Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 247
บทที่ 247
ดาบพยัคฆ์
มีข่าวลือว่าความสามารถของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์แปดคนอย่างน้อยก็เป็นของระดับยี่สิบต้นๆ ของทวีปนี้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ก็อยู่ในแปดอันดับแรก หากพวกเขาไม่ได้แยกตัวเองไปยังเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ และเพิกเฉยต่อเรื่องทางโลก พวกเขาคงจะได้รับบทบาทที่โดดเด่นอย่างใดอย่างหนึ่งในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หากพวกเขาเข้าร่วมนิกายใดๆ พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนนิกายนั้นให้กลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจ
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับจึงกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าอัจฉริยะต่างๆ เข้ามาเพื่อต่อสู้ดิ้นรน
ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ในสายหรือศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์ มันก็นับเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่ง
เมื่อมีผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเป็นอาจารย์ มันจะช่วยให้เจ้าเดินทางได้อย่างราบรื่นมากขึ้นใรเส้นทางของเต๋าแห่งการต่อสู้ ในเวลาเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญก็จะเป็นภูมิหลังของเจ้าด้วยเช่นกัน
ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเหล่านี้ไม่อาจออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับได้ ตามที่มีข่าวลือว่าพวกเขาต้องจ่ายราคาจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ แต่เมื่อหลายสิบปีก่อน หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับได้ออกมาจากเขตแดนเร้นลับ และกำจัดผู้เชี่ยวชาญหวนคืนต้นกำเนิด และนักสู้ขอบเขตสวรรค์มากกว่าหนึ่งโหลของนิกายแห่งนึง ทั้งหมดเป็นเพราะศิษย์ส่วนตัวคนโปรดของเขาถูกสังหาร
ในตอนนั้นทั้งทวีปยูนิคอร์นตะวันออกต่างตกตะลึงและค่อยๆ ตั้งกฏกันไว้ว่าศิษย์ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับกลายเป็นสิ่งต้องห้าม เว้นแต่จำเป็นจริงๆ ไม่เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ
สำหรับการเป็นศิษย์ส่วนตัวนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าต้องผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า
แต่ทว่าที่สำคัญจริงๆ ก็คือ ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเหล่านั้นจะต้องให้ความชื่นชมแก่เจ้า และหากผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นยิ่งชื่นชมเจ้าสูงมากเพียงใด แม้ว่าเจ้าจะผ่านเพียงแค่ประตูเทพยุทธ์บานแรกเท่า พวกเขาก็ยังจะคงรับเจ้าในฐานะศิษย์ส่วนตัวอยู่ดี แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้ชื่นชมเจ้าเลย แม้ว่าเจ้าจะผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้า พวกเขาก็อาจไม่แม้แต่จะยอมรับเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัว
แน่นอนว่าถ้าเจ้าสามารถผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หกได้ เจ้าก็จะกลายเป็นศิษย์ส่วนตัวภายใต้หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีน้อยกว่าสิบคนที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่ห้าและมีเพียงสามคนเท่านั้นที่ผ่านประตูเทพยุทธ์เร้นลับบานที่หก
จากสิ่งที่หลี่ฟู่เฉินรู้ เพื่อที่จะเข้าไปทดลองในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ไม่เพียงแต่เจ้าต้องมีพรสวรรค์และศักยภาพที่มีมาแต่กำเนิด แต่เจ้าก็ต้องดูว่าเจ้ามีความถนัดด้านใดเป็นพิเศษหรือไม่ มีอัจฉริยะที่น่าอัศจรรย์บางคนที่ไม่เหมาะที่จะอยู่ในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ดังนั้นจึงไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญได้ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ผ่านการทดสอบเพื่อเป็นศิษย์ส่วนตัว
กล่าวโดยย่อก็คือเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเป็นที่สิ่งที่สำคัญของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก และยังเป็นที่ที่เหล่าอัจฉริยะรวมตัวกัน ไม่เพียงแต่กลายเป็นสถานที่ที่อัจฉริยะสามารถฝึกฝนควบคุมอารมณ์ตัวเอง แต่โอกาสส่วนใหญ่มากมายก็เกิดขึ้นที่นี่ หากใครสามารถคว้าโอกาสเหล่านั้นไว้ได้ พวกเขาอาจมีการเดินทางที่ราบรื่นและรวดเร็วขึ้ในเส้นทางของเต๋าแห่งการต่อสู้
‘เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ สถานที่แห่งนี้ควรค่าแก่การเยี่ยมชม’
ดังนั้นปลายทางของหลี่ฟู่เฉินหลังจากออกจากเมืองฝนใบไม้ก็คือเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ
เขาไม่ต้องการจัดงานเลี้ยงน้ำชาฝนใบไม้ก็เพราะเนื่องจากความไม่สนใจของเขาเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้ถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น การเป็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขอันตรายนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
มันไม่เป็นที่พึงปรารถนาในการที่จะพึ่งพาผู้อื่นบนเส้นทางเต๋าแห่งการต่อสู้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ฉวยโอกาสเลย
ผู้ที่ไม่ได้ฉวยโอกาสใดๆ จะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่เงียบสงบและรอจนกว่าพวกเขาจะอยู่ได้อย่างมั่นคงแล้ว ไม่เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะตายในไม่ช้าก็เร็ว
แต่ถึงแม้ใครจะซ่อนตัวอยู่ในภูเขาอันเงียบสงบมาตลอดชีวิต พวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงได้หรือหลังจากที่อยู่ด้วยตัวคนเดียวมาเป็นเวลานาน?
ไม่มีทางอย่างแน่นอน
ผู้ที่ไม่ผ่านการปรับอารมณ์ใดๆ ก็จะไม่สามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันใดๆ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเติบโตได้เร็วขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น
ยกเว้นแต่จะมีใครที่มีศักยภาพแต่กำเนิดดีเด่นจนระดับท้าทายสวรรค์ ต้องโดดเด่นจนแม้แต่กระทั่งสวรรค์ก็ยังเต็มไปด้วยความอิจฉา ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็คงไม่มีที่ใครสามารถอยู่ยงคงกระพันได้ในโลกนี้
ไม่ใช่แม้แต่หลี่ฟู่เฉินที่ในปัจจุบันเองก็เข้าเงื่อนไขนั้นเช่นกัน
บางทีเขาอาจทำได้ในอนาคต แต่อนาคตเต็มไปด้วยปัจจัยที่เขาไม่อาจรู้ และหลี่ฟู่เฉินก็ไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากจิบไวน์ หลี่ฟู่เฉินก็ยังคงฟังบทสนทนาต่อไป
“แคว้นร้อยเทพยุทธ์นั้นมีเขตแดนเร้นลับมากเกินไป แต่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย สำคัญมากซะยิ่งกว่าเขตแดนเส้นทางดวงดาว จะเป็นการดีที่สุดหากข้าสามารถเป็นศิษย์ในสายภายใต้ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับได้”
“ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเจ้า ในแง่ของความสำคัญ ยังไงเขตแดนเส้นทางดวงดาวก็เป็นอันดับ 1 อยู่ดี แต่เขตแดนเทพยุทธ์ก็สามารถนับได้ว่าเป็นอันดับที่ 2”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เมื่อเจ้าเข้าไปยังเขตแดนเส้นทางดวงดาว เจ้าจะได้พัฒนาได้จากพลังงานเส้นทางดวงดาว ช่วยทำให้เจ้าฝึกฝนได้เร็วขึ้นมาก แม้แต่ความสามารถในการโคจรพลังฉีของเจ้าก็เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับไม่สามารถทำได้”
“ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวมีอยู่กี่ส่วน ด่านที่เจ็ดเป็นผลลัพธ์ที่มากที่สุดแล้ว ในคัมภีร์โบราณ ผู้บุกเบิกคาดเดาว่าถ้าใครสามารถผ่านเส้นทางดวงดาวทั้งหมดได้ พวกเขาจะได้รับมรดกมหาศาล”
“นั่นเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น และจะนำมันมากล่าวเทียบทำไม? เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับยังดูจับต้องได้จริงเสียกว่า เจ้าสามารถได้รับทั้งเต๋าแห่งการต่อสู้จากผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ และได้รับการสนับสนุนของพวกเขาในฐานะภูมิหลัง”
หลังจากการถกเถียงกันเล็กน้อย พวกเขาก็กลายมาเป็นถกเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ หากจะให้เขาคิดอย่างจริงจัง เขารู้สึกว่าเขตแดนเส้นทางดวงดาวเป็นเขตแดนที่สำคัญที่สุดอันดับ 1
ด่านของเขตแดนเส้นทางแห่งดวงดาวนั้นเป็นปริศนามาโดยตลอด และจากลักษณะที่งดงามของเส้นทางแห่งดวงดาว มันน่าจะเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก เมื่อคิดว่ามีใครคนนึงเป็นคนสร้างเขตแดนเส้นทางดวงดาวทั้งหมดนั้นขึ้นมา
บางทีอาจไม่จำเป็นต้องผ่านเขตแดนเส้นทางเร้นลับทั้งหมด ตราบใดที่สามารถผ่านด่านที่แปดหรือเก้าได้ มันก็คงน่าจะมีเรื่องประหลาดใจเป็นอย่างมากเกิดขึ้น แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถค้นพบความประหลาดใจนี้ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นจะไม่มีอยู่จริง
แน่นอนว่า เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเองใช่ว่าจะไม่สำคัญ
สำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับมีความสำคัญมากกว่าเขตแดนเส้นทางดวงดาวและยังใช้งานได้จริงอีกด้วย
“เฉินหยวนหู ออกมาและสู้กับข้า!”
เสียงดังกึกก้องดังมาจากถนนสายหลัก
บนชั้นเจ็ดของโรมเตี้ยมเมฆเขียว มีร่างหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองลงมาจากด้านบนและตอบกลับ “เหอเหลียนเป่า เจ้าแพ้ให้แก่ข้าเมื่อหนึ่งปีก่อน วันนี้เจ้าก็จะมาพ่านแพ้ให้กับข้าอีกครั้งหรือไร?”
“เฉินหยวนหู? เหอเหลียงเปา?” หลี่ฟู่เฉินประหลาดใจ
เฉินหยวนหูคือดาบพยัคฆ์ผู้มีกำลังไล่เลี่ยกับดาบคลั่งของนิกายวารีคราม
ดาบพยัคฆ์เฉินหยวนหูเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของหมู่ศิษย์หลักนิกายวารีคราม
สำหรับเหอเหลียนเปา เขาเป็นลูกของผู้อาวุโสใหญ่นิกายโหมกระบี่ ลูกชายของเหอเหลียนหู่ และยังเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่สุดในหมู่ศิษย์หลักของนิกายโหมกระบี่
หลี่ฟู่เฉินไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะได้พบกับบุคคลทั้งสองนี้ที่เมืองเมฆสีเขียว
“หยุดเรื่องไร้สาระทั้งหมดของเจ้าและยอมรับการท้าทายจากข้า หรือเจ้ากลัว?” บนถนนสายหลัก เหอเหลียนเป่าผู้สูงแปดฟุตยืนอยู่ที่นั่นและหัวเราะเยาะ
“กลัว!? ข้ากลัวใครก็ได้ แต่ไม่ใช่เจ้า!”
ดาบพยัคฆ์เฉินหยวนหูเป็นคนที่ชอบการต่อสู้มาโดยตลอด ทำไมเขาถึงต้องกลัวที่จะยอมรับความท้าทายของเหอเหลียนเปา? เขากระโดดออกจากโรงเตี้ยมเมฆเขียวทันทีและร่อนลงไปที่ถนนสายหลัก
“นี่คือเมืองเมฆเขียว เจ้าและข้าออกจากเมืองและต่อสู้กัน”
เหอเหลียนหูไม่กล้าต่อสู้ภายในเมืองเมฆเขียว เขาจึงวางแผนที่จะออกไปยังประตูตะวันออกของเมืองเมฆเขียว
เฉินหยวนหูตามด้านหลังไปอย่างใกล้ชิด
“เราไปดูกันดีกว่า คนสองคนนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างน่ากลัว”
“พวกเขาต้องน่ากลัวอยู่แล้วเนื่องจากระดับการบ่มเพาะของพวกเขาอยู่ที่ระดับ 9 ขอบเขตปฐพีทั้งสองคนเลย”
มีคนจำนวนมากเดินตามมาและหลี่ฟู่เฉินเองก็เช่นกัน
เขาอยากรู้ว่าความสามารถของเฉินหยวนหู ดาบพยัคฆ์ ว่าจะอยู่ในระดับใด
เมื่อเหอเหลียนเป่าและเฉินหยวนหู่ออกจากประตูตะวันออก พวกเขาก็เข้าพัวพันกับการต่อสู้ที่รุนแรงทันที
ทั้งคู่สูงแปดฟุตและมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หนึ่งในนั้นถือดาบ ในขณะที่อีกฝ่ายถือกระบี่ ทั้งดาบและกระบี่ของพวกเขาปะทะกันอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ทั้งสองไม่ได้ใช้ทักษะระดับสูงใดๆ เข้าช่วย ส่งผลทำให้สันหลังกระดูกของทุกคนเกิดอาการหนาวสั่น
“แข็งแกร่งอะไรเช่นนี้! ความสามารถระดับนี้ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าอันดับดาราล่างๆ ในการจัดอันดับดารา!”
“พวกเราเกือบพลาดการแสดงที่ยอดเยี่ยมนี่ไปแล้ว ด้วยความสามารถเช่นนั้น พวกเขาต้องได้รับตำแหน่งในการจัดอันดับดาราอย่างแน่นอน”
ผู้ชมสนทนากันอย่างดุเดือด
“แข็งแกร่งมากจริงๆ” หลี่ฟูเฉินเฝ้าสังเกตทักษะต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองและเขาก็ตกใจเมื่อรู้ว่าทั้งคู่มีความสามารถเหนือกว่าหรันเฉียนฉิวและเสี่ยวไบ๋
แต่หลี่ฟู่เฉินเข้าใจว่าการจัดอันดับดาราเป็นอันดับตั้งแต่หนึ่งปีก่อน และตั้งแต่นั้นมา หลายสิ่งก็เปลี่ยนไปแล้ว
แม้ว่าหรันเฉียนฉิวอยู่ในอันดับที่ 98 และเสี่ยวไบ๋อยู่ในอันดับที่ 101 แต่สองคนนี้อยู่ในระดับเดียวกับอัจฉริยะทั้งหมดในบรรดาขอบเขตปฐพีหรือไม่?
มันยากที่จะพูด
หลังจากผ่านไปกว่าหนึ่งปีก็มีดาวรุ่งมากมายที่ปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาส่วนใหญ่มีความเร็วในการพัฒนาที่เร็วรวดกว่าในระยะหลังๆ และก็ค่อยๆ แซงหน้าเหล่ารุ่นพี่ไปหมดแล้ว
การจัดอันดับที่แท้จริงจะถูกเปิดเผยเมื่อมีการจัดอันดับการแข่งขันครั้งถัดไปเท่านั้น
ติดตามได้ก่อนใครที่เพจ indynovels