Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี - ตอนที่ 331
บทที่ 331 – วันสิ้นโลก (7)
ทำไมถึงได้มีร่องรอยบันทึกพระเจ้าไว้ในโลกที่กองกำลังสิ่งมีชีวิตชั้นสูงปกครองอยู่กันล่ะ? ยูอิลฮานรู้ได้ว่าพวกสิ่งที่เรียกว่า ‘บันทึกพระเจ้า’ กลุ่มก้อนบันทึกนภาที่มีสติปัญญาแน่ แต่ว่าเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าบันทึกพระเจ้าพวกนี้จะอยู่ในโลกที่ถูกซ่อน
ไม่สิ บันทึกพระเจ้าอยู่ในโลกที่ถูกซ่อนจริงๆงั้นหรอ? บันทึกพวกนี้บอกว่ายูอิลฮานคือ ‘ผู้มอบอิสรภาพ’ และ ‘ผู้กอบกู้’ ถ้าอย่างงั้นล่ะก็…!
ยังไงก็ตามมันไม่มีเวลามาให้ยูอิลฮานได้คิดแล้ว ตอนนี้โลกเกือบๆเจ็ดพันแห่งกำลังหลอมรวมเข้ามาในดาเรย์พร้อมๆกันแล้ว มิสทิคเธอจะได้เจอกับความรู้สึกที่เหมือนตายทั้งเป็น
“นายท่าน ท่านทำบ้าอะไรอยู่กันนนนนนนน!”
“อ๊า ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะช่วยเอง! [มีฉันอยู่มีเธออยู่ แค่เข้าไปในกับดักแห่งการฟื้นคืนที่อยู่ใต้ดินเท่านั้น ฉันบอกว่าไม่เพิ่มขนาดแล้ว บีบอัดให้เท่ากับความหนาแน่นกับความหนาแน่นมานาในโลก เว้นไว้แค่เมืองของเราเท่านั้น]
ยูอิลฮานได้หยุดคิดในเรื่องอื่นๆทั้งหมดและหลอมรวมโลกอย่างหมดท่า การหลอมรวมโลกหลายพันแห่งพร้อมๆกันกับปรับแต่งมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 ไปพร้อมๆกันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ว่าเพราะจำนวนของโลกที่เขาได้จัดการลดลงไปอย่างมากเพราะวิถีแห่งจักรวาลทำให้เขาสามารถจะทำค่อนข้างสบายขึ้น มันค่อนข้างจะเป็นไปได้ทีเดียว
“ค่อนข้างจะเป็นไปได้!?”
“โอโรจิ”
“ได้ ได้ เข้าใจแล้ว”
โอโรจิได้ลูบด้านบนหมวกฟางของมิสทิค ตัวมิสทิคดูเหมือนกับจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา ตอนนี้เธออย่างจะเข้าไปอัดทั้งยูอิลฮานกับโอโรจิพร้อมๆกันให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ว่ามันน่าหงุดหงิดที่เธอทำแบบนั้นไม่ได้เนื่องจากว่าในระหว่างการหลอมรวมโลกเธอจะไม่อาจขยับตัวได้เลย!
“อิลฮาน ตอนนี้เมืองกลายไปเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำลองไปแล้ววว~”
“จริงๆอาณาเขตก็กำลังขยายเพิ่มขึ้นเหมือนกัน”
สถานที่หลักในการต่อสู้มาตลอดนั่นคือใจกลางของป้อมปราการผู้พิทักษ์ ป้อมปราการลอยฟ้าและเมือง
สถานที่แห่งนี้เป็ฯที่ที่ได้รับอิทธิพลจากบันทึกของยูอิลฮานมากที่สุด เพราะงั้นมันจึงไม่แปลกเลยที่เมืองจะวิวัฒนาการไปเพราะได้รับมานาและบันทึกใหม่ๆ ยิ่งกว่านั้นอิทธิพลของยูอิลฮานมาจากการสร้างอีกด้วย
ปัญหาเล็กๆก็คืออาณาเขตของมันกำลังขยายออกไปอย่างต่อเนื่องและแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ขยายออกไปจนแทบจะกลายเป็นอาณาจักรมากยิ่งกว่าเมืองแล้ว แต่ว่ายูอิลฮานก็ตัดสินใจที่จะไม่คิดอะไรมากกับเรื่องนี้…
“ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆเลยนะ…”
“พวกเราได้เพื่อนมังกรเพิ่มขึ้น เพราะงั้นมันดีแล้ว”
“โอ้วว พวกเราแค่ต่อสู้เองนะ แต่แลวโลกกลับกำลังเปลื่ยนแปลงไปอย่างมากพร้อมๆกัน”
เลียร่าได้ตกตะลึงที่ได้เห็นการวิวัฒนาการภายในดาเรย์ มีโลกหลายพันกำลังถูกดูดเข้ามาและมีมหาภัยพิบัติเกิดขึ้นถึงสองครั้งในเวลาไล่เลี่ยกัน… หากว่ามันไม่เกิดการเปลื่ยนแปลงขึ้นมันก็คงจะแปลกจริงๆนั่นแหละ!
“ชั้นบรรยากาศเปลื่ยนแปลงไปอีกแล้ว ฉันคิดว่าฉันเห็นสายรุ้งบนท้องฟ้าด้วยล่ะ”
“นั่นมันเพราะมานาหนาแน่นมากจนแทบจะกลายมาเป็นรูปธรรมไงล่ะ”
“ความรู้สึกจากผืนดินก็ต่างไปจากเดิม มันเหมือนกับว่า…”
“ก็เพราะอิทธิพลจากบันทึกของฉันทำให้มันเกิดวิวัฒนาการขึ้น ออร่าแห่งโลหะกับมังกรได้ถูกผสานเข้าไปในผืนดิน”
“…แค่หักกิ่งไม้มาก็ทำให้ฉันได้รับอาร์ติแฟคระดับหายากด้วยงั้นหรอ?”
“นั่น….”
ยูอิลฮานได้หันมองไปรอบๆตัวอย่างตั้งใจและตอบคำถามของทุกๆคนที่กำลังตกตะลึงอยู่กลับไป
“…ทุกๆโลกที่ผ่านมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 เป็นแบบนี้กันหมดเลยใชป่ะ?”
“นายน่าจะรู้ดีนะว่าคนอื่นไม่ได้เหมือนนายน่ะ?”
“โอเค ฉันผิดเอง”
ในความรู้ของเลียร่า โลกที่เธอรู้จักว่าได้ผ่านมหาภัยพิบัติมามากที่สุดก็คือสวรรค์ เธอได้ยินว่ามันได้กลายเป็นโลกที่เหมาะให้ทูตสวรรค์และพระเจ้าอาศัยอยู่หลังจากผ่านมหาภัยพิบัติไปถึงเก้าหลัง… แต่ว่าหากนำมาเทียบกับดาเรย์ในตอนนี้แล้ว สวรรค์ก็เป็นแค่โลกที่มีขนาดใหญ่นิดๆเท่านั้นเอง
“นี่มันยังใช้คำแทนว่า ‘โลก’ ได้อีกงั้นหรอ? ด้วยมานามากขนาดนี้หากมันเปลื่ยนไปเป็นอะไรอย่างหลุมดำฉันก็จะไม่แปลกใจเลย”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันกับนายท่านกำลังพยายามหยุดมันอยู่! ฉัน!กับ!นายท่าน! ทำงานอยู่!”
“ขอโทษนะ ฉันก็แค่จะบอกว่ามันน่าทึ่งมากเท่านั้นเอง!”
“ฮึ่ม!”
เลียร่าได้ขอโทษมิสทิคออกมาทันทีได้เห็นความฉุนเฉียวจากมิสทิค เลียร่าเธอไม่เคยมีประสบการณ์หรือสกิลในการจัดการดูแลและควบคุมโลก แต่ว่าเธอก็ได้เห็นถึงความพยายามของยูอิลฮานกับมิสทิคที่กำลังจัดการทำให้ดาเรย์เสถียรอยู่แบบนี้ว่ามันมีมากแค่ไหน
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปเธอก็จะได้เห็นหมู่เมฆที่สร้างขึ้นจากมานากำลังลอยตัวอยู่ กลุ่มเมฆพวกนี้ดูเหมือนกับเมฆธรรมดาๆ แต่ว่าริงๆแล้วนี่คือกับดักเวทมนต์ที่ได้เปลื่ยนรูปร่างไปเพื่อใช้หยุดและโจมตีศัตรูที่เข้ามาใกล้ด้วยพลังมานาภายในที่มี ทุกๆคนที่บุกรุกเข้ามาในดราก้อนเนสจะกลายมาเป็นเป้าหมายของกับดักเหล่านี้
สายรุ้งที่พาดยาวอยู่ก็เป็นเหมือนกับกระจกแห่งการทำลายในรูปแบบธรรมชาติ เมื่อไหร่ที่ยูอิลฮานต้องการ สายรุ้งพวกนีก็จะดูดพลังงานรอบๆเข้ามาเป็นแหล่งพลังยิงเข้าใส่ศัตรู!
ไม่ใช่แค่นี้แต่ยังมีจุดแสงน้ำไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นมาเหมือนดาวบนท้องฟ้าที่ล้วนคือระเบิดมานา และพายุเฮอริเคนฝั่นโลหะที่พัดอยู่ตามส่วนต่างๆของดาเรย์เป็นกับดักธรรมชาติที่จะจัดการกำจัดสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่คิดร้ายกับมังกรอีกด้วย!
นอกไปจากนี้กับดักที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติมีอยู่ทั่วทั้งส่วนต่างๆมากมายในดาเรย์ ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงก็ไม่อาจจะหลีกหนีไปโดยไร้แผลได้
นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ยูอิลฮานตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นเลย มันก็แค่เป็นผลจากการวิวัฒนาการหลังจากที่ได้หลอมรวมโลกจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาและมหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจนสะท้อนบันทึกของเขาออกมากลายเป็นแบบนี้
เพราะกับดักพวกนี้ต่างก็รุนแรงถึงชีวิต และมีรูปร่างภายนอกที่ดูงดงามทำให้สมาชิกดราก้อนเนสได้มีเวลาพักหลังจากผ่านการต่อสู้รุนแรงมาอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาได้อุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อได้มองไปรอบๆโลก
“งดงาม…”
“มีเธออยู่ที่นี่ทำให้มันงดงามยิ่งกว่าเดิมอีก คาริน่า”
“ไมเคิล…”
“พวกบ้านี่…”
คาริน่า มาเลเทสต้า ไมเคิล สมิธสัน และทาคากากิ อสึฮะทุกๆคนที่รอดปลอดภัยได้กลายมาเป็นมังกรที่แท้จริงท่ามกลางการต่อสู้ที่รุนแรงแล้ว
ตามปกติแล้วการสะสมค่าประสบการณ์จนกลายมาเป็นคลาส 5 มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้เจอมามันยังใช่ ‘ปกติ’ อีกงั้นหรอ?
พวกเขาได้เอาชีวิตรอดท่ามกลางสิ่งมีชีวิตชั้นสูงนับไม่ถ้วน เวทย์ชั้นสูง และเทคนิคระดับสูง เพราะงั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่หากพวกเขารอดก็จะพัฒนาขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตคลาส 5!
“ไมเคิล”
“คาริน่า… การต่อสู้ยังไม่จบ พวกเรามาพยายามด้วยกันอีกนะ ทั้งหมดนี่เพื่อลูกๆของเราที่จะเกิดขึ้นมา”
“ได้เลยไมเคิล…”
“อ๊า ฉันอยากจะให้เจ้าพวกนี้ระเบิดตายไปจริงๆ… ท่านซูซาโนะ”
ทาคากากิ ฮสึหะได้เบื่อหน่ายกับการมองดูคู่รักที่สวีตหวานกันตลอดเวลาแม้แต่ในสนามรบแล้ว เธอได้หันหน้าไปหายูอิลฮานที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพและความอยู่รอดของเธอ
“ท่านซูซาโนะ ฉัน… ท่านซูซาโนะ?”
เธอได้พยายามจะเข้าไปหายูอิลฮานแต่แล้วก็หยุดอยู่กลางทาง ยูอิลฮานได้อยู่จุดสูงสุดในป้อมปราการลอยฟ้า ดวงตาทั้งสองข้างของเขาปิดอยู่และมีชั้นเปลวเพลิงโปร่งแสงป้องกันไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเขาอยู่
เธอได้ยอมแพ้ที่จะเข้าไปหาเขาและถอยออกมา เธอคิดว่าแค่ได้มองดูอยู่ห่างๆก็พอแล้ว
‘ฟู่…’
คนที่กำลังถูกพูดถึงในตอนนี้กำลังสูดหายใจช้าๆและเฝ้าดูทั้งโลกจากภายในตัวเขาอยู่
แรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่มาจากมหาภัยพิบัติขั้นที่ 8 และการหลอมรวมโลกจำนวนมากมายที่ได้เริ่มสงบลง ผลที่ตามมาก็คือการที่ยูอิลฮานได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลอีกครั้งหนึ่ง เลเวลของเขาได้เพิ่มขึ้นมาอีกครั้งจนไปถึง 650 แล้ว
โชคดีที่ว่ามันไม่ได้มีอะไรอย่างการสร้างร่างกายใหม่แบบครั้งที่แล้วอีกแล้ว เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ได้มีพลังเวทย์จำนวนมหาศาลได้เริ่มไหลออกมาจากร่างของเขา มันทำให้เขาไม่มั่นคงในตัวเองมากๆ เขารู้สึกเหมือนกับเขากลายเป็นมัวเมาในอำนาจและบ้าคลั่งไปกับพลังของเขา
เพราะเลเวลที่เพิ่มขึ้น 50 เลเวลในครั้งเดียว ทำให้เขากระทั่งสงสัยว่าการเพิ่มเลเวลเร็วๆแบบนี้จะเกิดปัญหาหรือไม่ แต่ว่ามันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมาเลยแม้แต่นิด ความแข็งแรงกระดูกของเขาได้เพิ่มขึ้น เลือดของเขาได้หนาแน่นมากยิ่งขึ้น มวลกล้ามเนื้อของเขาได้มีมากขึ้นและผิวหนังของเขาได้หนาแข็งด้วย ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นได้และมันชัดเจนจนทำให้เขาต้องตัวสั่น
เลเวลของเขาที่สูงขึ้นมาทำให้เขารู้สึกได้ว่าในแต่ล่ะเลเวลจะมีพลังจำนวนเพิ่มขึ้นตามมาด้วย เขากระทั่งรู้สึกชื่นชมตัวเองในอดีตที่ฆ่าสิ่งมีชีวิตที่มีเลเวลมากกว่าตัวเขาเองหลายเท่าได้
เลเวลคือตัวแบ่งแยกระดับพลังโดยพื้นฐานที่สุด เมื่อตอนที่่เขายังมีระดับพลังจำกัดอยู่ทำให้เขาถูกกำแพงที่รู้จักกันว่า ‘คลาส’ ขวางเอาไว้อยู่ แต่ว่าในท้ายที่สุดเลเวลก็คือรากฐานพลังเช่นกัน หลักฐานเลยก็คือหากยังไม่ได้ข้ามผ่านขอบเขตพลังไปก็ไม่อาจจะเพิ่มเลเวลขึ้นมาได้
การเพิ่มเลเวลขึ้นมันไม่ใช่ความหมายง่ายๆอย่างการเพิ่มขึ้นของความสามารถร่างกายและมานา แต่มันคือการที่เขาสามารถใช้พลังในโลกมากขึ้น เข้าใจพลังของโลกมากขึ้น และเปลื่ยนมุมมองพื้นฐานต่อโลกไป
มันไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในทันที แต่ว่ามันคือความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งที่ยูอิลฮานได้รับและได้เรียนรู้มาก่อนอยู่แล้ว
เขาเข้าใจว่าจะเหวี่ยงหอกยังไง เข้าใจว่าจะต้องปรับแต่งโลหะยังไงถึงจะดีขึ้น และเข้าใจถึงความหมายของข้อความที่เขาเคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้หมด เพราะงั้นเลเวลจึงเป็นบันทึกของตัวเอง และเลเวลจะเพิ่มขึ้นไปตามการสะสมของบันทึก
‘เพราะงั้นมันเลยไม่ใช่การที่ฝึกในความคิดแล้วมีระดับสูงขึ้นหรือเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูง การเพิ่มเลเวลขึ้นมันไม่ใช่การที่เราได้รับในสิ่งที่เราไม่มี แต่มันคือการเสริมสร้างในสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว ความโอหังจะนำไปสู่ความโอหังที่มากยิ่งขึ้น และตัวตนที่เผด็จการก็จะเผด็จการมากยิ่งขึ้น ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมความโลภถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้’
ตอนนี้เขาได้ทำการจัดระเบียบความคิดเรื่องการเพิ่มเลเวลได้ชัดเจนแล้ว ยูอิลฮานได้สั่งการมานาภายในตัวเขาและผสานไปกับโลกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ในตอนนี้เขาก็ได้คิดไปถึงคำถามที่เขาเก็บเอาไว้
‘ใช่แล้ว บันทึกพระเจ้า’
เขาได้เก็บมันเอาไว้เพราะการหลอมรวมของโลกและมหาภัยพิบัติ แต่แล้วเขาได้จัดการลบล้างทุกๆโลกที่ปรากฏขึ้นมาจากวิถีแห่งจักรวาลไปทำให้เขาได้ยินเสียงจากบันทึกพระเจ้าอย่างชัดเจน
เพลิงพิฆาตของยูอิลฮานได้ลบโลกเจ็ดพันโลกหายไป หากว่าบันทึกพระเจ้ามีชีวิตอยู่ ถ้างั้นบันทึกพวกนี้ก็น่าจะตายไปในที่แห่งนั้นแล้ว
และบันทึกพระเจ้านี้ก็ได้เรียกยูอิลฮานว่า ‘ผู้ปลดปล่อย’
‘นั่นมันหมายความว่าพวกเขาถูกกักขัง’
แต่ถ้างั้นใครเป็นคนกักขังไว้ล่ะ? ความโลภจากกองทัพปีศาจวิบัติที่รู้จักแต่การกินไม่มีทางที่จะปล่อบของน่าอร่อยอย่างบันทึกพระเจ้าให้มีชีวิตอยู่แน่นอน และสวรรค์ในปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีความสามารถกักขังบันทึกพระเจ้าเอาไว้ได้ ถ้างั้นก็…
“กองทัพจรัสแสง”
ยูอิลฮานรู้สึกเหมือนกับถูกน้ำเย็นราดหน้าและเงยหน้าขึ้นมาทันที
พ่อของเขากำลังอยู่ในอันตราย พ่อบอกว่าพ่อไม่เป็นไร แต่หากว่าซาตานมีพลังในการกักขังบันทึกพระเจ้าจริงๆ ถ้างั้นเขาในตอนนี้คือคนที่อันตรายที่สุดและเป็นคนที่มีเป้าหมายลึกลับที่สุดในตอนนี้ด้วย!
พอมาคิดดูแล้วมันชัดเจนมาก เขาได้เจอกับกองทัพหลักของกองกำลังอื่นๆมาแล้ว แต่ว่าไม่เคยเจอกับปีกที่ 1 แห่งกองทัพจรัสแสง ราซิเออร์ เลย!
ทำไมเขาถึงเพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้กันนะ? อันตรายแล้ว พ่อกับแม่เขากำลังตกอยู่ในอันตราย! บางทีซาตานอาจจะเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด ยิ่งกว่ามิคาเอล หรือความโลภซะอีก อาจจะมากยิ่งกว่าพระเจ้าสวรรค์ที่ส่งเร็กน่ามาด้วยซ้ำไป!
“ข้ามมิติ”
ยูอิลฮานได้เปิดใช้งานข้ามมิติทั้งๆที่ยังคงหลับตาอยู่
ไม่ใช่ว่ายูอิลฮานจะไปที่นั่น แต่ว่าเขากำลังจะเรียกพ่อแม่เขามาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นโลกไหนต่อให้เป็นโลกที่ปิดตัว แต่หากว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เคยติดต่อกันผ่านบันทึกของเขา เขาก็จะสามารถพาคนๆนั้นมาในที่แห่งนี้ได้
หากว่ายูอิลฮานอัญเชิญพ่อกับแม่มาได้สำเร็จ ถ้างั้นการเผชิญหน้ากันระหว่างกองทัพจรัสแสงกับสวนอาทิตย์อัสดงก็จะจบลง และเป้าหมายก็จะถูกเปลื่ยนมาที่ยูอิลฮานแทน แต่นี่มันก็ดีกว่าการปล่อยให้พ่อกับแม่ของเขาตกอยู่ในอันตรายนั่นแหละ
นอกจากนี้ยูอิลฮานก็ยังมั่นใจว่าเขาสามารถจะสู้ได้กับทุกๆคนเพราะเขาได้แกร่งขึ้นมากแล้ว
ยังไงก็ตามในระหว่างที่เขากำลังจะปล่อยการหลอมรวมโลกหรืออะไรซักอย่างไปเรียกพ่อกับแม่เขาก็ได้มีข้อความที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในตอนใช้สกิลข้ามมิติโผล่ขึ้นมา
[เป้าหมายได้ปฏิเสธการเรียกของคุณ]
[กำลังเรียกหนึ่งในเป้าหมายของสกิลข้ามมิติ]
[โลกที่ถูกตัดขาดได้ถูกเปิดขึ้นและคุณได้รับบันทึกและมานา สเตตัสทั้งหมดเพิ่มขึ้นและพลังเวทย์เพิ่มขึ้นอีก 700]
“…อะไรกัน?”
“…แม่”
ยูอิลฮานมั่นใจว่าเขาได้เรียกทั้งพ่อกับแม่เขามาทีนี่ แต่คนที่มามีแค่คิมเยซอลเท่านั้น เธอไม่ได้เผชิญกับการต่อสู้นับพันโลกเหมือนยูอิลฮานกับคนอื่นๆ แต่ว่าในเวลาสั้นๆเธอก็ได้ไปถึงคลาส 6 แล้วเช่นกัน
นี่มันคือเรื่องที่น่าตกตะลึงมาก แต่ว่ามันยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่านั้นอยู่
“แม่แล้วพ่อล่ะ? ผมเรียกทั้งพ่อกับแม่มาพร้อมกันนะ!”
มันไม่น่าแปลกใจหรอกที่คนอย่างกาเบรียลจะสามารถปฏิเสธเวทย์ข้ามมิติของเขาได้ แต่เขาทำไปทำไมล่ะ
คิมเยซอลได้ตอบกลับมาด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“พ่อของลูก… บอกว่าเขาจะยื้อศัตรูเอาไว้”
“ทำไมละ! ทำไมพ่อถึงทำแบบนั้น! นี่มันชัดเจนว่ามีภัยร้ายแฝงอยู่นะ!”
ที่น่าหงุดหงิดไปกว่านี้อีกก็คือมันไม่ใช่มีแค่ปัญหาเดียวที่เขาเจอในตอนนี้
“อิลฮาน ที่มุมหนึ่งของโลกดูแปลกๆนะ!”
“พ่อนี่มันเหมือนกับ… พ่อกำลังอยากไปนรกเลยนะ!”
อ๊าาาาาาาาาาาาา! ทำไมพวกเรื่องแย่ๆถึงได้มาเกิดขึ้นพร้อมๆกันด้วย! ผู้เชี่ยวชาญในด้านลางสังหรณ์ร้ายอย่างยูอิลฮานได้ร้องออกมา