Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 321
บทที่ 321
การจากไปของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ
ดวงอาทิตย์ที่งดงามสาดส่องลงมาบนยอดเขาที่ว่างเปล่า มันสามารถมองเห็นคลื่นความร้อนในอากาศได้อย่างชัดเจน
ต้นตอของคลื่นความร้อนนั้น เกิดจากการพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินที่ถูกแพร่กระจายออกมา และพลังฉีนี้ยังมีกลิ่นอายที่พร้อมจะเผาผลาญทุกสิ่งอย่าง นักสู้ขอบเขตปฐพีทั่วไปไม่สามารถเข้าไปใกล้มันได้ เมื่อพวกเขาเข้าใกล้มัน ไม่เพียงแต่ร่างกายของพวกเขาจะไม่สามารถต้านทานมันได้ แต่จิตวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถต้านพลังนี้ได้เช่นกัน
บูมมม!
ไม่มีใครรู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว ขณะที่คลื่นความร้อนลุกโชดช่วงรุนแรงยิ่งกว่าเดิมพลุ่งพล่านออกมา มันทำให้อากาศบิดเบี้ยวไปอย่างรุนแรง แม้แต่กระทั้งรูปร่างของหลี่ฟู่เฉินก็ดูบิดเบี้ยวไปราวกับว่ามันไม่ใช่ของจริง
ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง…
พื้นผิวโดยรอบของพื้นดินแตกออก และลุกเป็นไฟจากนั้นก็กลายเป็นผลึกสีดำ แสงของการแผดเผาแผ่ไปทั่วทั้งบริเวณ
‘อย่างที่คาดไว้’
ในขณะที่เทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงกำลังถูกตัดผ่าน หลี่ฟู่เฉินรู้สึกถึงอาการปวดแสบปวดร้อนที่เส้นชีพจรของเขา นี่เป็นเพราะเส้นชีพจรของเขาไม่สามารถต้านทานกระแสเพลิงพลังฉีที่รุนแรงของเพลิงโลกันต์แท้จริงได้
หลี่ฟู่เฉินอ้าปากและกินดอกไม้เพลิงเยือกแข็งเข้าไปอย่างไม่ลังเล
เมื่อดอกไม้เพลิงเยือกแข็งเข้าสู่ร่างกายของเขา พลังงานความร้อนบริสุทธิ์ส่วนหนึ่งที่ลุกโชนอยู่ก็เริ่มหลอมรวมกับเพลิงโลกันต์แท้จริง ซึ่งทำให้มันอ่อนตัวลงมาก ในขณะที่พลังเยือกแข็งส่วนหนึ่งปกป้องเส้นชีพจรจากการได้รับความเสียหายเพราะอาการพุ่งพล่านของเพลิงโลกันต์แท้จริง
เมื่อเวลาผ่านไป อาการพลุ่งพล่านของพลังฉีเพลิงโลกันต์ในร่างกายของหลี่ฟู่เฉินก็มีน้อยลงกว่าเดิมมาก ในขณะที่สภาวะพลังฉีของเขาบริสุทธิ์ขึ้นและดุเดือนมากขึ้น ราวกับว่าดวงอาทิตย์ดวงน้อยที่กำลังส่องแสงและเปล่งความร้อนออกมา
‘พลังฉีเพลิงโลกันต์น่ากลัวอะไรเช่นนี้’
เมื่อลืมตาขึ้น หลี่ฟู่เฉินก็รู้สึกได้ถึงพลังฉีเพลิงโลกันต์แท้จริงที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาอยู่ในใจ
มันเป็นเพียงความก้าวหน้าแค่ระดับหนึ่ง แต่พลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งขอบเขต
คุณภาพพลังฉีในปัจจุบันของเขาอาจไม่ด้อยไปกว่านักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับ 1 นักเลย
นักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับที่ 1 น่าจะอยู่ในขั้นที่ 15 หรือไม่ก็ขั้นที่ 16 ของเทคนิคบ่มเพาะของพวกเขา ซึ่งต่ำกว่าเขาประมาณสองถึงสามขั้น
อันที่จริง หลี่ฟู่เฉินไม่คุ้นเคยกับพลังฉีที่บริสุทธิ์และเร่าร้อนเช่นนี้
เมื่อเขาโคจรพลังฉีของเขา เขารู้สึกราวกับว่ามีแมกมาร้อนๆ ที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นชีพจร
‘ทักษะดาบเพลิงโลกันต์เป็นหนึ่งในทักษะต่อสู้ 50 อันดับแรกในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก และมันก็กล่าวกันไว้อีกว่าเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงเองก็เป็นหนึ่งใน 30 สุดยอดเทคนิคในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก ด้วยคุณสมบัติร่างกายของข้า มันอาจจะต้องมีการเสียอะไรบางอย่างไปเล็กน้อย!’ ตามเหตุตามผลแล้ว คุณสมบัติร่างกายของหลี่ฟู่เฉินไม่ได้อ่อนแอเลยและมันก็อยู่ในจุดสุดยอดของนิกายวารีคราม
ท้ายที่สุดแล้วไม่มีเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับใดที่สูงไปกว่าเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต
แน่นอนว่าเมื่อเปรียบเทียบนักสู้ขอบเขตปฐพีกับนักสู้ขอบเขตสวรรค์ มันก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง หากทั้งคู่เข้าใจเจตจำนงเทคนิคร่างกายเร้นโลหิตเหมือนกัน และความแตกต่างที่ว่านั้นก็จะยิ่งใหญ่มากขึ้นเมื่อเป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด แต่หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถรอจนกว่าเขาจะไปถึงขอบเขตสวรรค์ได้ เพราะเขาต้องการควบคุมความสามารถของตัวเองให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นเขาต้องทำให้คุณสมบัติร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ
‘ข้าสงสัยว่ารูปแบบปฐพีที่ข้าได้รับจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ประตูโลก หายไปไหน?’
รูปแบบปฐพีนั้นอาจมีเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีซ่อนอยู่
เทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีมีแก่นแท้ของสวรรค์และโลก เมื่อผู้ฝึกฝนสามารถบรรลุความเชี่ยวชาญได้ระดับหนึ่งแล้ว เขาก็จะสามารถใช้งานมันได้อย่างชำนาญมาก
หลี่ฟู่เฉินไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถไปถึงขั้นสูงของเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีได้ ในความคิดของเขาแม้ว่าเขาจะเข้าสู่ขั้นตอนแรกของการฝึกฝน นั้นก็คงเพียงพอแล้วที่มันจะเหนือกว่าเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต
น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีได้เลย เทคนิคการปรับแต่งร่างกายนั้นดูเหมือนจะซ่อนตัวอยู่ในเส้นเลือดของเขา
แน่นอนว่านอกเหนือจากเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็ยังได้รับตราประทับสวรรค์จากประตูสวรรค์ในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับด้วยเช่นกัน มันอาจเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้มีแก่นแท้ของทักษะต่อสู้ระดับสวรรค์อยู่ แต่ถ้าหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถค้นพบเทคนิคปรับแต่งร่างกายระดับปฐพีได้เขาก็ควรจะล้มเลิกการค้นหาตราประทับสวรรค์อันนั้น
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน และรีบวิ่งลงจากยอดเขาก่อนจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
ด้วยเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงขั้นที่ 18 หลี่ฟู่เฉินก็มีความสามารถในการบินระยะสั้นเพิ่มขึ้นมาแล้วนอกจากนี้ความเร็วของเขาก็ไม่ได้ช้าและถือว่าค่อนข้างเร็ว
ในช่วงเวลานี้หลี่ฟู่เฉินก็ยังคงเลือกทำความเข้าใจเจตจำนงดาบเพลิงโลกันต์อยู่ที่อนุสาวรีย์ดาบเช่นเคย
แต่เห็นได้ชัดว่าเจตจำนงเพลิงโลกันต์ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ
แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็นึกถึงทักษะเพลิงโลกันต์ มันเป็นทักษะดาบระดับลึกลับขั้นสูงสุดซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง
แม้ว่าทักษะต่อสู้จะทำความเข้าใจและฝึกฝนง่ายกว่าเทคนิคบ่มเพาะ แต่สิ่งนี่อาจจะเป็นการพูดเกินจริงมากไปหน่อย
จนถึงจุดนี้หลี่ฟู่เฉินก็แทบจะไม่ผ่านขั้นที่ 18 ของเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงแล้ว ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ นี้จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะทำความเข้าใจเจตจำนงเพลิงโลกันต์ แม้ว่าเขาจะมีจิตวิญญาณสีฟ้าอยู่ก็ตาม
เว้นแต่พลังฝึกฝนของเขาจะอยู่ที่ขอบเขตสวรรค์
‘ข้าควรกลับไปเยี่ยมเยื่อนเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับอีกครั้ง’
เนื่องจากหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำความเข้าใจเจตจำนงเพลิงโลกันต์ได้ เขาเองก็ไม่รีบร้อนเช่นกันเขาจึงตัดสินใจไปที่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับอีกครั้ง
ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกกล่าวว่าพวกเขากำลังจะออกจากทวีปยูนิคอร์นตะวันออกในไม่ช้า หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่ามีความจำเป็นที่เขาจะต้องพบผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกอีกครั้งก่อนที่เขาจะออกไปจากที่นี่
โอหยางเหวินเทียนรู้สึกสบายใจมากที่หลี่ฟู่เฉินออกจากนิกาย ด้วยการคงอยู่ของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรก จึงไม่มีใครกล้าพอที่จะพยายามจัดการกับหลี่ฟู่เฉิน สำหรับนักสู้ในขอบเขตเดียวกันมันก็ไม่มีสามารถเทียบกับหลี่ฟู่เฉินได้
เพื่อที่จะให้หลี่ฟู่เฉินเดินทางเร็วขึ้นเล็กน้อยโอหยางเหว่ยเทียนยังมอบสัตว์วิญญาณบินระดับ 4 ขั้นต่ำให้แก่หลี่ฟู่เฉินด้วย
ด้วยความเร็วของสัตว์วิญญาณ หลี่ฟู่เฉินจึงใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เขาจะกลับมา
…
ในวันนี้มีเงาสีดำพุ่งทะลุท้องฟ้าผ่านชั้นเมฆไป
มันเป็นนกยักษ์ที่มีเกล็ดบนหัวและจะงอยปากเหมือนเคียว
สัตว์วิญญาณระดับ 4 ขั้นต่ำ… นกยักษ์เคียวสยอง
ก่อนที่นกยักษ์เคียวสยองจะเชื่องมันเป็นสัตว์วิญญาณที่ดุร้ายและโหดเหี้ยมมาก หลังจากเชื่องแล้วความดุร้ายของมันก็ยังคงอยู่ และมีหลายครั้งที่มันต้องการจะเหวี่ยงหลี่ฟู่เฉินออกจากหลัง แต่น่าเสียดายที่หลี่ฟู่เฉินมีเหรียญหยกสัตว์วิญญาณ
ในจิตใจของนกยักษ์เคียวสยอง มันมีสัญลักษณ์หยกสัตว์วิญญาณ ซึ่งจะตอบสนองซึ่งกันและกัน ตราบใดที่หลี่ฟู่เฉินตั้งใจจะสร้างเจ็บปวดให้กับนกยักษ์เคียวสยอง เขาก็ทำมันได้ทันที ไม่กี่ครั้งต่อมานกยักษ์เคียวสยองก็เชื่อฟังมากขึ้นและไม่กล้าที่จะกระทำโดยพละการ
แน่นอนว่านี่เป็นผลมาจากการที่นกยักษ์เคียวสยองตัวนี้กินยาเปลี่ยนวิญญาณเป็นจำนวนมากซึ่งเปลี่ยนจากปีศาจให้เป็นสัตว์จิตวิญญาณ หากไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อความดุร้ายของมันถูกกระตุ้นมันก็ยากที่จะควบคุมได้แล้ว แม้จะใช้เหรียญหยกสัตว์วิญญาณก็ตาม
‘ข้าสงสัยว่าความเร็วของข้าเทียบเท่ากับนกยักษ์เคียวสยองไหม?’
ด้วยความคิดที่ผ่านเข้ามาในใจของเขา หลี่ฟู่เฉินก็ค่อยๆ ลงจากหลังของนกยักษ์เคียวสยองและบินไปในอากาศ
ดวงตาของนกยักษ์เคียวสยองกระพริบ เพราะไม่เข้าใจว่าหลี่ฟู่เฉินกำลังทำอะไรอยู่
แต่เมื่อเห็นหลี่ฟู่เฉินบินอยู่ข้างหน้า มันก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนเย้ยหยัน มันกระพือปีกอย่างแรงเพื่อเพิ่มความเร็วและแซงหลี่ฟู่เฉินทันที
หลี่ฟู่เฉินหัวเราะอย่างเต็มที่ และระเบิดพลังฉีหยางบริสุทธิ์ออกมา ซึ่งนี่ก็ทำให้เขามีความเร็วเพิ่มขึ้น และแซงนกยักษ์เคียวสยองไปได้อีกครั้ง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เกิดศึกระหว่างคนและนกที่บินไล่กันไปในอากาศด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิมเกือบสองเท่า
ในที่สุด หลี่ฟู่เฉินก็ต้องยอมรับว่ามนุษย์ไม่สามารถแข่งขันกับสัตว์ร้ายที่บินได้
แม้ว่าเขาจะมีความสามารถในการฆ่านกยักษ์เคียวสยอง แต่ในแง่ของความเร็วในการบินเขาก็พ่ายแพ้ให้กับนกยักษ์เคียวสยองอย่างสิ้นเชิง
หลังจากช่วงเวลาหนึ่ง หลี่ฟู่เฉินก็มาถึงภูเขาเมฆาเขียว ซึ่งอยู่ห่างออกไป 300 ไมล์จากเมืองเมฆาเขียวของแคว้นร้อยเทพยุทธ์
สามวันต่อมาเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับก็เปิดขึ้นและหลี่ฟู่เฉินก็เข้าไป
“เจ้าอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับคนแรกสังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉินทันทีและย้ายเขาไปที่ภูเขาลูกแรก
“อาจารย์” หลี่ฟู่เฉินทักทายด้วยความเคารพ
ชายผู้โดดเด่นนี้สำรวจหลี่ฟู่เฉินและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะก้าวหน้าไปพอสมควร”
ด้วยวิสัยทัศน์ของเขา เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าจิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และความสามารถของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
“อาจารย์ชมข้ามากเกินไปแล้ว” หลี่ฟู่เฉินรู้สึกเกรงใจ
ชายผู้โดดเด่นโบกมือให้เขา ในขณะที่สีหน้าของเขาก็ดูทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน “ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่อาจารย์และคนอื่นๆ จะออกจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับเราจะออกจากทวีปยูนิคอร์นตะวันออก”
“หนึ่งเดือน?” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินกระพริบ
ชายผู้โดดเด่นกล่าวว่า “เนื่องจากกฎของเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ มันจึงเป็นเรื่องน่าเสียใจที่ข้าไม่สามารถมอบสิ่งของใดๆ ให้แก่เจ้าได้ ด้วยขอบเขตการฝึกฝนในปัจจุบันของข้า ข้ายังไม่สามารถบอกเจ้าได้โดยตรงเกี่ยวกับทักษะต่อสู้หรือเทคนิคลับใดๆ แต่รูปแบบต่อสู้ระดับปฐพีที่ข้าประทับบนข้อมือของเจ้าก่อนหน้านี้ มีร่องรอยของการสืบทอดอยู่แล้ว ทุกครั้งที่เจ้าเปิดใช้รูปแบบการต่อสู้เจ้าจะสามารถสัมผัสได้ถึงเจตจำนงภายในมัน หากการรับรู้ของเจ้าดีพอเจ้ายังสามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวหรือรูปแบบของทักษะต่อสู้ระดับปฐพีได้ แต่เนื่องจากเจ้ากลับมาที่เขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ข้าจะปล่อยให้เจ้ามามือเปล่าไม่ได้ ข้าจะมอบของขวัญอีกชิ้นให้เจ้า
” ในขณะที่ชายผู้โดดเด่นกล่าวเขาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังหลี่ฟู่เฉินและวางฝ่ามือไว้บนหลังของหลี่ฟู่เฉิน
มีความรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าร่างกายของเขาถูกเหล็กร้อนประทับตราลงไป แต่หลี่ฟู่เฉินก็อดทนต่อมันโดยไม่ส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว
ชี่ ชี่ ชี่ ชี่ ชี่ ชี่…
ควันสีเขียวถูกปล่อยออกมาจากด้านหลังของหลี่ฟู่เฉิน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ลวดลายสีม่วงขยายตัวออกไปตลอดทั้งหลังของเขาก่อนที่จะหยุดลง
หลังจากถอนฝ่ามือออก ใบหน้าของชายที่โดดเด่นก็ซีดมาก เมื่อเขาตีตรารูปแบบการต่อสู้ระดับปฐพีบนข้อมือของหลี่ฟู่เฉินมันทำให้เขาหมดแรงไปอยู่ก่อนแล้ว แต่คราวนี้เขาต้องใช้พลังงานวิญญาณมากกว่าเดิม ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นตัวหากไม่มีเวลาสักสองสามปีเป็นอย่างน้อย
“อาจารย์นี่มัน?” หลี่ฟู่เฉินประหลาดใจ
ชายผู้โดดเด่นกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “นี่เป็นรูปแบบเทคนิค ในช่วงเวลาสำคัญเจ้าสามารถถ่ายพลังฉีของเจ้าเข้าไปในรูปแบบได้ มันจะเข้าไปแทนที่ในเส้นชีพจรของเจ้า และด้วยเทคนิคนี้มันจะทำให้ระเบิดพลังฉีออกมาได้แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า ข้าเชื่อว่าด้วยรูปแบบเทคนิคนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการเอาชีวิตรอดของเจ้าได้อย่างมากมหาศาล หากเจ้ายังไม่สามารถปกป้องชีวิตของเจ้าได้ มันก็คงจะเป็นชะตากรรมของเจ้าเองแล้ว และเจ้าก็จะไม่สามารถโทษใครได้อีก”
“ขอบคุณขอรับท่านอาจารย์” หลี่ฟู่เฉินค่อนข้างรู้สึกประทับใจ
ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนก่อนที่ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับจะจากไป ดังนั้นหลี่ฟู่เฉินจึงอยู่ในแดนเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับต่ออีกเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ในวันนี้ ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับทั้งหมดหายตัวไป และทุกชีวิตในเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับก็ถูกขับออกจากที่นี่
ภายนอกเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ ประตูเขตแดนเร้นถูกปิดอย่างสมบูรณ์ ไม่ทราบว่าครั้งต่อไปจะเปิดอีกครั้งเมื่อใด
บนยอดเขา หลี่ฟู่เฉินได้เห็นศิษย์ส่วนตัวของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับอย่างเช่น จื่อหยูเย่ เซี่ยฮัวชวน ชูมู่หยู หยานฉิงหวูและคนอื่นๆ
ทุกคนดูตกใจเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาแตกต่างจากหลี่ฟู่เฉิน พวกเขาไม่ได้รับรู้ข้อมูลใดๆ เลย
“ดูเหมือนว่าเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับจะถูกปิดไปแล้ว” ชูมู่หยูคิดในใจ
ทันทีหลังจากนั้นชูมู่หยูมองไปที่หลี่ฟู่เฉิน และกล่าวออกไปว่า “หลี่ฟู่เฉินเจ้าต้องระวัง เพราะต้นไม้ที่เด่นที่สุดมักจะถูกโค่นเป็นต้นแรก เจ้าก็เช่นกัน เจ้าได้อันดับที่ 1 ในการจัดอันดับดาราและนั่นก็หมายความว่าเจ้าย่อมกลายเป็นเป้าหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับจากไปแล้ว ทวีปยูนิคอร์นตะวันออกก็จะวุ่นวายมากขึ้นในตอนนี้”
ในอดีต นิกายต่างๆ หวาดกลัวความสามารถของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับ และไม่กล้าโจมตีโดยประมาท หลังจากหลายปีที่ผ่านมาผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับได้มีศิษย์ส่วนตัวจำนวนมากและพวกเขาทั้งหมดก็มาจากนิกายต่างๆ ใครจะรู้ว่าศิษย์ส่วนตัวจะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาฐเทพยุทธ์เร้นลับในช่วงเวลาคับขันหรือไม่ แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว…ข่าวการจากไปของผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับจะแพร่กระจายไปทั่วทวีป และในไม่ช้าความขัดแย้งก่อนหน้านี้ทั้งหมดจะถูกจุดให้ติดขึ้นเหมือนไฟที่มีน้ำมันเป็นเชื้อเพลิง
หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า “ข้ารู้”
หลี่ฟู่เฉินเตรียมพร้อมทางจิตใจแล้ว ตอนนี้เขาทำได้แค่หวังว่านอกเหนือจากนิกายสวรรค์ปีศาจแล้ว เขาจะไม่ตกเป็นเป้าหมายของนิกายอื่นอีก เนื่องจากนิกายในปัจจุบันของเขาไม่ได้เป็นอันตรายต่อนิกายใดๆ จึงมีเหตุผลที่จะคิดว่าหลี่ฟู่เฉินจะไม่เป็นอันตรายต่อนิกายใดๆ ภายในเวลา 20 ปีนี้ด้วยเช่นกัน
และท้ายที่สุดแล้ว ถ้าใครบางคนที่จะเป็นอันตรายต่อนิกายพวกเขาได้ พวกนั้นก็คงต้องผ่านไปยังขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดให้ได้ก่อน
“พายุกำลังจะมา ข้าสงสัยว่าข้ามีเวลาเตรียมตัวอีกเท่าไหร่” หัวใจของหลี่ฟู่เฉินเต้นรุนแรงยิ่งขึ้น
“ไปกันเถอะ!”
เมื่อขึ้นไปบนหลังของนกยักษ์เคียวสยองได้แล้ว หลี่ฟู่เฉินก็สั่งให้มันกลับไปที่นิกายวารีครามอย่างรวดเร็ว
ติดตามได้ก่อนใครที่เพจ INdyNovel
(กลุ่มลับถึงตอนที่ 327 แล้วนะ)