Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 249
บทที่ 249
การต่อสู้ระหว่างสองนิกาย
เวลาของการเปิดเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับใกล้เข้ามาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เหล่าอัจฉริยะจากนิกายต่างๆ หลั่งไหลเข้าสู่เมืองเมฆเขียว
ในเส้นทางหลักมีแต่เหล่าเยาวชนที่มีความกระตือรือร้นสูง
หลี่ฟู่ฉินทำให้ตัวเขาดูเหมือนเป็นคนที่ไม่มีความสามารถอะไรมากนัก เพราะเขาต้องการปลอมตัวเข้าไป
ระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพีไม่ถือว่าเป็นระดับการฝึกฝนที่สูงหรือต่ำเกินไป หากเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้โด่งดังหรือมีชื่ออื้อฉาวมากนัก ก็จะไม่มีใครรู้จักเลย
แน่นอนว่า หลี่ฟู่เฉิน มีความสุขมากกับเรื่องนั้น
ด้วยการที่มีผู้แข็งแกร่งมากขึ้น มันก็ย่อมมาพร้อมกับความขัดแย้ง ที่เมืองเมฆเขียวมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องในทุกวัน
บางคนมีความขัดแย้งเพราะนิกาย บางคนเกิดจากเหตุผลส่วนตัว บางคนก็เพราะผู้หญิง และบางคนก็เป็นเพราะพวกที่ไม่ชอบหน้ากัน
นอกเหนือจากทั้งหมดนี้แล้ว ยังมีความขัดแย้งบางอย่างเนื่องจากความคล้ายคลึงกันของนิกายของพวกเขา และพวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่านิกายไหนดีกว่ากัน
“เฉินหยวนหู นิกายวารีครามของเจ้าเป็นนิกายเต๋าแห่งดาบและมันคล้ายคลึงกับนิกายดาบธานเมฆาของข้า เนื่องจากเราทั้งคู่มาจากนิกายนิกายเต๋าแห่งดาบ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะคิดเห็นอย่างไร” บนชั้นเจ็ดของโรงเตี้ยมเมฆเขียวมีนักสู้อยู่ประมาณห้าหรือหกโต๊ะ โต๊ะหนึ่งมีอยู่เจ็ดคน เด็กหนุ่มที่มีคิ้วราวกับดาบ และจ้องมองมายังเฉินหยวนหู
โต๊ะของเฉินหยวนหูมีอยู่หกคน ซึ่งเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายวารีครามทั้งหมด เขาตอบกลับ “หลินเถิง เจ้าอยู่ในอันดับที่สี่จากบรรดาศิษย์หลักนิกายดาบธารเมฆา เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
มันต้องมีข้อจำกัดอยู่บ้าง หากจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แต่ทว่าหากเป็นลั่วชิงหยุนที่ท้าทายเขา เขาจะตอบรับคำท้าอย่างแน่นอน
เด็กหนุ่มชื่อหลินเถิงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้เป็นอันดับดารา ข้าเองก็เช่นกัน งั้นแล้วเจ้ากำลังกล่าวถึงคุณสมบัติอะไร? นอกจากนี้ นี่ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างเจ้ากับข้า แต่เป็นเรื่องระหว่างนิกายของเรา ทำไมล่ะ? หรือว่านิกายวารีครามของเจ้ากลัว?”
“กลัว? เรื่องตลกอะไรกัน เฉินชิเซียง ให้ข้าได้ตอบรับคำท้าทายจากเขา จะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องกลัว” ศิษย์หลักระดับระดับทองข้างๆเ ฉินหยวนหู่หัวเราะเยาะ
นิกายดาบธานเมฆาอาจจะน่าเกรงขาม และความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ด้อยไปกว่านิกายสวรรค์ปีศาจ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของลูกศิษย์หลัก ฉะนั้นนิกายวารีครามจึงไม่มีอะไรต้องกลัว มีเพียงศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายดาบธารเมฆาเท่านั้นที่มีความสามารถเพียงพอที่จะอยู่ในอันดับที่ 72 ในการจัดอันดับดวงดารา
“เราไปที่นอกประตูเมืองฝั่งตะวันออกกันเถอะ” หลินเถิงลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบและกล่าวขึ้น
ความชื่นชอบในการต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดาของเหล่าเยาวชน การต่อสู้แต่ละครั้งไม่ได้มีเพียงแค่ประสบการณ์ในการต่อสู้เท่านั้น มันยังเพิ่มศักยภาพธรรมดาของคนๆ หนึ่งได้โดยธรรมชาติ
นอกเหนือจากนั้น ทุกชัยชนะจะช่วยเพิ่มพลังให้กับจิตวิญาณต่อสู้ของตนผู้นั้นอีกด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เวลาเข้าไปในเส้นทางแห่งดวงดาวก็จะทดสอบได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็ขอยอมรับคำท้า”
เฉินหยวนหูไม่ได้ต้องการประลองกับหลินเถิง แต่ถ้าเขาไม่ตอบรับคำท้า มันจะส่งผลต่อขวัญกำลังใจของคนจากนิกายวารีครามอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์หลักระดับทองอันดับที่สิบสามจากทั้งสองนิกายหลักก็ได้ออกจากโรงเตี้ยมเมฆเขียวและมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองตะวันออก
มีผู้คนมากมายที่ตามไปหลังจากได้ยินเรื่องนี้
แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงเฉยเมย
ไม่ว่าจะเป็นนิกายวารีครามหรือนิกายดาบธารเมฆา ทั้งคู่ล่วนเป็นแค่นิกายธรรมดาและการต่อสู้เช่นนั้นก็ไม่คุ้มค่าที่จะดู หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ที่ถูกจัดในอันดับดาราทั้งสองคน มันจะการคุ้มค่ากว่า
หลี่ฟู่เฉินกับเฉินหยวนหู และลูกศิษย์หลักระดับทองคนอื่นๆ จากนิกายวารีคราม ให้ความสนใจอย่างมากกับการประลองนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องการที่จะอยู่ในวงล้อมของการต่อสู้ระหว่างนิกายแห่งดาบทั้งสอง
หลี่ฟู่เฉินมาถึงด้านนอกประตูเมืองด้านตะวันออกและแฝงตัวไปในกลุ่มคน
“หลินเถิง เราจะแข่งขันกันอย่างไร?” เฉินหยวนหูถามขึ้น
หลินเท่งตอบกลับ “นิกายดาบธารเมฆาของข้ามีเจ็ดคน ในขณะที่เจ้ามีหกคน ทำไมเราไม่ส่งออกไปสู้กันหกคนล่ะ ฝ่ายใดชนะมากกว่านิกายนั้นก็ชนะ เจ้าว่าอย่างไร?”
“ได้” เฉินหยวนหูพยักหน้า
“ช้าก่อน!” มีคนเดินมาหาอย่างใกล้ๆ
“เซี่ยเฟิง!” ดวงตาของเฉินหยวนหูเบิกโพลงขึ้น
ในนิกายวารีคราม มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ได้การยอมรับจากเขา หนึ่งในนั้นคือดาบคลั่งและอีกคนคือดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง
บางทีก่อนหน้านี้ ดาบไร้อารมณ์ เซี่ยเฟิง อาจจะไม่ใช่ศิษย์หลักระดับทองอันดับ 3 ของนิกายวารีครามก็เป็นได้ หากไม่เป็นเพราะเขาอยู่ในนิกายมาโดยตลอดและไม่เคยออกมาฝึกควบคุมอารมณ์หรือออกมาฝึกประสบการณ์ ดังนั้นการบ่มเพาะของเขาจึงต่ำเช่นนี้
แต่ตอนนี้ การฝึกฝนของเซี่ยเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันไปถึงระดับที่ 7 ของ ขอบเขตปฐพีและต่ำกว่าเฉินหยวนหูเพียงหนึ่งระดับ
“ข้าก็เป็นศิษย์หลักของนิกายวารีครามเช่นกัน ตอนนี้ก็จะมีฝั่งละเจ็ดคนเท่ากันแล้ว”
เซี่ยเฟิงเพิ่งมาถึงเมืองเมฆเขียว แต่เมื่อเขาได้รู้ข่าวเขาก็รีบมาที่นี่อย่างรวดเร็ว
“ไม่มีปัญหา” หลินเถิงยิ้มที่มุมปากอย่างเย้ยหยัน
เขาอาจอยู่ในอันดับที่สี่ในบรรดาศิษย์หลักระดับทองของนิกายดาบธารเมฆา แต่ในแง่ของศักยภาพโดยกำเนิดมันก็พอๆ กับเขา หากไม่ได้เป็นลั่วชิงหยุน เขาก็อาจจะไม่แพ้ศิษย์หลักอันดับ 1 ของนิกายดาบธารเมฆาเสียด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งปี และความสามารถของเขาก็แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก
“เจ้าหลินเถิงนี่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย” หลี่ฟู่เฉินกำลังประเมิณ หลินเถิงจากในกลุ่มฝูงชน
สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าความสามารถของหลินเถิงนั้นสูงกว่า และไม่ต่ำไปกว่าลั่วชิงหยุน
หากพวกเขาประมาท เพราะว่าเขาเป็นศิษย์หลักอันดับสี่ในนิกายดาบธารเมฆา พวกเขาอาจจะต้องเจอกับความทุกข์ทรมาน
“หวังว่าเฉินหยวนหูจะระมัดระวังตัวมากขึ้นอีกหน่อย”
หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการเข้าไปยุ่ง เว้นแต่จะมีเหตุจำเป็นจริงๆ
“ข้าจะเริ่มก่อน คนจากนิกายวารีครามคนไหนที่จะมาประลองกับข้า?”
สำหรับนิกายนิกายดาบธารเมฆา เยาวชนที่อายุน้อยจะโดดเด่นด้านการใช้กระบี่สองเล่มราวกับดาบ
“ข้า หวังเสี่ยว ต้องการทดสอบความสามารถของเจ้า”
ฝั่งของนิกายวารีครามส่งศิษย์หลักระดับทอง หวังเสี่ยวออกไป
เช้ง เช้ง เช้ง เช้ง…
ทั้งสองคนผลัดกันลงมืออย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าชายที่อายุน้อยกว่าผู้นั้นมีทักษะดาบที่ประณีตและลื่นไหลมากกว่า ด้วยกระบี่ทั้งสองที่เสริมซึ่งกันและกัน เขาบังคับให้หวังเสี่ยวถอยออกมาตั้งรับโดยไม่มีโอกาสตอบโต้ใดๆ
หลังจากโดนกระบวนท่าต่อเนื่องนับสิบกระบวนท่า หวังเสี่ยวก็ได้พ่ายแพ้ลง
ในรอบที่สองและสาม
หลังจากรอบที่สาม เฉินหยวนหูและ เซี่ยเฟิงไม่มีท่าทีที่สบายใจอีกต่อไป
นิกายวารีคราม แพ้การแข่งขันสามนัดติดต่อกัน และถ้าพวกเขาแพ้อีกหนึ่งนัด ก็ไม่มีเหตุผลใดจะสู้อีกต่อไป
“เฉินหยวนหู ข้าจะเข้าร่วมรอบนี้” เซี่ยเฟิงกล่าวอย่างกล้าหาญ
เฉินหยวนหูพยักหน้า เมื่อเซี่ยเฟิงก้าวขึ้นไป เขาก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
หากระดับการฝึกฝนของเขาเท่ากับเซี่ยเฟิง เขาไม่มีความมั่นใจใดๆ เลยว่าเขาจะสามารถเอาชนะเซี่ยเฟิงได้
“ฉีหลง เจ้าไปประลองกับมัน อย่าประมาทเชียวล่ะ” หลินเถิงกล่าวกับชายหนุ่มข้างๆ เขา
ฉีหลงยิ้มเล็กน้อย “หลินชิเซียง ไม่ต้องกังวลไป ข้าฉีหลงไม่ใช่หัวหลักหัวตอ เขาไม่สามารถเอาชนะข้าในการต่อสู้ครั้งนี้ได้แน่”
เขาอยู่ในอันดับที่เจ็ดในบรรดาศิษย์หลักนิกายดาบธารเมฆาและตั้งแต่มาถึงแคว้นร้อยเทพยุทธ์เขาก็ได้พบพาต่อสิ่งอัศจรรย์ต่างๆ มากมาย
ทันใดนั้น การต่อสู้ก็เริ่มต้นโดยทันที
ฉีหลงและเซี่ยเฟิงต่างก็ต้องการใช้การโจมตีในครั้งแรกเพื่อกำจัดอีกฝ่าย ดังนั้นทั้งสองจึงใช้ความสามารถที่แท้จริงของพวกเขา
ทันทีที่ทั้งสองเคลื่อนไหว หลี่ฟู่เฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ความเร็วของดาบเซี่ยเฟิง รวดเร็วกว่าฉีหลงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ผลลัพธ์จึงออกมาแล้ว
ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง…
ตามที่คาดไว้ ด้วยความเร็วในการบังคับดาบของเซี่ยเฟิง เขาสามารถจัดการฉีหลงได้แทบจะทันที
ฉีหลงตั้งรับอย่างอดทน จนกระทั้งใบหน้าของเขาแดงก่ำ และต้องการที่จะตอบโต้อย่างมาก
ใครจะรู้ว่าเซี่ยเฟิงจะไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้แม้แต่ครั้งเดียว ทันทีที่เขาพยายามระเบิดพลังออกมา เซี่ยเฟิงก็จะโจมตีมาจากอีกมุมหนึ่งทันที มันทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ ฉีหลงใช้ความสามารถที่แท้จริงของเขาได้เพียง 50% หรือ 60%
‘เซี่ยเฟิง เต๋าแห่งดาบของเขาคือไร้อารมณ์ เมื่อความคิดริเริ่มของเขาได้เกิดขึ้น แม้แต่กระทั้งข้าเองก็คงมีช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับการแก้ไขสถานการณ์’ เฉินหยวนหูคิดในใจ
หลังจากการปล่อยกระบวนท่าหลายสิบครั้ง ฉีหลงก็พ่ายแพ้ไปโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่เริ่มจนจบการประลอง เขาไม่สามารถทำอะไรได้ แม้กระทั่งจะตอบโต้กลับไปก็ทำไม่ได้
การแสดงออกของหลินเถิงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง นิกายดาบธารเมฆาพึ่งจะแพ้เพียงรอบเดียวเท่านั้น และพวกเขาก็ยังแพ้ได้อีกรอบหรือสองรอบ แต่ตราบใดที่อีกฝ่ายแพ้อีกครั้ง มันก็จะจบลงทันที
“เฉินหยวนหู มาเริ่มการประลองอีกรอบกันเถอะ!”
แต่หลินเถิงไม่ได้ตั้งใจที่จะยืดเยื้อสถานการณ์กับนิกายวารีคราม เขาตัดสินใจที่จะจบมันลงให้เร็วที่สุด
“ได้เลยข้าพร้อมเสมอ”
ร่างกายของ เฉินหยวนหูวาปไปร่อนลงต่อหน้าหลินเถิงและอยู่ห่างประมาณ 10 เมตร
ติดตามได้ก่อนใครที่เพจ indynovels