Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 315
บทที่ 315
มนุษย์และดาบรวมตัวกัน
“เราทุกคนประเมินสถานะศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกต่ำไป ศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกจะเป็นคนง่ายๆ ได้อย่างไร? ในแง่ของศักยภาพโดยกำเนิด เขาอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน มันอาจจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำ หากจะบอกว่าเขาเป็นอันดับที่ 1”
“โครงกระดูกระดับ 1 ดาวที่ได้เป็นผู้ที่มีศักยภาพโดยกำเนิดในหมู่คนรุ่นใหม่เป็นอับดับที่ 1 นี่มันไม่ไร้สาระเกินไปหรือ?”
“ไร้สาระ? หึ หึ โลกนี้กว้างใหญ่และมีสิ่งลี้ลับมากมาย นอกเหนือจากโครงกระดูกแล้ว ยังมีความสามารถซ่อนเร้นต่างๆ อีกมากมายที่ไม่มีใครรู้ เช่นเดียวกับเส้นชีพจรดาบของจื่อหยูเย่”
“นั้นก็จริง โครงกระดูกไม่ได้เป็นตัวแทนของทุกสิ่ง อย่างน้อยก็ในบันทึกตามตำนาน มันไม่ได้หมายถึงทุกอย่าง มีพลังแฝงบางอย่างซ่อนอยู่ ซึ่งมันก็อาจจะเหนือกว่าโครงกระดูกก็เป็นไปได้ แม้แต่กระทั้งเส้นชีพจรเองก็ยังมีแยกระดับเลย”
“อันที่จริง เราไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วโครงกระดูกคืออะไร นอกจากนี้ยังมีบันทึกว่าควรมองความสามารถที่ซ่อนอยู่และโครงกระดูกเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับเส้นชีพจรดาบของจื่อหยูเย่และโครงกระดูก 6 ดาวของเขา ถ้าเอามารวมกัน มันก็อาจจะกลายเป็นโครงกระดูกเต๋าแห่งดาบ 6 ดาวหรือโครงกระดูกเส้นชีพจรดาบ 6 ดาว”
“ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ พรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่และโครงกระดูกไม่สามารถมองเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว หลี่ฟู่เฉินที่เป็นเพียงโครงกระดูกระดับ 1 ดาว แม้ว่าเขาจะมีสามารถแฝงที่น่ากลัวมากจริง แต่อย่างดีที่สุดเขาก็น่าจะเอาชนะได้แค่นักสู้ที่มีโครงกระดูกระดับ 3 หรือ 4 ดาวเท่านั้น”
ทุกคนมีความเห็นของตัวเองขณะที่พูดคุยกัน
“น่าสนใจ บุคคลผู้นี้มีค่าพอที่ข้าจะเอาจริง” สือตูเหล่ยเผยรอยยิ้ม
มันคงไม่รู้สึกดีที่ต้องพ่ายแพ้ แต่ถ้าไม่มีคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวแม้แต่คนเดียว มันก็ทุกข์พอๆ กัน
“ความสามารถของเขาแข็งแกร่งจริงหรือ?”
ฉีเหิงรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่รุนแรงจากหลี่ฟู่เฉิน แม้แต่กระทั้งจื่อหยูเย่ก็กดดันเขาได้มากมายแล้ว
หลังจากที่พ่ายแพ้ให้กับหลี่ฟู่เฉินแล้วนั้น คู่ต่อสู้คนต่อไปของจือหยูเย่ก็คือฉีเหิง
ฉีเหิงได้รับการขนานนามว่าเป็นราชาดาราไร้เคลื่อนไหว ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเขาย่อมมีความสามารถที่น่าตกใจแน่นอน ก่อนหน้านี้ เขาต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่ตอนนี้เขานำง้าวขนาดใหญ่ออกมา เขาถือง้าวก่อนที่จะระเบิดด้วยพลังอันน่ากลัวออกมาและเข้าปะทะกับจื่อหยูเย่
“นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา?”
จือหยูเย่ไม่ได้คาดหวังเลยว่าฉีเหิงจะทรงพลังถึงขนาดนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าฉีเหงิยังไม่ได้ใช้ความสามารถทั้งหมดออกมาเมื่อก่อนหน้านี้
‘ความแข็งแกร่งทางกายภาพน่าทึ่งอะไรเช่นนี้’
หลี่ฟู่เฉินมองเห็นพลังกายที่แข็งแกร่งมากของฉีเหิง เขามันว่าพลังกายที่ว่านั้นมันน่าจะมีมากกว่า 50,000 กิโลกรัม
ในขณะที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหลี่ฟู่เฉินเมื่อเสริมด้วยเจตจำนงเทคนิคร่างกายเร้นโลหิตเข้าไปด้วยแล้ว มันก็อยู่ที่ 30,000 ถึง 35,000 กิโลกรันแต่เพียงเท่านั้น แน่นอนว่าหลังจากที่เข้าใจเจตจำนงเทคนิคปรับแต่งร่างกายแล้ว การเพิ่มพลังกายภาพเป็นเพียงเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดก็คือการเพิ่มความแข็งแกร่งในการป้องกัน
หลี่ฟู่เฉินเชื่อว่ามีสองเหตุผลที่ทำให้ฉีเหิงมีความแข็งแกร่งทางกายภาพที่น่ากลัวเช่นนี้
อย่างแรก ฉีเหิงได้ฝึกฝนเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับลึกลับขั้นสูงสุดของเขาไปจนถึงขีดจำกัด ซึ่งทำให้เขามีพลังกายราวๆ 40,000 กิโลกรัม
อย่างที่สอง มันเป็นเทคนิคลับประเภทป้องกันของนิกายอุปกรณ์ลึกลับ ซึ่งเป็นการสลักลวดลายป้องกันลงไปบนร่างกายของพวกเขา ลวดลายป้องกันมีไว้เพื่อเพิ่มพลังป้องกันเป็นหลัก แต่มันก็จะเพิ่มความแข็งแกร่งทางกายภาพได้ไม่มากก็น้อยด้วยเช่นกัน มีหลายครั้งที่พลังป้องกันและพลังโจมตีเชื่อมโยงกันอย่างไม่อาจแยกจากออกจากกันได้
พลังที่น่ากลัวนี้ทำให้กระบวนท่าและการลงมือของฉีเหิงแต่ละครั้งดูหนักหน่วงมาก เพียงแค่เสียงปรบมือของเขาก็เหมือนกับฟ้าผ่าที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งในโลกนี้ ทุกอย่างน่าประหลาดใจ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของเขา พลังโจมตี หรือแม้แต่กระทั้งความเร็วในการเคลื่อนที่
พลังกายของฉีเหิงอาจจะทรงพลัง แต่เขาก็ไม่ได้คล่องแคล่วว่องไวเท่าจื่อหยูเย่ ในแง่ของความสามารถด้านทักษะต่อสู้เอง เขาก็ด้อยกว่าจื่อหยูเย่ และพลังของกระบวนท่าของพวกเขาเองก็ยังใกล้เคียงกัน ความปรานีตและรายละเอียดของกระบวนท่ามีความสำคัญเป็นพิเศษ
ดังนั้น เมื่อจื่อหยูเย่จึงใช้สิบดาบก็จะโจมตีฉีเหิงได้หนึ่งดาบอยู่เสมอ
แต่ แสงดาบมังกรฟ้าของจื่อหยูเย่ก็ทำได้แค่ทิ้งรอยดาบตื้นๆ ไว้บนร่างกายของฉีเหิงได้แต่เพียงเท่านั้น แม้จะมีรอยแผลเป็นจากดาบที่ลึกกว่าเดิมอยู่บ้างเป็นครั้งคราว แต่มันก็ทำให้เลือดออกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ราวกับว่าถูกบาดด้วยมีดเล็กๆ ที่บาดมือเป็นประจำ มันอาจจะเจ็บปวด แต่มันไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
“พลังป้องกันของเขาแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลย?” จื่อหยูเย่มีดวงตาที่มืดมน
เขาใช้พลังของเส้นชีพจรดาบของเขาไปแล้วและมันก็แทบจะไม่สามารถทำลายการป้องกันของฉีเหิงได้
หลังจากหายใจเข้าลึกๆ จื่อหยูเย่ก็เริ่มใช้พลังหลักของเส้นชีพจรดาบของเขา
เว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ จื่อหยูเย่ก็ไม่ต้องการใช้พลังหลักของเส้นชีพจรดาบ ประการแรก พลังหลักถูกฟื้นฟูได้ช้า มันจะไม่ฟื้นคืนมาแม้หลังจากจะผ่านไปหลายเดือนแล้วก็ตาม มันอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งปีเต็ม ประการที่สอง เขาต้องการใช้พลังหลักของเส้นชีพจรดาบทั้งหมดของเขากับสือตูเหล่ย และหากเป็นไปได้ เขาก็ไม่ต้องการใช้มันกับฉีเหิง แน่นอนว่าเมื่อใช้แล้วก็ต้องเอาชนะฉีเหิงให้ได้ด้วย หากไม่เช่นนั้นแล้วมันก็คงไม่มีความหมาย
ใช้พลังหลักของเส้นชีพจรดาบจนหมด พลังในทักษะดาบของจื่อหยูเย่ก็ก้าวขึ้นไปอีกระดับและพลังมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ชี่ ชี่ ชี่ ชี่ ชี่ ชี่…
ร่างกายของฉีเหิงปรากฏบาดแผลลึกหลายแห่ง บางรอยแผลก็ลึกถึงกระดูก
“บ้าเอ้ย!”
ฉีเหิงคำรามออกมา ในขณะที่เขาขว้างง้าวขนาดใหญ่ของเขาไปยังจื่อหยูเย่
เห็นได้ชัดว่าฉีเหิงฝึกการขว้างอาวุธมา มันไม่เห็นถึงความถูกต้องและจังหวะเวลา ดูแล้วไม่มีแม้แต่วี่แววว่าเขาจะปามันมาตั้งแต่เมื่อไหร่
กระบวนท่านี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป และจื่อหยูเย่ก็แทบจะไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
เมื่อง้าวขนาดใหญ่กลายเป็นลำแสงเและถูกขว้างออกไป จื่อหยูเย่ก็ทำได้เพียงแค่ยกดาบขึ้นมาเพื่อกันมันเท่านั้น
เช้ง!
มีประกายไฟระเบิดออกมา ขณะที่จื่อหยูเย่บินถอยหลังกลับออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด
ขณะที่จื่อหยูเย่กำลังจะบินออกจากเวที เขาตะโกนออกมาทั้งๆ ที่อยู่กลางอากาศ และระเบิดพลังหลักของเส้นชีพจรดาบที่เขาเก็บไว้ทั้งหมดออกมา ในช่วงเวลาถัดไปจื่อหยูเย่ก็หยุดได้อย่างกะทันหัน ต่อจากนั้นราวกับว่าเขากลายเป็นดาบ มันเหมือนกับการรวมกันระหว่างมนุษย์และดาบ เขาพุ่งเข้าไปสังหารฉีเหิง
ปิสส!
ด้วยแสงดาบที่กระพริบผ่าน จื่อหยูเย่ปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของฉีเหิง
ในช่วงเวลาต่อจากนั้น ร่างกายของฉีเหิงก็ถูกผ่าครึ่ง แม้แต่กระทั่งกระดูกและอวัยวะภายในของเขาก็ยังมองเห็นได้ หากมันไม่ใช่เพราะว่าอยู่ในค่ายกลชุบสวรรค์นี้ แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดก็ไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บดังกล่าวได้ และฉีเหิงก็น่าจะตายไปแล้ว
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!”
ทุกคนตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าจื่อหยูเย่จะสามารถระเบิดพลังและใช้ท่าดาบที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ออกมาได้
มองไปที่หลี่ฟู่เฉินอย่างเย็นชา จื่อหยูเย่รู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อยภายในใจ เขาไม่ควรลังเลและน่าจะใช้พลังหลักของเส้นชีพจรดาบของเขาให้หมดในทันที ระหว่างตอนที่สู้กับหลี่ฟู่เฉินอยู่ มันอาจจะเป็นไปได้ที่เขาจะชนะหลี่ฟู่เฉิน แต่เขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะฉีเหิงและสือตูเหล่ยได้ในภายหลังก็เท่านั้น
‘ค่อนข้างเป็นเต๋าแห่งดาบที่ทรงพลัง’ หลี่ฟู่เฉินยกคิ้วขึ้น
พลังของดาบนี้เหนือกว่าความสามารถของเขาที่เขาดึงมาจากบทดาบเหล็กดำ หากจื่อหยูเย่ใช้ดาบนี้ในระหว่างการแข่งขันกับเขา หลี่ฟู่เฉินคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเปิดใช้งานบทดาบทองแดงของเขา
“นี่คือเส้นชีพจรดาบหรือ?” สือตูเหล่ยมีแววตาที่ดูตื่นตระหนก
ในระหว่างการแข่งขันกับเขา หากจื่อหยูเย่ยังสามารถใช้ดาบนี้ได้อีก เช่นนั้นแล้วแม้แต่กระทั้งสือตูเหล่ยเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะเขาได้
“การแข่งขันครั้งนี้ดูเกินจริงไปแล้ว พวกเขาสองคนยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า? พวกเขาไม่ใช่แค่อัจฉริยะที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาเท่านั้นหรือ?”
“ท่ามกลางสามราชาดารา มีเพียงสือตูเหล่ยเท่านั้นที่ยังคงรักษาสถิติไร้พ่ายของเขาได้ ข้าสงสัยว่าเขาจะยังรักษามันไว้ต่อไปได้หรือไม่?”
“ตอนนี้มันเริ่มน่าสนใจขึ้นมาอีกแล้วหลี่ฟู่เฉินเอาชนะจื่อหยูเย่ได้ ขณะที่จื่อหยูเย่เอาชนะฉีเหิง หากฉีเหิงสามารถเอาชนะหลี่ฟู่เฉินได้ เช่นนั้นอันดับของจื่อหยูเย่และหลี่ฟู่เฉินก็จะไม่แน่นอนอีกต่อไป”
เมื่อจื่อหยูเย่ระเบิดความสามารถที่แท้จริงของเขาออกมา ทุกคนตระหนักได้ดีแล้วว่าการต่อสู้เพื่อสามอันดับแรกยังคงเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอยู่มาก ใครๆ ก็ยังครองอันดับหนึ่งได้
ตอนนี้ การแข่งขันจัดอันดับดาราถึงเกือบถึงนัดสุดท้ายแล้ว หลี่ฟู่เฉินพบกับฉีเหิงที่ฟื้นตัวขึ้นมาในนัดชิงชนะเลิศนี้
บนเวทีวงกลม หลี่ฟู่เฉินผลักดันแสงดาบเหล็กดำของเขาไปจนถึงขีดสุด เมื่อ 90% ของแสงดาบเปลี่ยนเป็นสีดำ ก็เหลือแสงดาบเพียง 10% เท่านั้นที่เป็นสีแดงจากทักษะดาบเพลิงปีศาจ
ชี่ ชี่ ชี่ ชี่ ชี่…
เมื่อเทียบกับจื่อหยูเย่ ทักษะดาบของหลี่ฟู่เฉินมีความเข้มข้นและไร้ที่ติมากกว่า ทุกๆ สิบดาบ จะมีสามดาบที่ทิ้งรอยไว้บนร่างกายของฉีเหิง
นอกจากนี้ รอยดาบเองก็ค่อนข้างลึก และรอยที่ลึกที่สุดก็ไปถึงกระดูกของฉีเหิง ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้ฉีเหิงต้องระเบิดความสามารถทั้งหมดที่เขามีออกมาแทบจะทันที