Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 133
บทที่ 133
พลังฉีมังกรเร้นลับ
ปิสส!
เมื่อดาบดาวตกทะลุผ่านร่างกาย หม๋าไท่ชงกลายเป็นแข็งค้างทันที
มันไร้ประโยชน์แม้ว่าท่านจะมีเกราะพลังฉีหรือแม้แต่กระทั้งเกราะหนังสัตว์ปีศาจก็ตามที
ด้วยการโจมตีครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกับจะถูกเจาะทะลุ
ด้วยการกวัดแกว่งดาบเหล็กดำ ดาบพลังฉีจึงถูกตวัดให้กระเด็นออกไป ขณะที่มันพุ่งเข้าไปตัดแขนหม๋าไท่ชงต่อ หลี่ฟู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส “นับแต่นี้เป็นต้นไป หากสมาชิกตระกูลหม๋าคนใดที่กล้าที่จะก้าวเข้ามาในบ้านของผู้นำตระกูลเจิ้งอีก มันผู้นั้นจะต้องตาย”
เขาไม่ได้ฆ่าหม๋าไท่ชง อย่างไรก็ตามดาบพลังฉีเจาะทะลุร่างกายของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ตาย แต่น้อยที่สุดเขาก็จะต้องพิการ
ในทำนองเดียวกัน เขาเองก็ไม่ได้ฆ่าหม๋าชิงหยาง การตัดแขนเป็นการเตือน
“หนี หนีเร็ว”
ตระกูลหม๋าจะกล้าแสดงความยโสโอหังอยู่ต่อได้อย่างไร พวกเขาช่วยหม๋าไท่ชงและหม๋าชิงหยางขึ้นมา จากนั้นรีบวิ่งออกไปราวกับสุนัข
สมาชิกตระกูลเจิ้งยังคงตกใจและราวกับว่าพวกเขาได้ฝันไป สองครั้งตระกูลหม๋ามาที่ตระกูลของพวกเขาสองครั้ง สองครั้งที่ว่านั้นพวกเขาถูกไล่ออกไปราวกับสุนัขที่หนีตายอย่างไม่คิดชีวิต
และต้นตอของสิ่งทั้งหมดก็เป็นเพราะชายหนุ่มผู้นี้ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา
แต่ละคนใช้เพียงดาบเดียว กำจัดตระกูลหม๋า และให้พวกเขาปฏิญาณว่าจะไม่กลับมาที่บ้านของผู้นำตระกูลเจิ้งอีกครั้ง
ความกล้าหาญที่แท้จริง
ความสามารถที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นเพศใดหรืออายุเท่าไหร่ ทุกคนมองไปยังหลี่ฟู่เฉินด้วยความเคารพ
“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ เราไม่สามารถขอบคุณท่านโดยใช้เพียงแค่คำพูดของเราแล้ว ตระกูลเจิ้งของเราอาจเป็นตระกูลเล็กๆ และไม่สามารถช่วยวีรบุรุษหนุ่มหลี่ได้มากนัก แต่ในอนาคต ตราบใดที่วีรบุรุษหนุ่มหลี่เป็นคนเอ่ย เราจะสละชีวิต หากมันจำเป็น!”
ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้งเดินเข้ามาและโค้งคำนับด้วยการป้องหมัด ร่างกายส่วนบนของพวกเขางออยู่ในตำแหน่งที่ต่ำมาก แทบจะถึงพื้นดิน
ตระกูลเจิ้งเป็นหนี้ต่อหลี่ฟู่เฉินมากเกินไป
ช่วยนำพระพุทธรูปหยกกลับมาถือเป็นหนี้ครั้งที่หนึ่ง
ช่วยแก้ไขบาดหมางตระกูลหม๋าถือเป็นหนี้ที่สอง
หากปราศจากหลี่ฟูเฉิน ตอนนี้ตระกูลเจิ้งอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไปและจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “พวกท่านทุกคนไม่ได้ติดหนี้บุญคุณข้า ฉันเพียงแค่คืนความช่วยเหลือ อย่าได้พูดถึงสิ่งนี้อีกต่อไป”
เทคนิคลับระดับ 3 ดาวเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหมด ในใจกลางของหลี่ฟู่เฉินคือความตั้งมั่นที่แข็งกล้าราวกับเหล็ก เขาไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากตระกูลเจิ้ง
ได้ยินคำตอบของเขา มุมมองความเคารพของสมาชิกตระกูลเจิ้งที่มีต่อหลี่ฟู่เฉินกลับกลายเป็ฯเพิ่มมากขึ้น
นี่คือบุคคลที่สมควรเรียกว่าวีรบุรุษอย่างแท้จริง อ่อนน้อมถ่อมตน จิตใจกว้างขวาง และซื่อสัตย์
***
ด้วยเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นที่สาม หลี่ฟู่เฉินจึงวางแผนที่จะออกจากบ้านของตระกูลเจิ้ง
แต่เขาไม่ได้กลับไปที่นิกาย เขากลับไปที่ภูเขาหิมะทะยาน
ตอนนี้ผลกระทบจากนมศิลาในร่างกายของเขาได้รับการกลั่นอย่างสมบูรณ์แล้ว เขามุ่งมั่นที่จะบรรลถึงขั้นสมบูรณ์ของเทคนิคร่างกายเร้นโลหิตในครั้งนี้
ถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งในยอดเขาหิมะทยาน
ในถ้ำใต้ดินที่สูงหนึ่งร้อยฟุต เป็นหินย้อยขนาดมหึมาที่ย้อยลงมาราวกับค้อนของพระเจ้าที่กำลังจะทุบพื้นดิน
ยืนอยู่ข้างสระน้ำ หลี่ฟู่เฉินโยนก้อนหินลงไป
ไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ ในเวลาต่อมา หลี่ฟู่เฉินถอดเสื้อผ้าแล้วกระโดดลงสระ
***
อีกสองสัปดาห์ที่หลี่ฟูเฉินจะได้กลายเป็นศิษย์นิกายชั้นในมาแล้วสามปีอย่างเป็นทางการ ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็บรรลุขั้นสมบูรณ์ของเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต
“ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับนิกายแล้ว”
หากเขาไม่ส่งภารกิจภายในหนึ่งปีหรือไม่สามารถจัดการมันให้สำเร็จได้ เขาจะถูกลงโทษ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการหักคะแนนสนับสนุนบางส่วน หลี่ฟูเฉินก็ไม่ต้องการอยู่ดี
หลังจากที่หลี่ฟู่เฉินออกไปได้ซักสองสามวัน หยานชิงหวูก็กลับมาที่ภูเขาหิมะทะยาน
“เขากล้าดียังไงถึงกลับมา” ใบหน้าของหยานชิงหวูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ผลลัพธ์จากนมศิลาในสระมีจำกัด และเมื่อเทียบกับกาลก่อน ผลลัพธ์ของมันลดลงไปอย่างน้อย 30%
“อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกครั้ง”
ถอดเสื้อผ้าของเธอ ผิวขาวที่เปล่งประกายนั้นก็กระโจนลงสู่สระน้ำ และจมดิ่งลงไปที่ด้านล่าง
***
“เทคนิคลับมังกรเร้นลับนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ ขั้นที่หนึ่งและสองทั้งหมดเกี่ยวกับการบีบอัดพลังฉี แต่ขั้นที่สามคือวิธีการเปลี่ยนรูปแบบของพลังฉี ไม่น่าแปลกใจที่ข้าไม่สามารถเข้าใจมันได้จนกว่าจะได้ต่อสู้กับหฒ่าไท่ชง ซึ่งนั้นได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างฉับพลัน”
ระหว่างทางกลับ หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
การได้รับเทคนิคลับมังกรเร้นลับมานั้นต้องเป็นโชคชะตาของเขาอย่างแน่นอน
เทคนิคลับระดับ 3 ดาวนี้มีความแข็งแกร่งอย่างท่วมท้น
เมื่อมาถึงขั้นที่สอง การระเบิดสภาวะพลังฉีของเขานั้นเทียบได้กับร่างที่พัฒนาไปสู่ระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว เมื่อมาถึงขั้นที่สาม การระเบิดสภาะพลังฉีของเขาราวกับได้อยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิด
มันเป็นความจริงที่รู้จักกันว่าเมื่อทักษะต่อสู้อ่อนแอ่ก้าวหน้า ก็จะด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับทักษะแข็งแกร่งก้าวหน้า
เมื่อบุคคลที่อ่อนแอ่ก้าวหน้าสู้ระดับที่สูงกว่า เขาก็จะมีข้อจำกัดว่าความสามารถของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นได้มากสุดเท่าใด
แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินเลื่อนระดับ ความสามารถของเขาก็จะพุ่งทะยานขึ้น
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเทคนิคลับเพียงอย่างเดียวจะช่วยให้พลังต่อสู้ของเขาบรรลุถึงระดับชั้นเดียวกับนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปด
แต่หลังจากคิดบางอย่างได้ มันไม่น่าแปลกใจเลย ขั้นที่หนึ่งและสองของเทคนิคลับมังกรเร้นลับนั้นเกี่ยวกับการบีบอัดพลังฉี ขั้นที่สามแปรสภาพเพลิงพลังฉีสีแดงให้น่ากลัวยิ่งขึ้น
หลี่ฟู่เฉินตั้งชื่อพลังฉีที่ดูน่าเกรงขามนั้นว่า พลังฉีมังกรเร้นลับ
หรืออาจเป็นพลังฉีเพลิงมังกร
เพลิงมังกรเข้าสกดข่มผู้คนอย่างสุดแสน มันคล้ายกับลาวาที่หลอมละลายและไม่ได้เป็นรูปแบบของพลังฉีอีกต่อไป มันอาจถูกพิจราณาได้ว่าเป็นพลังฉีครึ่งนึง และเป็นของหลอมเหลวอีกครึ่งนึง
“ด้วยเทคนิคลับมังกรเร้นลับ ข้าเลยได้รับความพยายามของตนกลับมาอย่างน้อยหนึ่งปี โชคชะตาและชะตากรรมที่แปลกประหลาดคือการมีอยู่อย่างลึกลับ”
ยิ้มขณะที่ส่ายหัว หลี่ฟู่เฉินกระทุ่งไปที่หน้าท้องของม้าเลือดปีศาจระดับ 2 และเพิ่มความเร็วในการเดินทางของเขา
***
ในวันสุดท้ายก่อนปีที่สามอย่างเป็นทางการของเขา หลี่ฟูเฉินกลับไปที่นิกายวารีคราม
ส่งภารกิจ หลี่ฟู่เฉินโล่งใจ ก็ในเมื่อเขาเกือบจะพลาดกำหนดเวลา
เดินออกจากห้องโถงภารกิจและผ่านเส้นทางด้านข้าง หลี่ฟู่เฉินเห็นกั่วหยี่หลง หยางโอ๋ และหลี่เทียนชี หลี่เทียนชีถามทั้งสองคน
“กั่วหยี่หลง! หยางโอ๋! หลี่ฟูเฉินยังไม่กลับมา… เจ้าสองคนใช่ลงมือกระทำใด?”
หลี่เทียนชีตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
หยางโอ๋และกั่วหยี่หลงเพียงแค่เปล่งเสียงทางจมูก “หลี่เทียนชี จิตใจเจ้ามันตายด้านไปแล้วหรือ? เจ้ากล้าพูดคุยกับเราด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเช่นนั้นได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สารเลวน้อยนั้นก็แค่โครงกระดูกระดับปกติ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะตายอยู่ที่นั่น และช่วยชำระล้างสายเลือดที่น่าสมเพชของตระกูลหลี่เจ้า”
พวกเขาสองคนแน่ใจว่าหลี่ฟู่เฉินตายแล้ว
แต่พวกเขาไม่คิดว่าหลี่ฟู่เฉินจะตายเพราะผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดที่ถูกส่งไปโดยพวกเขา ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดจากทั้งสามตระกูลของพวกเขายังไม่กลับมาและอาจจะตายไปแล้ว
พวกเขาสันนิษฐานว่าตระกูลเหลาต้องส่งคนไปสังหารหลี่ฟู่เฉิน หลังจากทั้งหมดแล้ว หลี่ฟูเฉินก็ยังไม่กลับมา
พวกเขาจึงรู้สึกโล่งใจที่หลี่ฟู่เฉินตายลงไป
พวกเขาค่อนข้างกังวลและกลัวการเติบโตของหลี่ฟู่เฉิน
หลี่ฟูเฉินผู้ซึ่งเป็นคนที่ทำให้เหลาเทียนจุนพ่ายแพ้และได้สร้างฝันร้ายให้แก่เขา ทำให้เขาต้องพักผ่อนและอยู่กินอย่างสงบสุขตลอดไป
“เจ้ามันน่ารังเกียจ” หลี่เทียนชีเสียใจ หลังจากทั้งหมดแล้ว เขาก็เป็นลูกหลานของตระกูลหลี่ และต้องการให้ตระกูลมั่งคั่งรุ่งเรืองสืบต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลี่ฟู่เฉินต้องมีศักยภาพที่จะศิษย์หลักของนิกายวารีคราม และเป็นเกียรติยศแด่คนทั้งตระกูล
กั่วหยี่หลงเยาะเย้ย “หลี่เทียนชี เจ้าควรกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเจ้าจะดีกว่า ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่วันไหนจะเป็นวันที่เจ้าตาย”
“ถูกแล้ว เจ้าควรระวังเมื่อตอนที่เจ้าเดินไปไหนมาไหน ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจตกลงไปสู่ความตายได้!” หยางโอ๋ถากถาง
“พวกเจ้าทั้งสองดูเหมือนจะกล้าหาญเทียมฟ้า!”
เสียงที่คุ้นเคยสะท้อนออกมา
หยางโอ๋และกั่วหยี่หลงตกใจเมื่อหันหลังกลับ
ทันทีที่พวกเขาหัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว
“ฟู่เฉิน! เจ้ากลับมาแล้ว!” หลี่เทียนชีพึงพอใจมาก
หลี่ฟู่เฉินมองไปที่หลี่เทียนชีและพยักหน้า จากนั้นเขาก็ดูเยือกเย็นลงเมื่อมองไปที่หยางโอ๋และกั่วหยี่หลง “พวกเจ้าผิดหวังที่ข้ายังไม่ตายหรือไร?”
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร? ข้าไม่เข้าใจ”
กั่วหยี่หลงกำชายเสื้อไว้แน่น ขณะที่เขากลืนน้ำลาย
“ข้ากล่าวว่า พวกเจ้าไม่ได้ผิดหวังใช่ไหมที่ข้ายังไม่ตาย!” หลี่ฟู่เฉินเปล่งเสียงของเขา เสียงอันดังนี้ทำให้กั่วหยี่หลงและหยางโอ๋สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
“หลี่ฟู่เฉิน สงบใจลงจะดีกว่า ที่นี่คือนิกาย”
หยางโอ๋หันหลังกลับและตั้งใจที่จะล่าถอย
“คุกเข่า!”
สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินทะยานขึ้นฟ้า มือขวาของเขากวาดไปที่พื้นต่ำกว่าที่ทั้งสองยืนอยู่
พึบ! พึบ!
ทั้งคู่ถูกบังคับให้คุกเข่าลง