Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 132
บทที่ 132
ขั้นที่สามของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ
ตระกูลเจิ้งต่างสั่นสะท้านเมื่อตกอยู่ภายใต้สภาวะพลังฉีของหม๋าไท่ชง แม้แต่กระทั้งผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้งเองก็มีใบหน้าที่ซีดเซียว ไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาแม้แต่เพียวครึ่งคำ
ในโลกของนักสู้ ความแตกต่างระหว่างขอบเขตบ่มเพาะนั้น เปรียบเหมือนคนที่ถูกแยกออกจากกันด้วยคลองกว้างขวาง
ผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตปฐพี สามารถใช้พลังฉีของพวกเขาออกมา
แรงกดดันจากสภาวะพลังฉีคือการรวมกันของสภาวะพลังฉีและความมุ่งมั่นทางจิตวิญญาณ แรงกดดันเกิดจากคุณสมบัติทั้งสอง
มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะพูดว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้กระทั่งนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปดก็ไม่สามารถเอาชนะนักสู้ขอบเขตปฐพีได้ ไม่ใช่เพราะความสามารถไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะเจตจำนงแห่งการสู้รบ ภายใต้แรงกด
ดันพลังฉี บุคคลนั้นถือว่ามีความสามารถมากล้ว หากสามารถใช้ความแข็งเดิมของเขา / เธอได้ 60% จากปกติ
แต่หากมีนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับเก้ามากกว่านี้ เมื่อนั้นสถานการณ์อาจแตกต่างกัน ด้วยตัวเลขที่มากขึ้น แรงกดดันพลังฉีของกลุ่มก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น นักสู้ขอบเขตสวรรค์ไม่กล้าใช้แรงกดดันพลังฉีของพวกเขาในการต่อสู้กับกองทหารหนึ่งพันนาย
“สารเลวน้อยตัวนั้นอยู่ไหน!”
หม๋าไท่ชงถามผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้ง
“เจ้าอยู่ในวัยชราแล้ว และเจ้ามาที่นี่เพื่อเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้ทำไมกัน? ไม่ดีกว่าหรือที่จะใช้เวลาไปแล้วเพลิดเพลินอยู่ที่บ้าน?”
“สารเลวน้อย ไม่คิดว่าเจ้าจะมีปากดุจสุกรเช่นนี้ ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนบุพการีของเจ้าเอง”
หม๋าไท่ชงใช้แรงกดดันของสภาวะพลังฉีใส่หลี่ฟู่เฉิน
ต่อต้านแรงกดดันจากหม๋าไท่ชง หลี่ฟูเฉินก็ยังอยู่ลักษณะที่ไม่แยแสเช่นเดิม “แรงกดดันจากสภาวะพลังฉีของเจ้าอ่อนแอ่เกินไป ระดับนี้และเจ้ายีงกล้ามาที่นี่เพื่อสร้างความอับอายหรือไม่?”
ประสบกับแรงกดดันพลังฉีของหม๋าไท่ชง หลี่ฟูเฉินประเมินว่าเทคนิคบ่มเพาะของเขาอยู่ในสีเหลืองระดับสูงสุด
บางทีหม๋าไท่ชงอาจอยู่ในนิกายวารีครามในช่วงวัยหนุ่มของตัวเขาเอง
เห็นได้ชัดว่าเมื่อตอนที่เขายังหนุ่มเขาอาจเป็นแค่ศิษย์แรงงานหรือเป็นผู้ดูแลชั้นนอก ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับเทคนิคการบ่มเพาะระดับลึกลับขั้นต่ำ
เพื่อเข้าถึงเทคนิคบ่มเพาะระดับลึกลับขั้นต่ำ หนึ่งจะต้องเป็นศิษย์ชั้นใน หรือเข้าร่วมกองทัพวารีคราม ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนั้นมีตัวเลือกมากมาย
หม๋าไท่ชงไม่ได้คาดหวังว่าแรงกดดันจากสภาวะพลังฉีของเขาจะไม่สามารถกดดันหลี่ฟู่เฉินได้ และกลับกันเขายังเป็นฝ่ายถูกทดสอบเอง เมื่อเห็นว่าแรงกดดันพลังฉีของเขาใช้การไม่ได้ เขาดึงพลังฉีออกมาและเริ่มเคลื่อนไหว
“สุนัขเฒ่า ข้าอยากลองใช้พลังของเทคนิคลับของข้า ฉะนั้นข้าจะใช้เจ้าเป็นหนูทดลอง!”
โคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับระดับที่สิบสี่
เปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นสอง
บูม!
สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินพุ่งทะยานทะลุหลังคา และไม่ได้ด้อยไปกว่าของหม๋าไท่ชง คุณภาพของสภาวะพลังฉีที่ปรากฏของเขานั้นดีกว่าของหม๋าไท่ชง มันมีออร่าที่น่าประทับใจ
“อะไร? เขาฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับถึงขั้นที่สองแล้วหรือไม่?”
ผู้นำตระกูลเจิ้งกลายเป็นโง่งม หัวใจของเขารู้สึกช็อค
หลังจากฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับ สภาวะพลังฉีของคนๆ นั้นจะมีออร่าพิเศษที่สามารถเพิ่มพลังฉีได้
เขามาถึงเพียงขั้นแรกของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ ดังนั้นผลลัพธ์ของออร่าพิเศษคือหนึ่งนาที
แต่จากสภาวะพลังฉีที่ปรากฏจากตัวของหลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งกว่าของเขาอย่างน้อยสิบเท่า
มันเห็นได้ชัดว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับของหลี่ฟู่เฉินอยู่ขั้นที่สอง
“อัจฉริยะรุ่น!”
ผู้อาวุโสเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับอาการวิงเวียนศีรษะที่มีอย่างท่วมท้น
ดวงตาของหม๋าไท่ชงหดแคบลงในขณะที่หัวใจของเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่เมื่อเริ่มเรื่องแล้ว จะไม่มีจุดให้เสียใจ การกำจัดความบาดหมางต้องเป็นสิ่งแรก
วาดดาบของเขา หม๋าไท่ชงใช้วิชาดาบวายุเร่งเร้าใส่หลี่ฟู่เฉิน
“ดาบดาวตก” หลี่ฟู่เฉินดำเนินการ
บูม!
สนามหญ้าหน้าบ้านซึ่งเป็นที่พำนักของผู้นำตระกูลเจิ้ง พายุรุนแรงก่อตัวขึ้น ทำให้เสื้อผ้าของทุกคนสั่นไหวไปกับสายลม
“เขาทนดาบของข้าได้จริงๆ สารเลวน้อยนี้เป็นสัตว์ประหลาดประเภทใด?” หนังศีรษะของหม๋าไท่ชงชาด้าน
เขาผู้ซึ่งเป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่สอง แท้จริงแล้วไม่ควรต้องใช้กระบวนดาบกับนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หกด้วยซ้ำ เพียงคลื่นฝ่ามืออันเรียบง่ายของเขาก็น่าจะเพียงพอที่จะส่งฝ่ายตรงข้ามบินออกไปแล้ว
“สมควรแล้วที่เป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่สอง”
นอกเหนือจากด้านพลังบ่มเพาะ หลี่ฟูเฉินเหนือกว่าคู่แข่งของเขาไม่ว่าจะด้านใดๆ
เทคนิคบ่มเพาะสีเหลืองระดับสูงสุดเทียบเท่ากับเทคนิคบ่มเพาะลึกลับขั้นกลางระดับที่เจ็ด หลี่ฟูเฉินสูงกว่าคู่ต่อสู้ของเขาถึงเจ็ดระดับ
ในแง่ของความแข็งแรงทางกายภาพ ฝ่ายตรงข้ามอย่างดีที่สุดก็น่าจะอยู่ที่ 12,000 กิโลกรัม แต่เขามี 35,000 กิโลกรัม
สำหรับทักษะดาบ ฝ่ายตรงข้ามใช้ทักษะดาบสีเหลืองขั้นสูงสุด ในขณะที่เขาใช้ทักษะลึกลับขั้นต่ำและยังอยู่ขั้นภวังค์ที่แฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งดาบ
แต่ถึงแม้จะมีข้อได้เปรียบมากมาย พวกมันก็สามารถชดเชยความสมดุลได้ด้วยระดับการบ่มเพาะ
หลังจากทั้งหมดแล้ว ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองก็คือห้าระดับ ในระหว่างนั้นยังมีอุปสรรคจากขอบเขตต้นกำเนิดไปยังขอบเขตปฐพีอยู่ด้วย
เคร้ง เคร้ง!
ร่างสองร่างพุ่งเข้าหากันและดาบของพวกเขาปะทะกันไปมา ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความเร็วสูงที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“ระบำวายุเร่งเร้า!”
ทันใดนั้นเอง หม๋าไท่ชงบิดดาบยาวของเขา สภาวะพลังจากดาบราวกับเกิดมาจากพายุหมุน เมื่อนั้นเองที่มันพุ่งเข้าใส่หลี่ฟู่เฉิน
“ มาดูกันว่าเจ้าจะป้องกันสิ่งนี้ได้อย่างไร!”
หลังจากที่ใช้กระบวนดาบ หม๋าไท่ชงก็หัวเราะอย่างเย็นชา
เขาไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมด และรู้ได้จากระหว่างการต่อสู้ หนึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาข้อดีของตนเองและหลีกเลี่ยงข้อเสีย หลี่ฟูเฉินอาจมีความสามารถสูง่าง แต่ไม่สามารถปลดปล่อยพลังฉีได้ และนั่นคือข้อได้เปรียบที่โดดเด่นที่สุดของหม๋าไท่ชง
‘แม้ว่าข้าจะปลดปล่อยพลังฉีได้ แต่มันก็ไม่ดีเท่าของคู่ต่อสู้ของข้า ข้าไม่ควรเสียพลังฉีไปทั้งแบบนั้น’
เปิดใช้งานขั้นที่สองของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ หลี่ฟู่เฉินจึงสามารถปลดปล่อยพลังฉีได้แล้ว แต่เขาไม่ต้องการใช้มัน
ใช้ย่างก้าวไร้เงา หลี่ฟู่เฉินกลายเป็นเหมือนเงาและหลบดาบพลังฉี
หลังจากการแลกกันมาหลายสิบกระบวนท่า ก็ยังไม่มีใครสามารถได้เปรียบใคร
ในฝูงชนที่มาจากตระกูลหม๋า หม๋าชิงหยางรู้สึกอัศจรรย์ใจ
“เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้!”
เขาไม่สามารถเข้าใจโลกของอัจฉริยะได้ และไม่สามารถเข้าใจโลกของอัจฉริยะที่ท้าทายสวรรค์
การต่อสู้ทั้งรุนแรงและสงบ หลี่ฟูเฉินตกอยู่ในสภาพจิตใจที่ผิดปกติ
เขารู้สึกราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังฟูมฟักอยู่ภายในร่างกายของเขา
เมื่อการต่อสู้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ความรู้สึกก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน
“มันเป็นเทคนิคลับมังกรเร้นลับหรือไม่?” ไม่นานจากนั้นหลี่ฟูเฉินก็พบต้นเหตุของปัญหา
เทคนิคลับมังกรเร้นลับเป็นเทคนิคลับประเภทการต่อสู้ ระหว่างการต่อสู้เท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะจากขั้นที่สองไปยังขั้นที่สาม จะต้องมีประสบการณ์การต่อสู้หลายร้อยครั้ง
แยกความคิดของเขาออกเป็นสอง หลี่ฟูเฉินจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของเขากับหม๋าไท่ชง และยังกดจิตสำนึกของเขาให้ไปอยู่ใต้ร่าง
เส้นชีพจรหลายร้อยเส้นเปล่งประกายในร่างกายของเขา
เทคนิคลับมังกรเร้นลับนั้นแตกต่างจากเทคนิคบ่มเพาะ มันไม่จำเป็นต้องโคจรพลัง มันเพียงต้องการให้พลังฉีไหลผ่านเส้นชีพจรเพื่อเปิดใช้งาน ซึ่งนี้ก็จะช่วยให้พลังฉีสามารถหมุนได้โดยอัตโนมัติ และเพิ่มพลังสภาวะการระเบิดพลังฉีได้ตามธรรมชาติ
แต่แน่นอน การกระทำเช่นนั้นจะช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้ออกพลังของผู้ใช้งานเป็นสองเท่าหรือมากกว่า
“เมื่อมังกรต่อสู้ในป่า เลือดของมันฉาบท้องฟ้าให้เป็นสีเหลือง”
(หมายเหตุ TL: นี่คือคำพูดที่อธิบายว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งเป็นปฏิปักษ์กับศัตรูคนของตนเอง คนๆ นั้นจะยอมสละชีวิตเพื่อกำจัดความชิงชังให้เสร็จสิ้น)
โดยไม่รู้ตัว หัวใจของหลี่ฟู่เฉินได้กล่าวคำโบราณเช่นออกมานี้
“เจ้าตัวอวดดี ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้เทคนิคอันใดเพื่อเพิ่มความสามารถของเจ้า แต่เทคนิคนั้นคงจะบริโภคพลังฉีออกไปจำนวนมาก มาดูกันว่าเจ้าจะทนได้นานแค่ไหน”
หม๋าไท่ชงไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป
ไม่จำเป็นต้องกังวล สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลลัพธ์สุดท้าย
“เป็นเช่นนั้น?” หลี่ฟู่เฉินยิ้มอย่างลึกลับ
เขาที่มีการรับรู้อันพิเศษ ใช้การต่อสู้เพียงครั้งเดียวเพื่อทำความเข้าใจประเด็นสำคัญของเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นสาม
แน่นอนว่าเวลาที่เขาใช้ไปก่อนหน้านี้ก็เป็นปัจจัยใหญ่ที่สำคัญเช่นกัน
ฮึ่ม!
ได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน เสียงคำรามที่น่าประทับใจสะท้อนออกมา
“เสียงนั่นคืออะไร” หม๋าไท่ชงตกใจ
“มันเป็นเสียงความพ่ายแพ้ของเจ้า”
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเสียงดัง ขณะนั้นเองสภาวะพลังฉีที่น่ากลัวก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สถานที่ปกคลุมไปด้วยสภาวะพลังฉี ทุกคนคิดว่าพวกเขาเห็นมังกรยักษ์กำลังทะยานขึ้นไป วิญญาณของพวกเขากลายเป็นตื่นตระหนกภายในไม่ช้า และพวกเขาก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนใดๆ
“เทคนิคลับมังกรเร้นลับ ขั้นที่สาม?!”
ปากของผู้อาวุโสเจิ้งอ้ากว้างและไม่สามารถปิดลงได้
“เตรียมรับความพ่ายแพ้!”
หลี่ฟู่เฉินรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ และเป็นลาวาที่พร้อมจะหลอมละลายสิ่งต่างๆ
เมื่อดาบดาวตกถูกใช้ออก สิ่งที่คลายกับดาวก็พุ่งไปในอากาศ
แสงเจิดจ้าและความเร็วทำให้ลานหน้าบ้านของผู้นำตระกูลเจิ้งทั้งหมดดูเยือกเย็นลงทันตา