหม๋าชิงหยางกลายเป็นน่ากลัว “เจ้ากล้าใช้ชื่อของเจ้าเมืองเพื่อหยุดยั้งข้า? เจ้ากำลังมองหาความตายอยู่หรือไร?”
“ข้าไม่กล้า แต่อย่าได้บังคับข้าให้ทำ”
ผู้นำตระกูลเจิ่งไม่เชื่อว่าตระกูลหม๋ากล้าที่จะกำจัดตระกูลเจิ้งของเขา นิกายวารีครามเป็นนิกายที่ชอบธรรม และในแว่นแคว้นของพวกเขามักมีความสงบสุขอยู่เสมอ หากตระกูลหลักต้องการที่จะกำจัดตระกูลรอง พวกเขาจะต้องทำในที่มืดและไม่ให้ใครรู้ ถ้าเจ้าเมืองรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะเข้ามายุ่งแน่นอน หากการกระทำดังกล่าวถูกทำภายในเมืองของเขา เช่นนั้นแล้วชื่อเสียงในฐานะผู้ปกครองเมืองย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน
“ฮี่ฮี่ ข้าจะโง่กำจัดตระกูลเจิ้งของเจ้าทั้งตระกูลไปทำไม? แต่ข้ามีอำนาจพอที่จะนำเจ้ากลับไปเพื่อทำการสอบสวน ข้าได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลเจิ้งวางแผนที่จะสังหารบุคคลหนึ่งในผู้ที่อยู่ชั้นปกครองของข้า ตอนนี้ข้ามีหลักฐานแล้ว นำเขากลับไปสอบสวน ทุกคนที่ไม่เชื่อฟังจะต้องตาย!”
หม๋าชิงหยางโบกมือแล้วประกาศ
“กล้าดียังไง!”
ผู้อาวุโสเจิ้งเดินออกมาจากห้องโถงด้วยความโกรธ
“กล้าแล้วอย่าไร? ตระกูลหม๋าของข้าเป็นท้องฟ้าสำหรับเมืองจวนปีศาจ หากเจ้ากล้าขัดขืนเรา เจ้าควรวางแผนสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด!”
ด้วยคำสั่งจากหม๋าชิงหยาง สี่การ์ดที่อยู่ในระดับเก้าของขอบเขตต้นกำเนิด ลงจากม้าของพวกเขาและล้อมรอบผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้ง
ใบหน้าของผู้นำตระกูลเจิ้งกลายเป็นขาวซีด หยิ่งเกินไป เป็นบุคคลที่ไร้กฏเกณฑ์อย่างแท้จริง
“พ่อ”
ขณะนี้เอง หญิงสาวที่บอบบางและสง่างามรีบออกไป
“เหว่ยเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงออกมา? กลับเข้าไปเร็ว!”
(หมายเหตุ TL: บางครั้งพ่อแม่ก็พูดกับลูกของตนเองว่าเอ๋อ เช่นผู้นำตระกูลเจิ้งที่เรียก เจิ้งเหว่ยว่าเหว่ยเอ๋อ)
การแสดงออกของผู้นำตระกูลเจิ้งเปลี่ยนไปทันที
“ตั้งแต่ที่เจ้าได้ออกมาแล้ว ทำไมถึงต้องกลับเข้าไปอีก? เจิ้งเหว่ย พ่อของเจ้าเป็นผู้ที่มีความผิดร้ายแรงและต้องกลับไปตระกูลหม๋ากับข้า เจ้าเองก็ควรมาด้วยเช่นกัน บางทีพ่อของคุณอาจถูกทรมานน้อยลง หากเจ้าบริการข้าได้ดี ข้าอาจพิจารณาได้การปล่อยพ่อของเจ้าไป” หม๋าชิงหยางยกยิ้มอย่างน่ารังเกียจ
“ข้าจะไปกับเจ้า แต่เจ้าต้องปล่อยพ่อของข้าไป” เจิ้งเหว่ยยอมรับชะตากรรมของเธอ
“เหว่ยเอ๋อ ไม่!” ผู้นำตระกูลเจิ้งตื่นตระหนก
“พ่อของเจ้าเอ่ยปากของตนเองโดยไม่คิดและทำให้ข้าขุ่นเคือง แต่ข้าจะให้โอกาสเขา หากเขาคุกเข่าลงและขอร้องข้า” หม๋าชิงหยางไม่ได้จากลงม้าและกล่าวออกมาอย่างคนสูงศักดิ์และยิ่งใหญ่
“เวรเอ้ย” ผู้นำตระกูลเจิ้งคิดสละชีวิตและต่อสู้กับมัน
“เย่อหยิ่งเสียจริง อะไรที่ทำให้สุนัขกล้าแสดงความกล้าหาญที่นี่เช่นนี้?”
ร่างเดินออกมาที่ลานบ้านของผู้นำตระกูลเจิ้ง
“สารเลวน้อย กำลังมองหาความตายอยู่หรือไร? เจ้ากล้ากล่าวว่านายน้อยชิงหยางเป็นสุนัข?” ชายคนหนึ่งดึงดาบของเขาออกมาและฟันไปที่หลี่ฟู่เฉิน
ประกายความเย็นชาส่องผ่านออกมาจากดวงตาของหลี่ฟู่เฉิน ในขณะที่เขาส่งฝ่ามือออกไป
ด้วยแสงเจิดจ้าที่บังสายตา ชายคนนั้นถูกเผาทันที
เห็นฉากนี้ สมาชิกตระกูลหม๋ากลายเป็นโง่งม
มีคนกล้าฆ่าใครบางคนที่มาจากตระกูลหม๋าอย่างเช่นพวกเขา ผู้ชายคนนี้กระทำความผิดร้ายแรงและไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้อีกต่อไป แม้ว่าเจ้าเมืองจะอยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะมีข้อแก้ตัว
“สารเลวนี้มาจากไหน? ฆ่ามัน!” หม๋าชิงหยางตำราม
“ฆ่า!” สมาชิกตระกูลหม๋าส่วนใหญ่พุ่งไปที่หลี่ฟู่เฉิน