Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน - ตอนที่ 332
บทที่ 332
มรดกเส้นทางดวงดาว
โดยธรรมชาติแล้วดาบนี้ย่อมเป็นกระบวนท่าของทักษะดาบนภากระจ่าง
เทียบกับดาบก่อนๆ ดาบนี้ทรงพลังและน่ากลัวอย่างน่าเหลือเชื่อ
เพียงดาบเดียวแต่ถึงกับระเบิดพลังออกมาถึงสองประเภท หนึ่งคือสนามพลังของพลังฉีศักดิ์สิทธิ์ฉีบริสุทธิ์เก้าโคจรและอีกอันนึงเป็นของทักษะดาบนภากระจ่าง
ภายใต้การสะกดข่มของสองสนามพลังนี้ ชายสวมหน้ากากสุนัขและชายชุดดำขอบเขตสวรรค์และอีกหลายคนต่างรู้สึกหายใจลำบาก ขณะการเคลื่อนไหวของพวกเขาเองก็ดูทื่อลง ความแข็งแกร่งของพวกเขาถูกยับยั้งไปน้อยๆ ก็ 50%
ในขณะเดียวกัน แสงดาบนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน รวมตัวเป็นแสงทรงกลมอันยิ่งใหญ่ที่เข้าไปโอบล้อมทุกคน
บูม!
เมื่อแสงทรงกลมระเบิดออก ชายสวมหน้ากากสนุขที่ถูกขังไว้ภายในและชายชุดดำเองก็ถูกแรงระเบิดออกจนกระจายออกเป็นชิ้นๆ
หลี่ฟู่เฉินยื่นมือออกไปเพื่อดูดของเข้ามา มือของเขาดึงถุงเก็บออกมาได้เพียงใบเดียวเท่านั้น
ถุงเก็บนี้เป็นของชายสวมหน้ากากสุนัข และถ้าหลี่ฟู่เฉินเดาไม่ผิดล่ะก็ มันเป็นกระเป๋าเก็บของระดับกลาง วัสดุไม่เพียงแต่มีความทนทาน แต่มันยังมีค่ายกลขนาดเล็กที่เอาไว้ป้องกันไม่ให้ถุงเก็บของถูกทำลายอยู่ด้วย
ส่วนถุงเก็บอื่น ๆ กลายเป็นฝุ่นไปแล้ว
หลี่ฟู่เฉินเก็บกระเป๋าเก็บลงไปทันทีโดยไม่ได้มองเข้าไปข้างใน จากนั้นเขาก็คิดกับตัวเองว่า ‘ไม่น่าแปลกใจที่ผู้เชี่ยวชาญเทพยุทธ์เร้นลับจะสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับร้อยนิกายในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกและสิบภูมิภาคปีศาจได้ แม้ว่าพลังบ่มเพาะของพวกเขาจะถูกจำกัดเอาไว้หลังจากที่ออกมาจากเขตแดนมา แต่เพียงแค่ใช้เทคนิคบ่มเพาะระดับปฐพีและทักษะต่อสู้ระดับปฐพีก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะครองทวีปยูนิคอร์นตะวันออกทั้งหมด เข้าบดขยี้นักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดระดับสูงสุดให้เป็นผุยผง’
เมื่อชายชุดดำกว่า 1,000 คนที่เหลือเห็นว่าหลี่ฟู่เฉินได้สังหารสมาชิกระดับสูงทั้งหมดด้วยดาบเดียว พวกเขาทุกคนกลายเป็นหวาดกลัวจนตัวแข็ง หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มวิ่งหนีไปทุกทิศทางในทันที
“ฆ่า!”
เมื่อต้องมาจัดการกับลูกสมุนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้ หลี่ฟู่เฉินจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังฉีศักดิ์สิทธิ์ฉีบริสุทธิ์เก้าโคจรหรือรูปแบบการต่อสู้ทักษะดาบนภากระจ่างใดๆ เขาไม่จำเป็นต้องใช้แก่นแท้ดาบทองแดงด้วยซ้ำ ก็ในเมื่อเขาสามารถใช้ความแข็งแกร่งตั้งต้นของเขาเข้าไล่สังหารได้เลย ในช่วงเวลาสั้นๆ ชายชุดดำอย่างน้อย 100 ถึง 200 คนถูกสังหาร
น่าเสียดายที่มีชายชุดดำจำนวนมากเกินไป ขณะที่ตอนนี้เองพวกเขาก็กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบของเมืองหยกเขียว ทำให้ไม่สามารถฆ่าพวกเขาทั้งหมดได้ ชายชุดดำที่เหลือทั้งหมดหนีไปได้ทีละคนๆ
หลังจากเสร็จสิ้นการสังหาร หลี่ฟู่เฉินก็ออกจากเมืองหยกเขียวอย่างรวดเร็ว
ภายในเมืองหยกเขียว เจ้าเมืองเริ่มตื่นตระหนก แต่เพียงไม่นาน เมื่อเขารู้ว่าชายชุดดำทั้งหมดกำลังหลบหนี ขณะนั้นเองเขาก็โล่งใจ
‘ศิลาวิญญาณระดับต่ำ 78 ก้อน น้อยกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับชายสวมหน้ากากแมว’
ระหว่างทาง หลี่ฟู่เฉินเปิดที่เก็บของชายสวมหน้ากากสุนัขและพบศิลาวิญญาณระดับต่ำจำนวน 78 ชิ้น
นอกเหนือจากนั้น ยังมีไข่มุกสีแดงเลือดอยู่ด้วยเช่นกัน จากไข่มุกเหล่านั้น หลี่ฟู่เฉินรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองและพลังเต๋าโลหิต
‘บัดซบ พวกผู้ฝึกตนเต๋าปีศาจ’
เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าไข่มุกสีเลือดเหล่านี้? มันถูกกลั่นโดยใช้แก่นแท้โลหิตจากมนุษย์นับไม่ถ้วน มันมีโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่อยู่ภายในไข่มุกสีแดงนี่
‘ข้าควรมอบมันให้กับคนระดับสูงๆ ของนิกายเพื่อจัดการมัน!’
หลี่ฟู่เฉินไม่รู้วิธีจัดการกับไข่มุกสีเลือดเหล่านี้ หากเขาทำลายมันโดยตรง พลังแห่งเต๋าโลหิตอาจจะกระจายออกมาพร้อมกับความคุ้มคลั่ง พลังแห่งเต๋าโลหิตนี้อาจก่อให้เกิดความชั่วร้ายบางอย่าง ซึ่งอาจทำให้เกิดการทำลายล้างมากยิ่งขึ้น
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ฟู่เฉินก็เก็บไข่มุกสีเลือดทั้งหมดไว้ในกระเป๋าที่ถูกแยกเอาไว้
หนึ่งเดือนถัดมา หลี่ฟู่เฉินออกลาดตระเวนพื้นที่รองที่เจ็ดเป็นบ่อยครั้ง และบางครั้งก็จะลาดตระเวนพื้นที่รองที่หกหรือแปดอีกด้วยเช่นกัน
อย่างช้าๆ มันค่อยๆ มีข่าวลือเกี่ยวกับชายสวมหน้ากากที่เริ่มแพร่กระจายไปในพื้นที่เล็กๆ สามแห่งนี้
จากข่าวลือนี้ นิกายวารีครามรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าชายสวมหน้ากากคนนั้นคือใคร แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าชายสวมหน้ากากมีความเกลียดชังอย่างมากกับกองกำลังเต๋าปีศาจ ซึ่งก็นับเป็นสิ่งที่นิกายวารีครามเองก็รู้สึกเช่นกัน
‘ไม่มีสัตว์วิญญาณในการเดินทาง มันเป็นเรื่องที่เหนื่อยอย่างยิ่ง’
หลี่ฟู่เฉินไม่ใช่นักสู้ขอบเขตสวรรค์ และถึงแม้ว่าเขาจะเป็น เขาก็จะยังคงรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าหากต้องเดินทางโดยไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลาหลายวัน สำหรับจุดนี้ สัตว์วิญญาณที่บินได้นั้นเหนือกว่ามนุษย์มาก สัตว์วิญญาณบินระดับ 4 สามารถบินได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีร่องรอยของความเหนื่อยล้า ในความเป็นจริง พวกมันใช้กระแสอากาศเพื่อช่วยให้ลอยอยู่ได้ และมีช่วงเวลาหนึ่งที่สัตว์วิญญาณบินเหล่านี้คงอยู่ในสภาพร่อนบิน ซึ่งนี่เองไม่ต้องใช้จิตวิญญาณหรือความแข็งแกร่งจากพวกมันแม้แต่นิดเดียว
‘หืม? นี่มันหินดารา’
ในวันนี้ เมื่อผ่านเมืองมา หลี่ฟู่เฉินต่อต้านกองกำลังเต๋าปีศาจได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่เขากำจัดหัวหน้ากลุ่ม หลี่ฟู่เฉินพบหินดาราในกระเป๋าเก็บของผู้นำ
หินดวงดาวนั้นไร้ประโยชน์สำหรับสือตูเหล่ยที่ก้าวหน้าไปยังขอบเขตสวรรค์แล้ว แต่ก็ยังมีประโยชน์อย่างมากสำหรับหลี่ฟู่เฉินผู้ซึ่งอยู่ในขอบเขตระดับปฐพี
อย่างน้อยๆ เขาก็สามารถเข้าสู่เขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวได้อีกครั้ง
นอกจากนี้ ด้วยการสนับสนุนจากพลังของเส้นทางดวงดาว เขาอาจสามารถไปยังระดับสูงสุดของขอบเขตปฐพีได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั้นก็จะช่วยเขาในการขึ้นไปยังขอบเขตสวรรค์ด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้นแล้ว มีข่าวลือว่าถ้าใครผ่านเส้นทางดวงดาว พวกเขาจะได้รับมรดกที่ยิ่งใหญ่
มรดกคืออะไร? หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ แต่เขาก็ต้องพยายาม
หลังจากได้รับหินดารามาแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็กลับไปที่คฤหาสน์ชานเมืองหมอกเมฆาทันที
หลังจากบดหินดาราแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็เข้าสู่เขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาว
ด่านที่หนึ่ง ด่านที่สอง ด่านที่สาม…
หลี่ฟู่เฉินเป็นเหมือนขุมพลังหนึ่งที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้และเขาก็ใช้เวลาไม่มากก่อนที่จะผ่านด่านที่เจ็ด และมาถึงส่วนที่แปดของเส้นทางดวงดาว
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาอยู่บนส่วนที่แปดของเส้นทางดวงดาวเขาสามารถเดินได้เพียงแค่ร้อยก้าวเท่านั้น
ครั้งนี้ พลังฝึกฝนของเขาอยู่ระดับที่ 9 ขอบเขตปฐพี และเขาก็สมควรจะผ่านด่านที่แปดไปได้โดยไม่ยากมากนัก
เช่นเดียวกับที่หลี่ฟู่เฉินคาดไว้ เขาไม่พบกับความยากลำบากใดๆ ขณะผ่านด่านที่แปด
หลังจากที่เขาผ่านด่านที่แปด พลังงานเส้นทางดวงดาว 128 ส่วนก็ลงมาและเข้าสู่ร่างกายของเขา
แทนที่จะมุ่งตรงไปยังส่วนที่เก้าของเส้นทางดวงดาว หลี่ฟู่เฉินกลับนั่งขัดสมาธิอยู่บนเกาะ และเริ่มเพิ่มพลังฝึกฝนของเขา
ด้วยการสนับสนุนจากพลังงานเส้นทางดวงดาวพร้อมๆ กับหินวิญญาณระดับต่ำ พลังฝึกฝนของหลี่ฟู่เฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระดับที่ 9 ของขอบเขตปฐพีขั้นกลาง… ขั้นสูง
ในช่วงเวลาสั้นๆ พลังฝึกฝนของหลี่ฟู่เฉินก็มาถึงระยะหลังของระดับที่ 9 ขอบเขตปฐพี
ขณะนี้เอง พลังงานจากเส้นทางดวงดาวที่เขาได้รับมาก็หมดลงแล้ว
‘ต่อไปก็’
หลี่ฟู่เฉินก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปยังส่วนที่เก้าของเส้นทางดวงดาว
สนามพลังฉีในส่วนที่เก้าของเส้นทางดวงดาวนั้นน่ากลัวอย่างมาก โชคดีที่พลังฝึกฝนของหลี่ฟู่เฉินอยู่ในขั้นระยะหลังของระดับที่ 9 ขอบเขตปฐพีแล้ว และเขายังมีจิตวิญญาณที่ไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นแล้ว เพียงแค่สนามพลังฉีของเส้นทางดวงดาวเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะขับไล่หลี่ฟู่เฉินให้ออกจากเขตแดนเร้นลับเส้นทางดวงดาวได้ในทันที
อดทนต่อความเจ็บปวด หลี่ฟู่เฉินก้าวไกลขึ้นอีก
100 ก้าว 1000 ก้าว 10000 ก้าว
หลี่ฟู่เฉินกำลังเดินลึกเข้าไปในส่วนที่เก้าของเส้นทางดวงดาวอย่างช้าๆ
หลี่ฟู่เฉินไม่รู้มาตั้งแต่สมัยโบราณ นับประสาอะไรกับการผ่านด่านที่เก้า ไม่มีใครเคยก้าวเข้าสู่ส่วนที่เก้าของเส้นทางดวงดาวเลยเสียด้วยซ้ำ
หลี่ฟู่เฉินเป็นบุคคลแรกที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน เป็นบุคคลที่ได้ก้าวเข้าสู่ส่วนที่เก้าของเส้นทางดวงดาว
มีหลายสาเหตุที่ทำให้เขาบรรลุเป้าหมายนี้ได้
ประการแรก ขั้นเทคนิคบ่มเพาะของหลี่ฟู่เฉินนั้นสูงมาก ก็ในเมื่อเขาได้ฝึกฝนเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงไปจนถึงขั้นที่ 18 แล้ว
ประการที่สอง จิตวิญญาณของเขาได้พัฒนาเป็นจิตวิญญาณสีน้ำเงินแล้ว จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และอยู่ในอีกระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับความพยายามครั้งก่อนของเขาที่เส้นทางดวงดาว
หากเขามาทดสอบเส้นทางดวงดาวด้วยจิตวิญญาณระดับก่อนหน้านี้อีกครั้ง เขาก็คงไม่สามารถอดทนมันได้จนถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้แน่นอน
ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเท่าไร หลี่ฟู่เฉินเงยหน้าขึ้นและสามารถมองเห็นเกาะได้อยู่ในระยะไกล
มันเป็นเกาะสีทองและบนท้องฟ้าเหนือเกาะมีความผิดปกติลอยอยู่มากมาย บางครั้งมันจะดูเหมือนเป็นภูเขาขนาดใหญ่ บางครั้งมันดูเหมือนเป็นพายุลมที่พัดกระหน่ำไม่สิ้นสุด บางครั้งมันดูเหมือนเป็นดาบพลังฉีนับหมื่นเล่ม หรือดวงอาทิตย์อันโอ่อ่าที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า…
‘บางทีด่านที่เก้าอาจมีมรดกซ่อนอยู่จริงๆ?’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเอง
ความคิดดังกล่าวฉายอยู่ภายในใจของเขา ขณะที่เขายังคงก้าวต่อไปข้างหน้า สนามพลังฉีเส้นทางดวงดาวที่น่าสะพรึงกดดันร่างกายและจิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง หากสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากสองนี้พังทลายลง มันจะทำให้เกิดผลพวงและเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
หลี่ฟู่เฉินไม่รู้ว่าเขาเดินมานานแค่ไหนแล้ว แต่ระยะห่างระหว่างเขากับเกาะทองคำนั้นใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เมื่อหลี่ฟู่เฉินอยู่ใกล้มากพอ เขาก็สังเกตเห็นว่ามีแสงสีทองขนาดยักษ์อยู่ใจกลางเกาะ แสงทรงกลมสีทองเหมือนจะสิ่งต่างๆ ที่เดินไปมาอยู่ข้างใน ในขณะที่บางครั้งพวกเขาก็จะปล่อยพลังฉีที่น่ากลัวผ่านแสงทรงกลมสีทองออกมา ส่งผลทำให้เกิดความผิดปกติและเกิดภาพลวงตาเหนือเกาะ
หลังจากกัดฟัน ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินก็เริ่มเป็นประกายแวววาว ขณะที่เขาเพิ่มความเร็ว
จิตวิญญาณสีน้ำเงินได้มอบความมุ่งมั่นที่ไม่ธรรมดาให้กับเขา
และจิตวิญญาณเช่นนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเผชิญกับความท้าทาย หลี่ฟู่เฉินยังไม่ถึงขีดจำกัด
แรงกดดันของสนามพลังฉีเส้นทางดวงดาวเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เขาเข้าใจขีดจำกัดของตัวเอง
แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินเข้าใกล้เกาะทองคำมากขึ้นในที่สุดความเร็วของเขาก็ช้าลง
แน่นอน มันมีเพียงความเร็วที่ลดลง แต่เขาก็ยังคงอยู่ห่างไกลจากการถึงขีดจำกัดของจิตวิญญาณ อย่างน้อยก็ตอนนี้ หลี่ฟู่เฉินมั่นใจว่าเขาจะสามารถไปถึงเกาะทองคำและผ่านด่านที่เก้าได้
เมื่อเวลาผ่านไปหลี่ฟู่เฉินก็เข้าสู่ช่วงสุดท้าย ทันใดนั้นเองพลังฉีที่น่ากลังและไร้ขอบเขตก็หายไป
หลี่ฟู่เฉินอยู่บนเกาะทองคำเรียบร้อยแล้ว
ไม่มีการทดสอบใดๆ ในด่านที่เก้า ขณะที่หลี่ฟู่เฉินเองก็เดินตรงไปที่ด้านหน้าของแสงทรงกลมสีทอง
มีสิ่งของที่เคลื่อนที่อยู่ภายในแสงทรงกลมสีทอง เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นอาวุธ มีดาบที่ดูโบราณ มีค้อนที่ดำสนิท ง้าวโบราณที่ดูหนัก ถุงมือที่ปล่อยแสงเหมือนพระอาทิตย์ออกมา และยังมีชุดเกราะต่อสู้ที่เรียบง่ายและไม่มีการตกแต่งใดๆ วางไว้อยู่
‘อาวุธและชุดเกราะเหล่านี้ใช่มรดกหรือไม่?’ คิ้วของหลี่ฟู่เฉินขมวดมุ่น
มรดกมีหลายประเภท เช่นมรดกทางจิตวิญญาณ มรดกอาวุธ และอื่นๆ อีกมากมาย
มรดกทางวิญญาณคือการถ่ายทอดมรดกทั้งหมดลงไปในจิตสำนึกของเจ้าและให้เจ้าค่อยๆ ทำความเข้าใจ
มรดกอาวุธคือการถ่ายทอดมรดกลงในอาวุธ และเมื่อมีความเชี่ยวชาญด้านอาวุธเพียงพอ พวกเขาก็จะได้รับมรดก
หลังจากลองคิดดูแล้ว หลี่ฟู่เฉินพยายามยื่นมือเข้าไปใกล้กับแสงทรงกลมสีทอง
เมื่อมือของเขาวางลงบนแสงทรงกลมสีทอง แสงทรงกลมเปล่งประกายสว่างอย่างไร้สิ้นสุด ทันทีหลังจากนั้น ดาบต่อสู้ที่ดูโบราณพุ่งออกมาจากวงแสงสีทองและตกลงมาในมือของหลี่ฟู่เฉิน
บูม แคร็ก!
สายฟ้าที่ไร้บรรจบเกิดการระเบิดอยู่บนท้องฟ้าเหนือเส้นทางดวงดาว ขณะที่สายฟ้าทุกเส้นสายขยายออกไปเป็นล้านๆ ล้านไมล์
“ดาบร่วมสวรรค์!”
ทันทีที่หลี่ฟู่เฉินจับดาบสงครามโบราณเล่มนั้น เจตจำนงเข้าสู่จิตสำนึกของหลี่ฟู่เฉินทันที
ดูจากชื่อของมัน ดาบร่วมสวรรค์เล่มนี้เป็นดาบโบราณและทำมาจากวัตถุที่โดดเด่น มันต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน
แต่หลี่ฟู่เฉินก็ตระหนักได้ทันทีว่าดาบร่วมสวรรค์เล่มนี้เป็นดาบประดิษฐ์ระดับลึกลับขั้นสูงสุด ซึ่งเป็นระดับที่เหนือกว่าดาบแสงดำไปหนึ่งระดับ
“หืม มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดูเหมือนดาบเล่มนี้จะถูกผนึก”
ใช้การรับรู้ของเขากับพลังฉีเพื่อตรวจสอบดาบร่วมสวรรค์ หลี่ฟู่เฉินค้นพบเบาะแสบางอย่าง
ในส่วนลึกของดาบร่วมสวรรค์ มีโซ่ที่สลักตัวหนังสือรูนปิดผนึกรูปแบบดาบหลักของดาบร่วมสวรรค์ไว้อยู่ หากโซ่เส้นเดียวก็เป็นผนึกชั้นเดียว งั้นแล้วก็เห็นได้ชัดว่าดาบร่วมสวรรค์เล่มนี้ย่อมต้องมีผนึกหลายชั้นแน่นอน
แม้ว่าดาบเล่มนี้จะถูกผนึกไว้หลายชั้น แต่มันกลับเป็นดาบประดิษฐ์ระดับลึกลับขั้นสูงสุดแล้ว หากผนึกทั้งหมดถูกทำลาย มันคงจะไม่ธรรมดาแน่นอน
‘หากข้าต้องการรับมรดกจากดาบร่วมสวรรค์ ข้าจะต้องปลดผนึกทั้งหมดออกไป ไม่เช่นนั้นแล้ว การมีดาบประดิษฐ์นี้ก็ไม่นับว่ามีค่าใดๆ’ หลี่ฟู่เฉินคิดในใจ
ทันทีที่หลี่ฟู่เฉินได้รับดาบร่วมสวรรค์ มันก็มีพลังขับไล่ที่เคลื่อนย้ายหลี่ฟู่เฉินออกจากเขตแดนเส้นทางดวงดาว
ในคฤหาสน์นอกเมืองหมอกเมฆา หลี่ฟู่เฉินปรากฏตัวขึ้นจากอากาศ
‘ข้าสงสัยว่าความแข็งแกร่งของดาบประดิษฐ์ระดับลึกลับขั้นสูงสุดจะเป็นอย่างไร’
แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะยังไม่ได้ปลดผนึกบนดาบร่วมสวรรค์ มันก็ยังคงเป็นดาบระดับลึกลับขั้นสูงสุดซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่หาได้ยากอยู่ดี ในบรรดานักสู้ขอบเขตหวนคืนต้นกำเนิดทั้งเจ็ดของนิกายวารีคราม มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่คนและผู้นำนิกายโอหยางเหวินเทียนเท่านั้นที่มีดาบประดิษฐ์ระดับลึกลับขั้นสูงสุดไว้ในครอบครอง แม้แต่ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็ยังไม่มีแต่อย่างใด
ติดตามได้ก่อนใครที่เพจ INdyNovel