Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี - ตอนที่ 264
บทที่ 264 – ฉันจะไปที่ไหนก็ได้ (6)
ทิเทร่าได้กลับมาแล้ว จากสีหน้าของเธอที่ดูสดใสกว่าก่อนหน้านี้ทำให้ดูเหมือนว่าคำขอของยูอิลฮานได้ถูกอนุมัติโดยไม่ยากลำบากนัก
[ฉันกลับมาแล้ว แถมฉันยังได้คำตอบที่ดีในเรื่องอาร์ติแฟคแล้วด้วย เราจะให้คุณก่อนหนึ่งอัน ส่วนอีกอันจะให้คุณหลังจากที่ได้บทสรุปของสงครามแล้ว…]
“พวกเธอคงจะไม่กลับคำใช่ไหม?”
[ฉันขอสาบานด้วยชีวิตชั้นเลย]
“นี่มันเป็นเรื่องอาร์ติแฟคระดับเทพเจ้าเลยนะ ฉันไม่มีทางพอใจกับแค่ความตายของทูตสวรรค์ชั้นสูงคลาส 6 หรอกนะ”
[…]
ยูอิลฮานได้ยื่นมือไปทางทิเทร่าที่หมดคำพูด
“ฉันอยากจะได้อันที่ไว้ให้มิเรย์ใช้ก่อน”
[เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ]
ยูอิลฮานได้ย้ายคนที่จะไปกับเขาไปไว้ในป้อมปราการลอยฟ้า และคนที่จะอยู่บนโลกถูกย้ายไปที่ป้อมปราการผู้พิทักษ์ ในตอนนี้ไม่ใช่แค่กองทัพมังกรเท่านั้นที่ต้องอยู่ แต่ว่ายังมีคังฮาจินที่ต้องอยู่อีกด้วย
“ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการดูถูกนาย แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ”
“ฝากดูแลโลกด้วยนะ”
“พอพวกนายกลับมา ฉันจะไปถึงคลาส 4 ให้ได้แน่นอน”
“มั่นใจมากเลยนี่”
เมื่อยูอิลฮานได้กลับมาหลังจากปล่อยป้อมปราการผู้พิทักษ์ไว้บนโลกแล้ว ทิเทร่าก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อและพึมพัมออกมาเศร้าๆ
[เมื่อพลังของนายกับคังมิเรย์รวมกันนี่มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆ ฉัน… ก็ไม่ได้คิดว่านี่มันแย่หรอกนะ แต่ว่าก็มีหลายคนที่ไม่ชอบที่มีการเปลื่ยนแปลงครั้งใหญ่เพราะนาย]
“เธอรู้อะไรไหม? ตามปกติแล้วคนที่ไม่ชอบฉันก็มักจะพูดแบบเธอนี่แหละ ไปกันเถอะ”
ยูอิลฮานได้พูดคำพูดที่ทำให้ทิเทร่าต้องขมวดคิ้ว และตามเธอกลับไปบนป้อมปราการเพื่อรวมตัวกับคนอื่นๆ
พวกเขาจะไปกันด้วยประตูมิติที่คังมิเรย์สร้างขึ้นมา และหลังจากได้เห็นการสร้างประตูมิติขึ้นมาจากร่องรอยเส้นทางของทิเทร่าก็ทำให้ยูอิลฮานต้องตกตะลึง
“ประตูมิตินี่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากบันทึกที่มี แต่มันเป็นการใช้ร่องรอยของมานา”
“นายพูดถูก”
ถ้าหากว่าสกิลข้ามมิติของยูอิลฮานทำงานด้วยการดูดซับ วิเคราะห์และไล่ตามแหล่งที่มาของวัตถุกับไอเทมแล้ว ถ้างั้นประตูมิติของคังมิเรย์นั้นคล้ายกับการบังคับเปิดเส้นทางที่ถูกปิดไปอีกครั้งหนึ่ง หากพลังทั้งสองอย่างนี้ได้รวมเข้าด้วยกันก็จะไม่มีที่ไหนที่พวกเขาจะไปไม่ได้
“คงมีสิ่งมีชีวิตชั้นสูงน้อยมากสินะที่มีความสามารถแบบนี้?”
“ถ้ามีเยอะ ทิเทร่าก็คงจะไม่มาขอให้มิเรย์ช่วยอยู่แล้ว ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงการไปกลับโลกต่างๆมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แล้วก็นอกไปจากนี้การสร้างประตูมิติที่เคลื่อนย้ายมวลสารได้… จากที่ฉันรู้มา คังมิเรย์คือคนแรกที่ทำได้”
“อย่างน้อยที่สุดเธอก็คือคนแรกที่สร้างประตูมิติขึ้นมาจากร่องรอยของมานาแน่นอน เธอเป็นคนที่ได้รับพรจากเทพแห่งเวทมนต์ทั้งๆที่ฉันยังทำไม่ได้เลย”
ร่างของเอิลต้าได้สั่นเล็กๆเมื่ออธิบายออกมา ยูอิลฮานก็เข้าใจว่าตอนนี้เอิลต้ารู้สึกยังไงอยู่และไม่ไปยุ่งในเรื่องนี้ของเธอ
“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ”
“โอเค”
สถานที่ที่พวกเขามุ่งหน้าไปก็คือสำนักงานหลักของกองทัพสวรรค์ ‘สวรรค์’ นั่นเอง โลกนี้ได้กว้างใหญ่มากจากการที่ได้เผชิญกับมหาภัยพิบัตินับครั้งไม่ถ้วน
“ไม่ได้มานานแล้วสินะ…”
[เลียร่าถ้าเธออยากจะกลับมา พวกเราก็ยินดีเสมอนะ]
“ไม่ล่ะ ฉันชอบตัวฉันในตอนนี้มากกว่า”
เลียร่าได้มองไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่เมฆด้วยใบหน้าเศร้าหมอง แต่เมื่อเธอได้ยินคำพูดจากทิเทร่า เธอก็ส่ายหัวอกมา ทิเทร่าที่เหนเลียร่าคล้องแขนอยู่กับยูอิลฮานก็ยอมรามือออกมา
[ฉันดีใจนะที่เธอเจอเหตุผลที่ทำให้เธอมีความสุขน่ะ ฉันหมายถึงแบบนั้นจริงๆนะ]
“ฉันรู้ ขอบใจนะ”
ทิเทร่าได้นำทางพวกเขาไปคลังสมบัติของกองทัพสวรรค์ทันที ข้างหน้านั้นมีทูตสวรรค์เพศชายที่มีหกปีกยืนอยู่
[ท่านรีเซล]
[ฉันกำลังรอนายอยู่เลยมนุษย์]
เทวทูตที่มีชื่อว่ารีเซลได้มองมาที่ยูอิลฮานอย่างเย็นชาโดยไม่สนใจการทักทายจากทิเทร่าแม้แต่นิดเดียว
“ส่งอาร์ติแฟคมา”
[นายจะต้องชดใช้กับความโอหังของนายในสักวันหนึ่ง]
“ส่งอาร์ติแฟคมา”
[…นายเป็นมนุษย์ที่ใช้คำพูดไม่ได้ผลสินะ]
หากว่าหมอนี่พูดอะไรไร้สาระออกมาอีกยูอิลฮานก็จะกลับไปในทันทีโดยไม่สนใจถึงความปลอดภัยของสวรรค์หรืออะไรก็ตามแล้ว แต่แล้วรีเซลก็ได้หยุดการพูดลงหลังจากรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน เขาได้หลับตาลงและเปิดคลังสมบัติออกมา
มีแสงอยู่ห้าสีที่ได้ดึงดูดสายตาของทุกๆคน
“โอ้”
“มันจ้ามากเลย”
“นี่มันน่าทึ่ง”
“โอ้ยแสบตา!”
ระหว่างทุกๆคนหลับตาลง ดวงตาของยูอิลฮานได้เบิกกว้างออกมา นี่คือโลกที่หาเขาหลับตาเขาก็จะถูกแทงข้างหลังได้เลยนะ หากว่าเขายังอยู่ในฐานทัพหลักของกองทัพสวรรค์ เขาไม่มีวันที่จะลดการป้องกันลงเด็ดขาด
[คลังสมบัติกองทัพสวรรค์ใหญ่มาก ไอเทมทั้งหมดที่นี่หากมีชิ้นใดชิ้นหนึ่งถูกขโมยไปก็จะเป็นภัยคุกคามต่อเราได้ นอกไปจากนี้ของพวกนี้ก็จะไม่ถูกเอาออกมาใช้ง่ายๆอีกด้วย ช่วยจำเอาไว้ด้วยว่าหากไม่ใช่เทวทูตคลาส 7 ก็จะไม่มีวันมายืมของที่นี่ได้เลย]
“งั้นหรอ? แล้วไอเทมที่เหมาะกับจอมเวทย์อย่างคังมิเรย์อยู่ไหนกันล่ะ?”
ยูอิลฮานได้พูดออกมาโดยไม่สนใจการคุกคามจากรีเซลเลยแม้แต่นิดเดียว! หน้าของรีเซลได้ย่นขึ้นแต่ว่าเขาก็ยักเคาะคทาลงไปกับพื้นห้องทำให้มีแสงเปล่งออกมาจากภายในคลังสมบัติ ก่อนที่จะมีรัดเกล้าสีเงินปรากฏขึ้นมา
“นี่มันแย่กว่าของที่อิลฮานทำให้ฉันอีกนะ!”
“นี่เธอจะโม้ไปทั่วเลยรึไงกัน?”
นายูนาได้โต้กลับไป แต่ว่ารีเซลไม่ได้สั่นไหวเลยสักนิด เขาได้มอบรัดเกล้านี้ให้กับคังมิเรย์
[มงกุฏแห่งปัญญา มันจะช่วยเร่งระบบประสาททั้งหมดและทำให้สามารถใช้เวทย์ได้สองอย่างพร้อมๆกันโดยที่ไม่ต้องเสียมานาเพิ่มใดๆ และยังจะช่วยยกระดับพลังของมานาขึ้นไปอีกด้วย จนกระทั่งตอนนี้ไม่เคยมีใครเอามันออกไปจากคลังสมบัติเลยเพราะไม่มีใครที่เติมเต็มเงื่อนไขได้]
“เงื่อนไข… โอ้”
ใช่แล้ว เงื่อนไขการสวมใส่รัดเกล้านี้ก็คือได้รับพรจากเทพแห่งเวทมนต์! ยูอิลฮานได้แตะที่รัดเกล้าเบาๆก่อนที่คังมิเรย์จะได้รับมาใส่
“มีอะไรหรออิลฮาน”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่คิดว่าพวกนี้อาจจะเล่นตุกติก แต่ดูเหมือนว่ากองทัพสวรรค์จะไม่ได้ทำอะไรแปลกๆแหะ”
[นายคิดว่าเราเป็นคนยังไงกัน? ฉันมีปัญหากับความประทับใจที่นายมีต่อเราจริงๆ]
ใบหน้าของรีเซลได้ย่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามยูอิลฮานก็แค่หยักไหล่ออกมา ในตอนนี้เขาได้ยืนยันความปลอดภัยแล้วทำให้คังมิเรย์ได้ใส่รัดเกล้าลงไปอย่างไม่ลังเลใจ และในตอนนี้เองคริสตัลมานารอบๆตัวเธอก็เปล่งแสงหลากสีออกมา
“น่าทึ่งมาก ในตอนนี้ฉันสามารถจะใช้มานาได้แตกต่างกันมากขึ้น…”
“ออฟชั่นของมันได้ยกระดับมานาของเธอขึ้นเป็นออฟชั่นที่น่าทึ่งมากก็จริง แต่ว่า…”
“แน่นอน มันเป็นออฟชั่นที่น่าทึ่งมาก มันน่าทึ่งจริงๆเลย”
ยูอิลฮานกำลังจะบ่นในฟังก์ชั่นของมงกุฏแห่งปัญญาว่าในด้านของอาร์ติแฟคระดับพระเจ้าแล้วมันด้อยอยู่เล็กน้อย แต่ว่าจากที่ได้เห็นความพอใจของมิเรย์แล้วทำให้เขาเลือกไม่พูดอะไรออกมาอีก ในเวลาเดียวกันเลียร่าก็แหว่งแขนที่ใส่ขนนกแห่งความปรารถนาอย่าง… น่ารัก
[เธอดูจะมีความสุขนะเลียร่า]
“หืม? ใช่แล้ว ฉันมีความสุขจริงๆนั่นแหละ”
[โง่เง่า…]
รีเซลดูเหมือนว่าจะมีอะไรอยากพูดกับเลียร่าเช่นกัน แต่แล้วเขาก็ไม่ได้พูดออกมา กลับกันเขาเอาแต่มองไปที่ยูอิลฮานเท่านั้น ทิเทร่าได้ไอออกมาอย่างอึดอัดใจ
[นายพอใจหรือยัง?]
“พอใขแล้วล่ะ เราได้รับค่าจ้างล่วงหน้ามาแล้ว งั้นตอนนี้ก็บอกเรื่องที่จะขอให้คังมิเรย์ช่วยมาได้แล้ว มิเรย์เธอโอเคนะ”
“โอเค ฉันพร้อมแล้ว”
[ดีมาก ถ้างั้นเรามาเปลื่ยนสถานที่กันก่น]
เมื่อทิเทร่าได้พูดแบบนี้ออกมา ทั้งกลุ่มและป้อมปราการลอยฟ้าก็ได้ย้ายไปในที่ไหนซักแห่งภายในโลกใบนี้ทันที นี่คือการแสดงพลังที่ทำให้ยูอิลฮายได้รู้ว่าผู้ปกครองกองกำลังสามารถจะทำอะไรได้บ้างในโลกของตน
[นี่คือทางเข้าสนามรบ]
ยูอิลฮานได้ตัดสินใจซ่อนเรื่องความสามารถในการต้านทานการถูกเทเลพอตด้วยสกิลการปรับตัวนักท่องมิติเอาไว้ และเงยหน้าขึ้นมา
ในตอนนี้เองเขาถึงกับเผลออุทานออกมา
“…โอ้”
ป้อมปราการลอยฟ้าของเขาที่มีขนาดใหญ่มากได้ดูเป็นแค่เศษฝุ่นผงเล็กๆเมื่ออยู่ต่อหน้ากำแพงขนาดมโหฬาร นี่มันใหญ่เกินกว่าคำว่ากำแพงไปจนจะเรียกกำแพงนี้ว่าโลกก็ยังได้แล้ว
[กี้ฮ่าฮ่าฮ่า]
[ไม่ได้มานานเลยนะ… ข้ากลัยมาแล้วสวรรค์!]
ทูตสวรรค์กับศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังสู้กันอยู่โดยที่มีกำแพงอยู่ตรงกล้าม ในหมู่ของศัตรูมีทั้งมอนสเตอร์ รวมไปถึงเทวดาตกสวรรค์ที่มีปีกสีดำ และพวกที่ภายนอกดูเหมือนปกติมากๆเช่นกัน ยูอิลฮานที่เคยมีประสบการณ์สู้กับพวกนี้มาก่อนได้รู้ถึงตัวตนของคนพวกนี้ได้โดยไม่ยากเลย
“นี่มันบ้าอะไรเนี้ย? มีศึกรอบที่สองอยู่ที่นี่หรือไงกัน?”
[มันผิดหวังก็จริง… แต่ว่านี่ก็เหมาะสมกับสถานการณ์นี้นั่นแหละ]
ที่นี่ไม่ได้มีแค่กองทัพปีศาจวิบัติเท่านั้นที่มาโจมตีทำลายกำแพง แต่ยังมีกองทัพจรัสแสง และแม้แต่สวนอาทิตย์อัสดงก็ยังมาร่วมด้วย และเป็นธรรมดาที่จำนวนทูตสวรรค์จะด้อยกว่าอีกฝ่าย
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!?”
ทิเทร่าได้ตอบกลับเสียงร้องของเลียร่าด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง
[กองทัพปีศาจวิบัติได้วางแผนกำจัดเรา พวกมันได้ดึงกองกำลังอื่นๆมาที่โลกเอลโลคาทร้าและผลักดันให้เราต้องถอยไป…]
“ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย พวกนั้นพากองกำลังอื่นๆมาจัดการกองทัพสวรรค์งั้นหรอ? นี่มันยิ่งกว่าโง่แล้วนะ!”
[เพราะแบบนี้แหละทำให้กองทัพปีศาจวิบัติน่ากลัว เอิลต้า]
“นี่มันเป็นไปได้ยังไง…”
ก่อนหน้านี้ทุกๆกองกำลังต่างก็ไม่พอใจอย่างมากกับเหตุการณ์ในดาเรย์ และพวกเขาได้โยนความไม่พอใจนี้มาใส่กองทัพสวรรค์ที่มีความสูญเสียน้อยที่สุด กองทัพปีศาจวิบัติได้แต่จัดการนำกองกำลังอื่นๆมาที่สำนักงานหลักของตัวเองอย่างช้าๆ!
“นั่นหมายความว่าหัวหน้าของพวกนั้นกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่?”
[ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะเคลื่อนไหวด้วยตัวเองไม่ได้ ยังไงก็ตามถึงแบบนี้… นี่ก็เป็นการต่อสู้ที่น่ากลัวอยู่ดี]
“นี่มันฝันร้ายเลยล่ะ! โชคดีนะที่พวกเธอโน้มน้าวอิลฮานสำเร็จ…”
แม้ว่านี่จะฟังดูดี แต่จริงๆแล้วคำพูดนี้ไม่ต่างจากการที่เลียร่าได้ขีดเส้นแบ่งระหว่างเธอกับกองทัพสวรรค์แล้วเลย ทิเทร่ารู้ตัวแล้วว่ามันจะไม่มีวันที่เธอจะได้ยืนเคียงข้างกับเลียร่าอีก แต่ว่าเธอก็ยังพยายามที่สุดเพื่อที่จะไม่เผยมันออกมา
[ฉันอิจฉาความเชื่อมั่นของเธอจริงๆ]
“แต่ตอนนี้เราอยู่ฝั่งเดียวกันแล้ว อิลฮานจะทำอะไรซักอย่างเองนั่นแหละ!”
“น่าเสียดายนะที่คราวนี้มันไม่ใช่เวทีให้ฉันฉายแสง จริงไหมล่ะมิเรย์?”
“อะ โอ้ ใช่แล้ว!”
จากสงครามขนาดใหญ่จนไม่น่าเชื่อนี้ได้ทำให้คังมิเรย์ถึงกับเสียความเยือกเย็นไป แต่ว่าในที่สุดเธอก็ถูกยูอิลฮานเรียกสติกลับมาได้
“ตอนนี้ก็ช่วยบอกมาได้แล้วว่าจะให้ฉันทำอะไร”
[คังมิเรย์ สิ่งที่เราอยากจะให้เธอทำมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้น]
ทิเทร่าได้กัดปากของเธอก่อนจะพูดออกมา
[ช่วยตามรอยของสำนักงานหลักกองทัพจรัสแสงและเปิดประตูไปที่นั่นซะ ในตอนนั้นพวกมันจะยุบพันธมิตรทั้งหมดลงเอง]
“…ว่าไงนะ?”
คังมิเรย์ได้ถามขึ้นอีกครั้งเพื่อยืนยันถึงเรื่องนี้ ทิเทร่าก็ได้อธิบายออกมาให้กับเธอ
[กองทัพปีศาจวิบัติส่วนใหญ่ต่างก็เป็นสัตว์ร้ายที่คิดแต่การทำลายเท่านั้น หากว่าเธอเปิดประตูมิติเชื่อมไปสำนักงานหลักของกองทัพจรัสแสง ถ้างั้นมอนสเตอร์กว่าครึ่งที่กำลังพุ่งมาในกำแพงอย่างบ้าคลั่งจะวิ่งเข้าไปในประตูมิตินั่นแน่ แล้วก็กองทัพจรัสแสงก็จะต้องตื่นตกใจและไปป้องกันตัวเองแน่ แคนี้ก็เท่ากับบรรลุเป้าหมายของเราแล้ว]
“นี่มันหมายความว่า…”
[เรากำลังจะแบ่งกำลังศัตรูออกจากกัน และสร้างเรื่องให้พวกมันทะเลาะกันเอง!]
เมื่อได้ยินแบบนี้สิ่งที่ยูอิลฮานได้คิดขึ้นมาเลยก็คือ
นี่มันอาจจะยิ่งยุ่งเหยิงมากยิ่งกว่าที่ดาเรย์ซะอีก