Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 134
บทที่ 134
เป็นตระกูลเฉินตู่แล้วไง
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากล้าทำให้ข้าต้องอับอาย?!”
หลอดเลือดดำผุดขึ้นมาบนใบหน้าของกั่วยี่หลงด้วยความร้อนรน ขณะที่เขาคำราม
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ารู้หรือไม่ ผลกระทบที่ตามมา จากสิ่งที่เจ้าทำนั้นจะเป็นเช่นไร?!”
หยางโอ๋แทบคลั่ง ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อใดกันที่เขาคุ้นเคยกับการคุกเข่าต่อหน้าผู้คน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะคุกเข่าต่อหน้าหลี่ฟูเฉินในวันนี้
พวกเขาสองคนไม่ได้คาดหวังว่าความสามารถของหลี่ฟู่เฉินจะมากล้นถึงเพียงนี้ มันแม้แต่กระทั่งแข็งแกร่งกว่าตอนที่สู้กับเหลาเทียนจุนหลายเท่า ทั้งคู่นึกถึงความภาคภูมิใจที่เขามีออกได้
“ฟู่เฉินความแข็งแกร่งเจ้า?” หลี่เทียนชีตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจหลี่ฟู่เฉินได้เลย ความแข็งแกร่งที่หลี่ฟู่เฉินมีมันเพิ่มขึ้นมากเกินไป ก่อนหน้านี้หลังจากผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ไป เขาก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก หลังจากนี้หากผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ความสามารถของเขาอาจจะเหนือกว่าความสามารถที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้
“ข้าทำให้เจ้าขายหน้าแล้วไง?” หลี่ฟู่เฉินกล่าวออกมาเบาๆ
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากำลังจะทำอะไร?”
ขณะนี้เอง น้ำเสียงเย็นชาดังกึกก้องกังวานมาจากระยะไกล
หลี่ฟู่เฉินและหลี่เทียนชีมองไปยังที่นั้น มันเป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ตระกูลเฉินตู่ เฉินตู่เจียนหมิ๋ง
“เฉินตู่เจียนหมิ๋ง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ” ความรู้สึกของหลี่เทียนชีรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่เขากล่าวออกมาอย่างห้วนๆ
เฉินตู่เจียนหมิ๋งจ้องเขม็งไปที่หลี่เทียนชี “หลี่เทียนชี ความกล้าของเจ้าเติบโตมากพอถึงกับพูดกับข้าในลักษณะนี้?”
ภายในนิกายวารีคราม ตระกูลเฉินตู่ของเขาไม่สามารถครอบครองพลังใดๆ แต่ต่อหน้า 3 ตระกูลหลักหรือตระกูลอื่นๆ ในเมืองหมอกเมฆา เขา เฉินตู่เจียนหมิ๋งคล้ายกับบุตรแห่งสวรรค์ ตราบเท่าที่เฉินตู่เจียนเห่ออยู่ใกล้ๆ ตำแหน่งของเขาจะเหนือกว่าตระกูลใหญ่ทั้งสาม
“เฉินตู่เจียนหมิ๋ง หากเจ้าสนใจชื่อเสียงของเจ้าเอง เจ้าควรออกไปซะตั้งแต่ตอนนี้”
หลี่ฟูเฉินเกียจคร้านที่จะให้ความเคารพต่อเฉินตู่เจียนหมิ๋ง
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลของเจ้าเมืองหรือตระกูลเฉินตู่ เขาไม่ได้เห็นพวกนั้นอยู่ในสายตา
ย้อนกลับไปที่เมืองหมอกเมฆา เขาเคยใฝ่ฝันที่จะต่อสู้กับอีกสามตระกูลหลักเพื่อไคว้คว้าอำนาจ หลังจากที่เข้าสู่นิกายและเกิดความสำเร็จ
แต่ตอนนี้ เขาได้ละทิ้งความฝันนั้นไปแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการข่มขู่ทั้งสามตระกูลเท่านั้นเพียงพอ เพราะ 3 ตระกูลใหญ่นั้นไม่มีค่าพอที่จะต่อสู้เขา
เมื่อเขากลับไปที่เมืองหมอกเมฆา เมื่อนั้นคือเวลาที่ทั้งสามตระกูลใหญ่จะถูกโค้นล้ม
“เจ้ากล่าวว่าอะไรนะ?!” เฉินตู่เจียนหมิ๋งชี้ไปที่หลี่ฟู่เฉิน ขณะที่ตัวสั่นไปด้วยความโกรธ
“ข้ากล่าวว่าให้เจ้าออกไปซะ!” หลี่ฟู่เฉินตะโกน
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่? เจ้าพยายามที่จะต่อต้าน? เจ้าไม่กลัวว่าตระกูลเฉินตู่ของข้าจะลงโทษตระกูลหลี่ของเจ้าหรือไม่?”
ใบหน้าของเฉินตู่เจียนหมิ๋งกลายเป็นมืดมน ขณะที่เขาเผยเจตนาสังหารออกมา
หลี่ฟู่เฉินโบกมือของเขา พลังฉีที่มองไม่เห็นกดดันให้เฉินตู่เจียนหมิ๋งคุกเข่าลง
“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าสารเลว ข้าจะทำให้เจ้าต้องตาย!” ดวงตาของเฉินตู่เจียนหมิ๋งเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
เพยี๊ะ เพยี๊ะ เพยี๊ะ เพยี๊ะ เพยี๊ะ……
หลี่ฟู่เฉินส่งลูกตบออกไปยังฝ่ายตรงข้ามหลายครั้ง ซึ่งนั้นก็ทำให้ใบหน้าของเฉินตู่เจียนหมิ๋งบวมคล้ายกับหัวหมู
“ฟู่เฉิน นี่ไม่มากเกินไป?” หลี่เทียนชียังคงกังวลเกี่ยวกับตระกูลเฉินตู่ ในขณะที่เขาถามออกไปด้วยความลังเล
หลี่ฟู่เฉินไม่ทุกข์ร้อน “ไม่เป็นไร ข้ารู้ขีดจำกัดตัวเองดี”
สามตระกูลนี้กดขี่พวกเขามาเป็นเวลาหลายปี ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องจ่ายราคาตามกำหนดแล้ว แต่น่าเสียดายที่เวลานั้นยังไม่มาถึง
เนื่องจากความปั่นป่วนที่นี่ มันจึงรวบรวมความสนใจของศิษย์นิกายชั้นในหลายสิบคน พวกเขาทุกคนชี้ไปที่เฉินตู่เจียนหมิ๋ง กั่วหยี่หลง หยางโอ๋และทำท่าทาง
“ไม่ใช่ว่าเขาคือหลี่ฟู่เฉิน? ทำไมต้องมีอะไรเกิดขึ้นทุกครั้งที่ข้าเห็นเขา?”
“ทั้งสามคนนี้ทำอะไรหลี่ฟู่เฉินขุ่นเคือง เขาถึงต้องให้คนเหล่านั้นคุกเข่า? ความอัปยศเช่นนี้!”
“ใครขอให้หลี่ฟู่เฉินเหนือกว่าเช่นนั้น แม้กระทั่งเหลาเทียนจุนชิเซียงก็ยังเต้นอยู่บนฝ่ามือเขา และท้ายที่สุดก็เสียแขนไป”
“มารอดูกัน! การแก้แค้นของตระกูลเหลาจะมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว!”
เป็นเรื่องปกติที่จะมีความสงสารต่อผู้อ่อนแอ ทุกคนไม่ดีใจที่ได้เห็นการสกดข่มของหลี่ฟู่เฉิน
“จักรพรรดิดาบชิเก่อ ดูเหมือนจะมีเกิดอะไรขึ้น? ไปดูกันดีกว่า” ห่างออกไปหลายร้อยเมตร กลุ่มศิษย์สาวกชั้นในกล่าวขึ้น หัวหน้ากลุ่มคือจักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง
จักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้า ชื่อเสียงของเขานั้นสูงที่สุดในนิกายชั้นใน แม้แต่กระทั้งหยูเหวินเทียนก็ไม่สามารถเทียบกับเขาได้
หลังจากทั้งหมดแล้ว หยูเหวินเทียนก็มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาว หลิวหวูหวงก็มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวเช่นกัน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาแก่กว่าหยูเหวินเทียนมาก หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตปฐพีได้และได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลัก
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนัก กลุ่มก็มาถึงที่ที่ฝูงชนอยู่ และเห็นบุคคลสามคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น พวกเขาเห็นหลี่ฟูเฉินในเวลาเดียวกันนั้นเอง
“มันเป็นหลี่ฟู่เฉิน!” ศิษย์ที่อยู่ข้างหลิวหวูหวงรู้สึกตกใจ
“หลี่ฟูเฉินผู้นี้มั่นใจเกินไป เขาคิดว่าสามารถทำให้ใครคุกเข่าให้เขาก็ได้?”
“โครงกระดูกธรรมดาทั่วไปที่พยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนโครงกระดูกระดับ 5 ดาว ข้าไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งนี้ได้”
“จักรพรรดิดาบชิเก่อ ไม่ใช่ว่าท่านควรไปขัดจังหวะและลบความหาญกล้าของหลี่ฟู่เฉิน?”
อันที่จริง หลิวหวูหวงก็ไม่ชอบหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน
เขาผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิดาบ ย่อมมีความภาคภูมิใจเป็นของตนเอง
เขาอนุญาตให้ตัวเองโดดเด่น แต่ไม่ใช่กับคนอื่น
เดินออกจากฝูงชน หลิวหวูหวงไม่สนใจหลี่ฟู่เฉินและมาที่ด้านหน้าของเฉินตู่เจียนหมิ๋ง ที่อยู่กันสามคน “พวกเจ้าทั้งสามออกไป! มันไม่สายเกินไปที่จะแก้แค้น แม้ว่าจะผ่านไปเป็นสิบปีก็ตาม มันมักจะมีโอกาสอยู่เสมอ”
ในขณะที่เขากล่าว เขาปลดปล่อยสภาวะพลังฉี เพื่อลบล้างสภาวะพลังของหลี่ฟู่เฉิน
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ “ชิเซียงผู้นี้… ท่านไม่ควรเข้าไปยุ่งกับอะไรที่อยู่นอกขอบเขตตัวเองหรือไม่?”
ถ้ามีคนอื่นที่ทำให้เขาขุ่นเคือง เขาจะไม่ทำให้พวกเขาคุกเข่า หลังจากทั้งหมดแล้วการคุกเข่าเป็นความอัปยศอดสูที่มากเกินไป แต่คนเหล่านี้เป็นคนที่พยายามจะฆ่าเขา ทำไมเขาถึงต้องสนใจว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?
ถ้าหลี่ฟู่เฉินอยู่ในโลกภายนอก เขาคงจะฆ่าทั้งสามคนไปแล้ว
หลิวหวูหวงหันหลังกลับและตอบกลับ “เจ้าชอบให้คนคุกเข่าหรือไร?”
หลี่ฟู่เฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็นของเขา
“ความสามารถของเจ้านั้นแข็งแกร่ง ดังนั้นเจ้าจึงสามารถทำให้พวกเขาคุกเข่าลงได้ แต่ความสามารถของข้าเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน ข้าควรทำให้เจ้าคุกเข่าด้วยหรือไม่?” หลิวหวูหวงมีดวงตาคล้ายกับคมดาบที่ค่อยเฉือดเฉือนวิญญาณของผู้คน และส่งแรงกดดันได้อย่างมหาศาล
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ดีพอ” หลี่ฟู่เฉินตอบ
“โหหห… เป็นเช่นนั้น? ข้าอยากจะลองดู”
สภาวะพลังฉีที่ออกมาจากร่างของหลิวหวูหวงกลายเป็นรุนแรงขึ้น การสภาวะพลังฉีที่มีอำนาจสกดข่มผู้คนคล้ายความโอ่อ่าของกษัตริย์ มันเข้าห้อมล้อมหลี่ฟู่เฉิน
เมื่อเปิดใช้เทคนิคลับมังกรเร้นลับ สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินก็พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า สภาวะพลังฉีที่ให้ความรู้สึกหาญกล้าปะดุจราชาแห่งสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง
สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินเข้าปะทะกับหลิวหวูหวง แม้กระทั่งการปราบปรามหลิวหวูหวง
ปุ! ปุ! ปุ!
เฉินตู่เจียนหมิ๋งและอีกสองที่พึ่งลุกขึ้นมา ถูกกดดันให้คุกเข่าลงอีกครั้งและถูกกระแทกกลับจากสภาวะพลังฉีของทั้งสอง จิตใจของพวกเขายุ่งเหยิงและหดหู่ชั่วครู่
“เวรเอ่ย!”
เฉินตู่เจียนหมิ๋งกำหมัดของตนเองแน่น รู้สึกอยากที่จะกลับไปที่เมืองหมอกเมฆาในทันที เพื่อสังหารตระกูลหลี่ทั้งหมด
“เจ้ารู้ผลที่ตามมาของการยั่วยุข้าหรือไม่?” หลิวหวูหวงกล่าวอย่างเย็นชา
หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “เจ้าคือคนที่ยั่วยุข้าก่อน”
“ดูเหมือนว่าถ้าข้าไม่สอนบทเรียนให้แก่เจ้า เจาก็จะไม่เรียนรู้ เจ้าเองก็ต้องคุกเข่าเช่นกัน!”
หลิวหวูหวงมีดวงตาที่เฉียบแหลมและฉลาดมากพอ ซึ่งเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าสภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินนั้นถูกยกระดับ และความสามารถดั้งเดิมของเขาก็ไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร
ด้วยการรวบรวมพลังฉีไว้ในมือ หลิวหวูหวงกำลังจะลงมือ
“หยุดเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้!”
ขณะนี้เอง ผู้อาวุโสชั้นในที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นคำรามออกมาอย่างเย็นยะเยือก เสียงของเขาทำให้สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินและหลิวหวูหวงนั้นแตกซ่านสลายไป
“ผู้อาวุโส!”
ทุกคนประหลาดใจและโค้งคำนับด้วยความเคารพ
ผู้อาวุโสชั้นในนั้นต่างจากผู้อาวุโสชั้นนอก ไม่มีใครกล้าท้ามายพวกเขา
“ออกไปจากที่นี่ให้หมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ออกไปให้หมด อย่าได้ก่อความเสียหายขึ้นที่นี่” ผู้อาวุโสชั้นในอยู่ในระหว่างที่คุมโถงภารกิจ ดังนั้นเขาจึงให้เหตุผลง่ายๆ ก่อนที่จะออกไป
“วันนี้เจ้าโชคดี แต่เจ้าจะไม่โชคดีในครั้งต่อไป”
หลิวหวูหวงจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉินก่อนที่จะจากไป
“ข้าจะรอเจ้า”
หลี่ฟู่เฉินไม่ได้สนใจที่จะดูเฉินตู่เจียนหมิ๋งและทั้งสาม ก่อนจะจากไปพร้อมกับหลี่เทียนชี
“ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ไม่สามารถเห็นจักรพรรดิดาบสอนบทเรียนแก่หลี่ฟู่เฉิน”
“นั้นก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องกังวล นิกายชั้นในไม่ได้ใหญ่มากนัก หลี่ฟูเฉินคงหนีไปไหนไม่ได้”
“ข้าสงสัยว่าฉากที่หลี่ฟู่เฉินคุกเข่าจะเป็นแบบไหนกัน”
เมื่อเห็นว่าตัวละครหลักหายไป ทุกคนก็จากไป ทิ้งเฉินตู่เจียนหมิ๋งและอีกสองคนไว้ด้านหลัง
พวกเขาทั้งสามกัดฟัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างไรก็ตาม เป็นเฉินตู่เจียนหมิ๋งที่กระซิบบางอย่างแก่กั่วหยี่หลงและหยางโอ๋