Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 323
บทที่ 323
เต๋าปีศาจสร้างหายนะ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่ หลี่ฟู่เฉินกลับมาจากเขตแดนเทพยุทธ์เร้นลับ
ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ การฝึกฝนของหลี่ฟู่เฉินในที่สุดก็มีความคืบหน้า เขาอาจไม่ได้ทะลุไปถึงระดับที่ 9 ของขอบเขตปฐพี แต่เขาก็มาถึงระดับสูงสุดของระดับที่ 8 ขอบเขตปฐพีแล้ว
ก็ในเมื่อหลี่ฟู่เฉินได้กินยาเร่งระดับพลังฝึกฝนเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันจัดอันดับดาราไป เขาได้รับผลกระทบมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเร็วในการฝึกฝนของเขา ตามปกติแล้ว เขาจะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะมาถึงขั้นสูงสุดของระดับที่ 8 ขอบเขตตตปฐพี
โชคดีที่จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินได้พัฒนาเป็นจิตวิญญาณสีน้ำเงินแล้ว และเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงของเขาได้ทะลุไปถึงขั้นที่ 18 ซึ่งทำให้พลังฉีของเขามีความบริสุทธิ์มากขึ้นเป็นสองเท่า และสิ่งนี้ทำให้ผลข้างเคียงของยาเร่งพลังฝึกฝนเป็นกลาง ไม่งั้นแล้วหลี่ฟู่เฉินอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ หนึ่งหรือสองเดือนเพื่อเพิ่มพลังฝึกฝนของเขาให้ไปถึงขั้นสูงสุดของระดับที่ 8 ขอบเขตปฐพี
“ช้า ช้าเกินไป มันจะดีกว่านี้มาก หากข้ามีบางอย่างเช่นผลตัดปฐพีที่ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ” หลี่ฟู่เฉินยังคงไม่พอใจกับความก้าวหน้าในการฝึกฝนของเขา
เขาคิดว่าถ้าเขาเป็นโครงกระดูกระดับ 5 ดาวหรือ 6 ดาวเขาน่าจะไปถึงขอบเขตสวรรค์แล้ว
โครงกระดูกระดับหนึ่งก็แสดงถึงความเร็วในการฝึกฝนแค่ระดับหนึ่ง ความเร็วในการฝึกฝนที่เพิ่มขึ้นของหลี่ฟู่เฉิน ย่อมเป็นผลมาจากอันดับเทคนิคบ่มเพาะของเขา ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะการรับรู้อันทรงพลังที่เขามี หากเขามีโครงกระดูกระดับสูงกว่านี้ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็น่าจะเพิ่มขึ้นมากอีกหลายเท่า
ในพริบตาอีกสองสัปดาห์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แก่นแท้ดาบทองแดงของหลี่ฟู่เฉินสำเร็จไปแล้ว 50% ซึ่งหมายความว่าแก่นแท้ดาบเหล็กดำของเขาจะเหลือแค่ 50%
สิ่งนี้ทำให้พลังฉีของดาบเหล็กดำลดลงไปอย่างมาก ขณะที่พลังฉีดาบทองแดงได้รับการส่งเสริมอย่างมากเช่นกัน
หลังจากทั้งหมดแล้ว ก็มีเพียงเฉพาะแก่นแท้ดาบเหล็กดำที่สมบรูณ์เท่านั้นถึงสามารถถ่ายทอดพลังฉีดาบเหล็กดำที่สมบรูณ์ออกมาได้
ย้อนกลับไปที่การแข่งขันจัดอันดับดารา หลี่ฟู่เฉินอาจจะเอาชนะสือตูเหล่ย แม้ว่าเขาจะไม่มีแก่นแท้ดาบทองแดง แต่มีแก่นแท้ดาบเหล็กดำที่สมบรูณ์แทน
***
แคว้นวารีคราม เมืองภูผาเหล็ก…
ในวันนี้ผู้คนชุดดำจำนวนมากเดินทางมาถึงเมืองภูผาเหล็ก คนในชุดดำเหล่านี้กำลังปลดปล่อยพลังฉีปีศาจออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้ฝักใฝ่ในเต๋าปีศาจ
ประชากรหลายแสนคนในเมืองภูผาเหล็ก รวมทั้งเจ้าเมือง ทั้งหมดถูกรวบรวมไว้ในพื้นที่กว้างขวางนอกเมือง มีค่ายกลขนาดยักษ์ถูกตั้งไว้อยู่บนพื้นที่กว้างขวาง ซึ่งดูซับซ้อนและน่ากลัวอย่างยิ่ง เจ้าเมืองภูผาเหล็ก ผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพีมีสีหน้าซีดเซียวและดูน่าสังเวชยิ่ง เขารู้ดีว่าเมื่อเขาได้มาอยู่ในมือของผู้ฝึกฝนเต๋าปีศาจแล้วคงจะไม่ได้มีจุดจบที่ดีนัก ดูจากรูปการณ์แล้ว ฝ่ายตรงข้ามของเขาน่าจะมีแผนการที่ยิ่งใหญ่
“ผู้ดูแลโถง ค่ายกลพร้อมใช้งานแล้ว” ชายชุดดำเดินไปหาชายชุดดำอีกที่สวมหน้ากากสุนัขก่อนจะกระซิบ
ชายสวมหน้ากากสุนัขโบกมือ “เปิดใช้งานค่ายกล”
ปฏิบัติตามคำสั่งของเขา คนในชุดคลุมสีดำหลายร้อยคนที่ยืนอยู่ริมขอบของค่ายกลต่างก็เหวี่ยงมือของพวกเขาพร้อมๆ กัน พวกเขาตัดหันนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดหลายร้อยคนออกไปในทันที ในชั่วพริบตา เลือดสดหลายร้อยสายก็พุ่งออกมา
เลือดสดที่กระเซ็นออกมามันไม่ได้ล่วงหล่นไปที่พื้นดินแต่อย่างใด แต่กลับถูกดูดซึมเข้าไปในค่ายกล ทันใดนั้นเองค่ายกลที่ก่อนหน้านี้สงบเงียบดีพลันปลดปล่อยความผันผวนออกมา ก่อนที่ค่ายกลจะเต็มไปด้วยเส้นสายของเลือดสีแดงสด
“อย่าฆ่าข้าเลย!”
“ใครก็ได้ ได้โปรด ข้ายังอยากมีชีวิต!”
“เจ้าผู้ฝึกเต๋าปีศาจ สักวันหนึ่งพวกเจ้าทุกคนจะถูกกำจัดจนสิ้นซาก!”
ผู้คนหลายแสนคนในค่ายกลล้วนแล้วแต่ร้องขอความเมตตาหรือไม่ก็สบถคำสาปแช่ง มันเป็นภาพที่ดูน่าอดสู่อย่างยิ่ง
หลังจากได้ยินเสียงของคนเหล่านี้ คนในชุดดำทุกคนก็หัวเราะเยาะออกมา พร้อมกับการแสดงออกที่มุ่งร้ายบนใบหน้าของพวกเขา
ชาวเมืองภูผาเหล็กที่อยู่ในแถวนั้นได้มองเห็นทุกคนเริ่มล้มตายลง เมื่อเลือดจำนวนมากถูกดึงออกมาและเข้าไปในค่ายกล ค่ายกลนี้ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น และความผันผวนที่ปรากฏออกมาก็ให้ความรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำให้ลมและเมฆปั่นป่วนได้ ดินแดนที่กว้างขวางแห่งนี้ให้ความรู้สึกราวกับว่ามันกลายเป็นนรกที่ผุดขึ้นมายังโลกมนุษย์
“บ้าเอ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้!”
ในขณะนี้เอง มีคนห้าคนลอยอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่หัวหน้ากลุ่มตวัดดาบยาวของเขา ดาบพลังฉีไร้ขอบเขตถูกเฉือนเข้าไปที่ค่ายกลเลือดสีแดงสด
“อาวุโสลาดตระเวน?” ร่างของชายสวมหน้ากากสุนัขไหววูบและไปปรากฏตัวต่อหน้าดาบพลังฉี มือขวาของเขาสร้างกรงเล็บและจับดาบพลังฉีนั้นไว้
แคร๊ก!
ดาบพลังฉีแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ภายในค่ายกลโลหิตสีแดง
“นั่นคืออาวุโสลาดตระเวน ในที่สุดพวกเราก็รอดแล้ว”
เจ้าเมืองภูผาเหล็กถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เขาอยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตปฐพี ซึ่งทำให้เขาสามารถต้านทานมันได้มันได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ว่านั้นพลังชีวิตที่พวกเขามีก็เริ่มได้รับความเสียหายไปบางส่วนแล้ว คนอีกจำนวนนึงที่ไม่สามารถต้านทานได้ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัญหรือไม่ก็ถึงแก่กรรมไปทั้งๆ แบบนั้น
“เป็นความสามารถที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้”
อาวุโสลาดตระเวนที่มาถึงก็คือ ซูหวังสง ผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่ 8 ของขอบเขตสวรรค์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขายังไม่เคยพบกับผู้ฝึกฝนเต๋าปีศาจที่สามารถหยุดดาบเขาได้ในครั้งเดียวมาก่อน
“ทางที่ดีเจ้าควรหยุดค่ายกลนี้เสียจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วนิกายวารีครามของข้าจะทำให้เจ้าต้องตายอย่างไร้ที่กลบฝังใดๆ” ซูหวังสงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
ชายสวมหน้ากากสุนัขกล่าวอย่างเหยียดหยาม “เจ้าห่วงตัวเองเสียจะดีกว่า!”
“งั้นก็ตายอยู่ที่นี่เถอะ! พวกเจ้าทั้งสี่คนรีบไปทำลายค่ายกล”
ซูหวังสงโกรธยิ่ง เขาสั่งให้นักสู้ขอบเขตสวรรค์ระดับกลางสี่คนไปทำลายค่ายกล ในขณะที่เขาจะจัดการกับชายสวมหน้ากากสุนัขแบบตัวต่อตัว
“เข้าใจแล้ว!” บุคคลทั้งสี่ทั้งหมดเปลี่ยนทิศทางไปยังค่ายกลโลหิตแดง
“หยุดพวกมันไว้!”
ด้วยการโบกฝ่ามือของชายสวมหน้ากากสุนัข ชายในชุดดำทั้งแปดคนที่มีพลังฉีดุร้ายก็รีบออกจากกลุ่มเพื่อไปหยุดยั้งทั้งสี่คนนั้น
ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง ปั๊ง…
การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าระหว่างนักสู้ขอบเขตสวรรค์นั้นน่ากลัวมาก ดาบพลังฉีลอยออกมาและพุ่งเข้าใส่กำแพงเมืองของเมืองภูผาเหล็ก จากสิ่งนี้มันจึงทำให้เศษหินบินวอนไปทั่วก่อนที่จะฝั่งรอยยาวลึกไปตามแนวกำแพง ขณะที่เงาของกรงเล็บสีดำบินออกไปที่ประตูเมืองภูผาเหล็กมันก็ทำให้ประตูที่ว่านั้นระเบิดและพังทลายลงในทันที
“ทักษะดาบวารีคราม พันภูผามหาศาลวารี!”
ทักษะดาบที่ซูหวังสงฝึกฝนเป็นหนึ่งในสองกระบวนท่าดาบที่ดีที่สุดในนิกายวารีคราม ทักษะดาบวารีคราม
เมื่อทักษะดาบวารีครามถูกใช้ออก ชั้นของแสงดาบก็ได้พุ่งลงไปกระแทกชายสวมหน้ากากสุนัขราวกับภูเขาหลายพันลูกคลื่นน้ำหลากหลายชั้นได้ถล่มลงมา
“กรงเล็บแยกวิญญาณ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับทักษะดาบวารีครามของซูหวังสง ชายที่สวมหน้ากากสุนัขก็ใช้ตวัดกรงเล็บของเขาออกไป แสงจากกรงเล็บที่แหลมคมเป็นเหมือนกรงเล็บของปีศาจ ซึ่งดูเหมือนพายุหมุนสีดำที่กำลังฉีกอากาศออกจากกันอย่างรุนแรง
มีการระเบิดของพลังฉีที่รุนแรง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ซูหวังสงและชายสวมหน้ากากสุนัขต้องถอยออกไปทั้งคู่
“แรงดันโลหิตเทพ!”
ในขณะนี้เอง ชายที่สวมหน้ากากสุนัขก็นำไข่มุกสีแดงเลือดออกไว้ที่มือข้างซ้ายของเขา มันมีเลือดสีแดงพุ่งทะลักเข้ามาในร่างกายผ่านไข่มุกนั้น ในช่วงเวลาต่อมา ชายสวมหน้ากากสุนัขก็ชี้ไปที่ซูหวังสงด้วยนิ้วของเขา
ปิสส!
เงาสีแดงที่มีโลหิตควบตัวอยู่อย่างหนาแน่นพุ่งเข้าไปที่ไหล่ของซูหวังสง ซึ่งมันก็ได้ทำให้ส่วนนั้นของเขาดูเหี่ยวลงไปเล็กน้อยทันที
“อะไรกัน?!” ซูหวังสงตกใจ
ความสามารถของศัตรูอยู่ในระดับเดียวกับเขา แต่ด้วยไข่มุกสีแดงเลือดการฝึกฝนของเขาดูเหมือนจะทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดของขอบเขตจักรสวรรค์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปซูหวังสงจะสู้กับศัตรูผู้นี้ได้อย่างไร?
“บ้าเอ้ย”
ซูหวังสงมองไปที่ค่ายกลโลหิตแดง ตอนนี้นอกเหนือจากเจ้าเมืองภูผาเหล็กและคนอื่นๆ อีกไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆ ก็กลายเป็นซากศพที่แห้งเหี่ยว พวกเขาตายไปแล้วอย่างแท้จริง และการทำลายค่ายกลต่อก็ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว
“ถอยก่อน!”
ซูหวังสงระงับความคับแค้นใจและตะโกนออกมา
เมื่อได้ยินคำสั่งของเขา นักสู้ขอบเขตสวรรค์ของนิกายวารีครามทั้งสี่คนที่อยู่ในสภาพที่น่าสมเพชก็ถอยกลับไปทีละคนทันที พวกเขาเองก็เข้าใจได้เช่นกันว่าถ้าพวกเขายังคงสู้รบต่อไปพวกเขาทั้งหมดจะต้องพบเจอกับจุดจบที่น่าสังเวช ไม่มีใครทราบว่าผู้ฝึกฝนเต๋าปีศาจเหล่านี้มาจากไหน แต่พวกมันก็เก่งกาจจนเกินไป
“ใครอนุญาตให้พวกเจ้ากลับ แรงดันโลหิตเทพ!”
ชายสวมหน้ากากสุนัขสะบัดนิ้วของเขาสองครั้ง และสังหารคนสองคนจากนิกายวารีครามทันที มีเพียงซูหวังสงและนักสู้ขอบเขตสวรรค์อีกสองคนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้ในท้ายที่สุด
ชายสวมหน้ากากสุนัขไม่ได้ไล่ตามพวกเขาไป เพราะมันเป็นภาระหนักอย่างมากสำหรับเขาในการที่ต้องใช้พลังจากไข่มุกสีแดงเลือด นอกจากนี้ สิ่งนี้มันยังทำให้จิตใจของเขาไม่มั่นคง
“เราทำสำเร็จแล้ว”
ในค่ายกลโลหิตแดงร่างของ ร่างของเจ้าเมืองภูผาเหล็กเหี่ยวแห้งอย่างรวดเร็ว และไม่มีสภาวะพลัลงฉีใดๆ อีกต่อไป
ในขณะนี้เอง ค่ายกลโลหิตแดงเริ่มหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุดจนกระทั่งไม่สามารถมองเห็นลวดลายสีแดงได้อีกต่อไป แต่ทว่าในไม่ช้าความผันผวนสีแดงเลือดที่ขยายตัวออกก็เริ่มหดตัวลง และก่อเกิดไข่มุกสีแดงเลือดสี่เม็ดรวมกันอยู่ตรงกลางของค่ายกล
ไข่มุกสีแดงเลือดนั้นเหมือนกับไข่มุกสีแดงเลือดในมือของชายสวมหน้ากากสุนัข
ในขณะเดียวกัน ในหลายเมืองหรือหลายร้อยเมืองในแคว้นวารีครามล้วนประสบชะตากรรมที่น่าสังเวชเช่นเดียวกัน สภาวะพลังแห่งความตายที่เข้มข้นได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดน
***
ณ นิกายวารีคราม… ห้องโถงวารีคราม
หลังจากได้ยินรายงานของ ซูหวังสง โอหยางเหวินเทียนก็มีสีหน้าที่ดูแย่มาก
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ดูเหมือนกองกำลังเต๋าปีศาจไม่ได้ตั้งใจที่จะหลบซ่อนตัวอยู่ในความมืดอีกต่อไปแล้ว
“ไปเชิญผู้อาวุโสสูงสุดและผู้พิทักษ์มา”
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และโอหยางเหวินเทียนเองก็ไม่กล้านิ่งนอนใจ
ในเวลาไม่นาน ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่และผู้พิทักษ์ทั้งสองก็มารวมตัวกันที่ห้องโถงวารีคราม
นิกายวารีครามมีนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดทั้งหมดเจ็ดคน พวกเขาคือ เจ้านิกาย โอหยางเหวินเทียน ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ และผู้พิทักษ์ทั้งสอง พวกเขาเป็นเสาหลักของนิกายวารีครามและเป็นฐานรากของนิกายวารีครามที่ทำให้พวกเขาสามารถยืนหยัดอยู่ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกได้
หลังจากอธิบายสถานการณ์ให้บุคคลทั้งหกฟังแล้ว โอหยางเหวินเทียนกล่าว “เศษซากของพวกเต๋าปีศาจได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งแล้ว ข้าเกรงว่าพวกมันไม่น่าจะสร้างหายนะแค่ในแคว้นวารีครามเท่านั้น ผู้พิทักษ์ฝั่งซ้าย เจ้าจงมุ่งหน้าไปยังแคว้นสวรรค์ปีศาจ ผู้พิทักษ์ฝั่งขวา เจ้าจงมุ่งหน้าไปยังแคว้นโหมกระบี่ และตรวจสอบดูว่า กองกำลังเต๋าปีศาจกำลังสร้างความหายนะอยู่ที่นั่นหรือไม่”
“ทราบแล้ว เจ้านิกาย” ผู้พิทักษ์ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาพยักหน้า
“ท่านผู้อาวุโสสูงสุด ตอนนี้ข้าทำให้พวกท่านทั้งสี่ต้องเดือดร้อนแล้ว นิกายวารีครามตกอยู่ในความสับสนอลหม่าน และถ้าเราไม่ใช้วิธีที่เด็ดขาดในการปราบปราม มันก็ไม่แน่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือไม่”
ในฐานะผู้ปกครองนิกาย โอหยางเหวินเทียนต้องดูแลนิกายวารีครามทั้งหมดและต้องไม่เข้าไปเสี่ยงโดยประมาท เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมอบหมายเรื่องเหล่านี้ให้กับผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ดูแล
โอหยางเถี่ยกล่าว “ชายชราผู้นี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานแล้ว ร่างกายของข้าเหมือนจะเกิดสนิมอย่างไรอย่างนั้น ตราบใดที่กองกำลังเต๋าปีศาจอยู่ที่นี่ เราจะปล่อยให้พวกมันจากไปโดยไม่มีการนองเลือดได้อย่างไร”
“ถูกแล้ว หลังจากที่ข้ากลายเป็นนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิด ข้า เฒ่าเหลียงก็ไม่ได้สังหารผู้ใดมานานหลายปีแล้ว” ผู้อาวุโสสูงสุดที่มีชื่อว่าเหลียงปลดปล่อยพลังฉีสังหารออกมา
คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ในขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดที่เป็นผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน พวกเขาจะไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนได้อย่างไร?
โอหยางเหวินเทียนพยักหน้ารับคำของผู้อาวุโสชั้นใน “ส่งคำสั่งลงไป ขอให้ผู้อาวุโสนิกายชั้นในทั้งหมดมาพบข้า”
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพึ่งพาเพียงแต่นักสู้ในขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดเพื่อควบคุมพื้นที่ของนิกายวารีครามทั้งหมด นิกายวารีครามนั้นกว้างใหญ่เกินไป และกำลังคนก็มีไม่เพียงพอ เมื่อกองกำลังเต๋าปีศาจมาถึงมันก็คงจะซ่อนตัวอและรอเวลาที่นักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดจากไป
ในทันใดนั้นบรรยากาศของนิกายวารีครามก็ดูอึมครึมขึ้นมาทันตาเห็น แม้แต่กระทั้งเหล่าศิษย์เองรู้สึกถึงความกดดันนี้
“เกิดอะไรขึ้น?”
หลี่ฟู่เฉินที่มีการรับรู้เหนือกว่าคนทั่วไปก็รับรู้ได้ในทันที ดูเหมือนว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในแคว้นวารีคราม
ในขณะที่นิกายวารีครามกำลังเกิดความปั่นป่วน ภูมิภาคอื่นๆ ในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกก็ไม่สงบเช่นกัน กองกำลังเต๋าปีศาจปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งมันก็ได้ทำให้ทุกคนต่างโกรธและเกิดความเคียดแค้น
แต่กองกำลังเต๋าปีศาจเหล่านี้ดูเหมือนจะมีความเข้าใจร่วมกันเนื่องจากพวกมันไม่ได้ไปเปิดศึกสงครามกับกองกำลังชั้นยอดสิบอันดับแรกของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก
แต่มันค่อนข้างสมเหตุสมผล เนื่องจากกองกำลังสิบอันดับแรกมีนักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดอยู่จำนวนมาก และพวกเขาก็มีนักต่อสู้ในขอบเขตสวรรค์มากกว่านั้นหลายเท่าเช่นกัน ซึ่งจากสิ่งนี้มันอาจจะต้องเกิดความเสียหายอย่างมาก หากพวกเขาต้องสร้างความหายนะในดินแดนของกองกำลังเหล่านั้น นับประสาอะไรกับการที่ขณะนี้ยังอยู่แค่ในช่วงเริ่มต้น กองกำลังเต๋าปีศาจเลือกที่จะเคลื่อนพลโดยไม่ประมาท
ติดตามได้ก่อนใครที่เพจ INdyNovel