Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 200
บทที่ 200
หลี่หวูเซี่ย
บนเตียงสกปรกมีร่างเล็กๆ นอนอยู่ที่นั่น มันเป็นเด็กหญิงตัวเล็กอายุประมาณหกถึงเจ็ดขวบ ด้วยลมหายใจที่อ่อนแอนั้น เธอดูเหมือนลูกแมวตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารมาก
“พี่ ท่านกลับมาแล้ว”
หญิงสาวเปิดตาที่ดูไร้วิญญาณของเธอขึ้น แต่มันก็ยังมีร่องรอยแห่งความสุข
“พี่ เขาคือใครหรอ?” มองไปที่หลี่ฟู่เฉิน เด็กหญิงตัวเล็กถาม
เมื่อเซียวกงกำลังแนะนำเขา หลี่ฟูเฉินเอื้อมมือขวาออกมา ทำท่าให้เขาไม่พูด
เขาช่วยหญิงสาวโดยการจับชีพจรของเธอ จากนั้นเขาก็กล่าว “ขาดสารอาหารเป็นเวลานานคู่กับโรคไข้หวัด หากสิ่งนี้ดำเนินต่อไปอีกสองหรือสามวัน น้อยสาวของเจ้าอาจจะตายไปแล้ว”
ร่างกายของเด็กคนนี้อ่อนแอ่อย่างแท้จริง หากเด็กที่ขาดสารอาหารในระยะยาวต้องเจ็บป่วย มันอาจพรากชีวิตของพวกเขาไปได้
“ท่านนักสู้ โปรดช่วยน้องสาวข้าด้วย ข้ามีน้องสาวเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น” เซียวกงขอร้อง
หลี่ฟู่เฉินยิ้ม “อย่าเป็นกังวลไป การช่วยน้องสาวของเจ้าเป็นเพียงงานง่ายๆ”
ในขณะที่เขาพูด หลี่ฟู่เฉินนำเม็ดยาสีเหลืองขั้นสูงซึ่งเป็นยาฟื้นฟูออกมาจากถุงเก็บของเขา ใช้แรงกดด้วยนิ้วของเขา เขาบี้เม็ดยาออกเป็นชิ้นเล็กๆ มากมาย จากนั้นเขาก็เปิดปากของเด็กสาวเบาๆ แล้ววางยาเม็ดเล็กๆ ชิ้นหนึ่งเข้าไปในปากของเธอ หลี่ฟู่เฉินช่วยเด็กสาวลุกขึ้นนั่ง กดมือขวาของเขาไปที่หลังของเธอและเริ่มใช้พลังฉีของเขาเพื่อช่วยเด็กสาวในการปรับแต่งเม็ดยา
สำหรับเด็กแล้ว เม็ดยาฟื้นฟูสีเหลืองขั้นต่ำแบบธรรมดาๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่หลี่ฟู่เฉินไม่ชอบความเร็วการฟื้นตัวที่ชักช้าของมัน เขาต้องการเห็นผลทันที
แต่ผลของเม็ดยาสีเหลืองขั้นสูงก็มากเกินไป เด็กสาวคงไม่สามารถทนต่อมันได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาต้องแยกมันออกเป็นชิ้น ๆ
มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผิวของเด็กสาวสดใสขึ้น ความเย็นได้ถูกไล่ออกไปโดยพลังฉีของหลี่ฟู่เฉิน และไม่นานก็หายไป ในเวลาเดียวกัน ผลของยาฟื้นฟูก็ช่วยบำรุงร่างกายของเด็กสาวได้อย่างรวดเร็ว ร่างกายที่ผอมแห้งของเธอดูเหมือนจะมีน้ำมีนวลขึ้นและผิวของเธอก็ไม่แห้งอีกต่อไป
15 นาทีต่อมา เด็กสาวก็ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แม้แต่กระทั้งอาการขาดสารอาหารของเธอก็หายไป
นอกจากที่เธอยังผอมอยู่ วิญญาณของเธอมีชีวิตชีวาขึ้นและไม่ได้ดูไม่ได้เหมือนเมื่อก่อน
สังเกตฉากทั้งหมด เซียวกงรู้สึกงุนงง เขาไม่คิดว่าอาการของน้องสาวจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ เจ้าของร้านขายยากล่าวว่าเต็มที่แล้วเธอจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการฟื้นฟู
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่เขาได้มาจากร้านขายยาเป็นเพียงสมุนไพรธรรมดาที่ด้อยกว่าสมุนไพรสีเหลืองขั้นต่ำปกติ
แต่เม็ดยาสีเหลืองขั้นสูงเม็ดนี้ก็มีค่าหลายพันเหรียญทอง และที่ความเย็นของเด็กสาวถูกไล่ออกไปก็เป็นเพราะหลี่ฟูเฉินเป็นคนขับมันออกไปเองส่วนตัว เขาก็ฟื้นฟูสุขภาพของเธอ
“ข้าดีขึ้นแล้วเหรอ?” เด็กหญิงตัวเล็กร่าเริง เธอรู้สึกสิ้นหวังและไม่มั่นคงเมื่อต้องนอนบนเตียง
ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นแล้ว
“ท่านนักสู้ ขอบคุณท่านมาก” เซียวกงรู้สึกดีใจมากกว่าน้องสาวของเขาเสียอีก
“อาการของเจ้าไม่ดีไปกว่าน้องสาวของเจ้า หากเจ้าป่วย เจ้าอาจเสียชีวิตจากความเจ็บป่วยได้ มานั่งเถอะ”
หลี่ฟู่เฉินให้เซียวกงไปนั่งบนเตียงและให้เขากินยาเม็ดเล็กๆ จากนั้นเขาก็โคจรพลังฉีของเขาเพื่อช่วยปรับแต่งเม็ดยาและฟื้นฟูสุขภาพของเซียวกง
ในเวลาน้อยกว่า 15 นาที ผิวของเซียวกงดูสดใสขึ้น อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับก่อนหน้านี้ดีขึ้นและสุขภาพโดยรวมของเขาก็กลายเป็นแข็งแรง มันไม่มีร่องรอยของการขาดสารอาหารเลย
“สบายจริงๆ…” เซียวกงรู้สึกอบอุ่นในร่างกายของเขา ราวกับว่าพ่อแม่เข้ามากอดเขาในความฝัน
โครก! โครก!
กระเพาะอาหารของสองพี่น้องดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่งทำให้พวกเขาหน้าแดง
“มา ให้ข้าพาพวกเจ้าสองคนไปทานอาหาร”
เขาไม่ได้พาทั้งสองไปทานเนื้อสัตว์หรือปลา แต่กลับกันเขาพาไปที่แผงลอยขายโจ๊ก
“พวกเจ้าทั้งสองคนมีญาติคนอื่นๆ อีกไหม?” ขณะที่พวกเขากินกันหลี่ฟู่เฉินกล่าวขึ้นมา
น้องสาว – เซียวเฉากล่าว “ข้าได้ยินมาจากแม่ว่าแม่มีพี่ชายอยู่ในเมืองสีโลหิต ชื่อของเขาคือจ่างอาฟ่า และเป็นผู้ดูแลโรงแรม”
“หืม เมืองสีโลหิต?”
หลี่ฟู่เฉินสามารถปล่อยพวกเขาโดยไม่ช่วยเหลือใดๆ ได้ แต่ถ้าหากไม่มีใครดูแลเด็กสองคนนี้ พวกเขาอาจตายจากความหิวโหยหรือความเจ็บป่วยได้โดยที่ไม่มีใครรู้
“พวกเจ้ายินดีที่จะให้ข้าพาไปยังเมืองสีโลหิตหรือไม่?” หลี่ฟู่เฉินเสนอ
“ข้ายินดี” เซียวเฉาพยักหน้า
“ข้าด้วย” เซียวกงพยักหน้าเช่นกัน
พวกเขารู้ว่าหลี่ฟูเฉินไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเขาจึงหวังให้ลุงจ่างอาฟ่ามานำพวกเขาไป
จบมื้อเย็น หลี่ฟูเฉินพาทั้งสองไปพักที่โรงเตี้ยม
***
ในวันที่สาม…
โรงเตี้ยมปลาเหิน
“เฉินเซียงตี๋ ทำไมเจ้าถึงพาเด็กสองคนไปด้วย?” หวงเปี่ยวถามด้วยความอยากรู้
หลี่ฟูเฉินหัวเราะ “ข้าแค่ช่วยให้พวกเขาพบญาติในเมืองสีโลหิต”
“เฉินเซียวตี๋เป็นคนจิตใจดีจริงๆ ให้พวกเขามากับพวกเราไปที่เมืองสีโลหิตเถอะ”
ในหัวใจของเขา หวงเปี่ยวเห็นพ้องว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นนักสู้ที่ชอบธรรม และนี่เป็นนักสู้ประเภทที่น่าเชื่อถือที่สุด
ในขณะที่คาราวานออกเดินทาง กลุ่มของพวกเขาก็ออกจากเมืองคมดาบเหินและมุ่งหน้าไปที่เมืองสีโลหิต
นั่งอยู่ในรถม้าคันหนึ่ง เซียวกงและเซียวเฉามองออกไปข้างนอก
สำหรับพวกเขา โลกภายนอกเป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยและลึกลับ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาออกนอกเมือง
กรรช์!
สัตว์ร้ายขนาดมหึมาโจมตีและสร้างความตกใจให้แก่เซียวกงและเซียวเฉา เพียงไม่นาน พวกเขาเห็นหนึ่งในนักสู้ของกองคาราวานฆ่าสัตว์ปีศาจด้วยการโจมตีอย่างง่ายๆ
“ท่านนักสู้ ในอนาคตข้าอยากเป็นนักสู้ด้วยบ้าง” เซียวกงกล่าวกับหลี่ฟู่เฉิน
“หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นนักสู้เจ้าก็ต้องศึกษาร่ำเรียนให้หนัก เฉพาะผู้ที่รอบรู้และมีความสามัญเท่านั้นถึงจะสามารถเป็นนักสู้ได้” หลี่ฟู่เฉินลูบหัวเซียวกง
“อืม ข้าจะร่ำเรียนให้หนัก”
“ข้าจะศึกษาอย่างหนักและเป็นนักสู้ด้วยเช่นกัน” เซียวเฉาไม่น้อยหน้าและยกมือเล็กๆ ของเธอขึ้นมา
***
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางไปยังเมืองสีโลหิต คาราวานของพวกเขามาถึงเมืองสีโลหิตในตอนบ่ายของวันที่หก
ด้วยความช่วยเหลือของสมาคมกุหลาบพาณิช หลี่ฟู่เฉินจึงพบลุงของเซียวเฉาและเซียวกง จางอาฟ่าในสามวันต่อมา จางอาฟ่าแสดงความเต็มใจที่จะยอมรับเซียวกงและเซียวเฉา
หลังจากปลดภาระที่มีอยู่ออกไป หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยความโล่งใจ
“เฉินเซียงตี๋ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้เข้าร่วมสมาคมกุหลาบพาณิชโดยตรง สำหรับแขกทางการระดับสาม มันมีประโยชน์ไม่มากนัก” หวงเปี่ยวรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
แขกระดับสามไม่มีเงินเดือนหรือส่วนลด ข้อได้เปรียบอย่างเดียวคือการเข้าถึงสินค้าของสมาคม
“สิ่งที่ข้าต้องการคืออิสระ การเป็นแขกรับเชิญระดับสามนั้นไม่ใช่ข้อตกลงที่เลวร้าย” หลี่ฟู่เฉินยิ้ม
สมาคมกุหลายพาณิชมีแขกอยู่สามระดับ แขกระดับหนึ่งสงวนไว้ให้เฉพาะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ แขกระดับสองคือนักสู้ขอบเขตปฐพีชั้นหัวกะทิ ในขณะที่แขกระดับสามีสำหรับสำหรับนักสู้ขอบเขตปฐพีที่มาความสามารถอยู่บ้าง
หวงเปี่ยวส่ายหัวและไม่กล่าวสิ่งใด
ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองสีโลหิตแล้ว หลี่ฟู่เฉินต้องการซื้อของตามถนนโบราณของเมืองสีโลหิต
เขาเชื่อว่าถนนโบราณมีของดีมากมาย แต่มันขึ้นอยู่กับว่าท่านมีดวงตาที่จะมองเห็นพวกมันหรือไม่ก็เท่านั้น
“หลี่เซียง นี่คือถนนโบราณของเมืองสีโลหิต หากเจ้าดูให้ละเอียด บางทีเจ้าอาจจะพบสิ่งของบางอย่างที่ยอดเยี่ยมได้”
บนถนนโบราณ กลุ่มเยาวชนเดินมาเป็นกลุ่ม หนึ่งในนั้นคือหลี่หวูเซี่ยจากนิกายสวรรค์ปีศาจ อีกคนที่เดินข้างเขาคือนายน้อยจากตระกูลหม่า – หม่าเทียนหยาง
แม้ว่าตระกูลหม่าจะเป็นกลุ่มอำนาจที่มีอิทธิพลมากที่สุดของเมืองสีโลหิต แต่พวกเขาก็ไม่นับว่าเป็นไรเมื่อเทียบกับนิกายสวรรค์ปีศาจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงพยายามประจบประแจงหลี่หวูเซี่ย ด้วยความหวังว่าจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้
หลี่หวูเซี่ยมีหน้าตาที่ดูเย่อหยิ่งและดูแบบสุ่มๆ โดยไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปในร้านขายของโบราณแต่อย่างใด
มีบางคนผ่านหน้าหลี่หวูเซี่ยไป ทันใดนั้นแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “จับเขาไว้!”