Everyone Else is a Returnee โดดเดี่ยว 1000 ปี - ตอนที่ 343
บทที่ 343 – พระเจ้า (4)
มิคาเอลได้ก้าวเดินต่อไป เขาได้ใช้แสงสว่างในตัวลบล้างทุกๆอย่างในโลกที่เต็มไปด้วยคำสาปและพิษร้าย แต่เดิมภายในเอลโลคาทร่าไม่เคยมีแสงสว่างเลย แต่นี่ก็ไม่สำคัญแล้ว มิคาเอลคือแสงสว่าง และเขาสามารถใช้พลังเวทย์สร้างแสงสว่างขึ้นมาเองได้
[ความโลภ!]
[เข้ามาสิ]
[ความโลภ]
[นายเกือบจะมาถึงแล้ว]
[ความโลภภภภภ!!!!]
ในตอนนี้เองมิคาเอลได้ปลดปล่อยแสงสว่างออกมาพร้อมๆกับเสียงตะโกน ตรงหน้าของเขาได้มีปราสาทยักษ์ปรากฏขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มีคาเอลได้เห็นอะไรแปลกๆแบบนี้
[ฉันเฝ้ารอนายมาอย่างยาวนาน ฉันกำลังเฝ้ารอให้นายสมบูรณ์แบบตลอดเวลา]
[ไร้สาระ นายมันก็แค่สัตว์ป่าและเป็นสัตว์ป่าที่ยโส ฉันรู้ว่ากำลังไปที่ไหน]
[นายรู้? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!]
โลกได้สั่นสะเทือน บางทีนี่อาจจะเป็นอิทธิพลของพลังในการปกครองของความโลภในพื้นที่ของเขาก็ได้ ในที่สุดมิคาเอลก็รู้ว่านี่คือโลกหลักของศัตรูและเขากำลังต่อสู้กับเจ้าแห่งโลกใบนี้ด้วยตนเอง
ยังไงก็ตามเขาไม่ได้ถอย เขาจะฆ่าความโลภและยึดเอาเอลโลคาทร่าให้กลายมาเป็นโลกบริวารของสวรรค์ สวรรค์จะเป็นของเขา และเขาจะยุติการอารวาดของยูอิลฮานและเอาชีวิตซาตานมาด้วยมือของเขาเองด้วย เขาจะไม่ให้กองกำลังอื่นๆได้ทำตามใจอีกแล้ว
สวรรค์จะต้องเป็นหนึ่งเดียวและมีแค่กองกำลังเดียวเท่านั้น ในเมื่อเขาคือพระเจ้าเพียงหนึ่งสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะติดตามเขา เขาจะได้ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของทุกๆสิ่งมีชีวิต
[เผยตัวออกมาซะความโลภ]
[เข้ามาเองสิ ทำไมล่ะ? นายกลัวงั้นหรอ?]
[กลัว?]
มิคาเอลได้หัวเราะออกมา
[นี่มันคือนิสัยของกองทัพปีศาจวิบัติของนายงั้นหรอ? ยั่วยุคนอื่นหน้าด้านๆ? มันดูเหมือนว่าจะมีแค่ลิ้นของนายนะที่ได้ฝึกนะเจ้าสัตว์ป่า ความกลัวน่ะมันคือความรู้สึกอ่อนแอที่จะเกิดขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับคนท่แข็งแกร่ง นายหนีไปในทันทีที่มาถึงสวรรค์ทั้งๆที่นายตั้งใจมากกลืนกินสวรรค์แทๆ นั่นแหละคือการกระทำของพวกคนขี้ขลาด นั่นแหละคือความกลัว]
[ถ้างั้นก็เข้ามาสิ]
ปราสาทได้เปิดออกมา นี่คือนรก แม้กระทั่งคลาส 7 ก็ไม่อาจจะเข้าใกล้ที่นี่ได้เพราะความหนาแน่นของมานาเพียงอย่างเดียว ยังไงก็ตามมิคาเอลได้เผชิญหน้ากับมันอย่างเย่อหยิ่งและละลายมานานั่นทิ้งไปด้วยแสงสว่าง
[ฉันจะตรงไปหานายเอง]
แสงสว่างของมิคาเอลได้ละลายความมืดจำนวนมากของโลกนีไป เขาได้เผาคำสาป พิษร้าย และทำให้พวกมันบริสุทธิ์กลายมาเป็นของเขา ในเวลาต่อมานี้เอง
[ฉันจะใช้กำลังเอาทุกๆอย่างมาจากนายเอง]
มิคาเอลได้พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วแสง ความมืดทั้งหมดที่ดูเหมือนจะกลืนกินเขาได้สลายไปในทันทีที่มันได้เข้าใกล้เขา พื้นที่รอบๆได้บิดเบือนไปพร้อมๆกับปราสาทที่กำลังละลายลง
ในที่สุดมิคาเอลก็ได้เผชิญหน้ากับความโลภตรงๆแล้ว มอนสเตอร์ขนาดมหึมาที่ทั้งร่างกายได้ผูกติดอยู่กับกำลัง กลุ่มก้อนความโลภที่ไม่มีใครรู้ต้นกำเนิด มันแทบจะเป็นการหลอมรวมของทุกๆสายพันธ์แล้ว
มิคาเอลได้โกรธขึ้นมาในทันที เขาไม่ชอบความจริงที่เขาจะต้องใช้พลังมาสู้กับสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงนี่
[นับตั้งแต่ที่นายได้พยายามจะกัดสวรรค์ก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เวลาได้ผ่านไปแล้วนายได้มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมอีก]
[อ่า นายพูดถึงตอนนั้น… น่าเสียดาย หากว่าไม่มีกองกำลังอื่นเข้ามาช่วย ฉันก็คงได้ทุกๆอย่างมาโดยที่ไม่ต้องมาผูกมัดตัวเองแบบนี้]
คิ้วมิคาเอลได้ขมวดขึ้นมา
ใช่แล้ว สวรรค์ไม่ได้ต้านทานกองทัพปีศาจวิบัติด้วยตัวเองเพียงลำพัง สวนอาทิตย์อัสดงกับกองทัพจรัสแสงได้เข้ามาช่วยพวกเขาด้วย หรือก็คือกองกำลังที่เหลือทั้งหมดได้ร่วมมือช่วยกันต่อต้านกองทัพปีศาจวิบัติ
ซาตานนั้นเดิมทีเคยเป็นคนจากสวรรค์ แต่ว่าในตอนนั้นมิคาเอลไม่รูเลยว่าทำไมสวนอาทิตย์อัสดงถึงได้มาช่วยด้วย ยังไงก็ตามในตอนนี้เขารู้แล้ว หัวหน้าสวนอาทิตย์อัสดงก็คือกาเบรียล เขาถูกหลอกให้เป็นไอ้โง่จนกระทั่งมาถึงตอนนี้…
[กรอดดด]
มิคาเอลได้โยนความโกรธกาเบรียลให้ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ กาเบรียลไว้ค่อยตามไปจัดการ ในตอนนี้เขาจะต้องฆ่าเจ้าสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงนี่ก่อน
[มาสู้กันความโลภ ได้เวลามอบบทลงโทษศักดิ์สิทธิ์ให้กับนายแล้ว]
[ก็… มาลองดูสิ!]
โซ่โลหะหลายสิบเส้นได้ปรากฏขึ้นจากเพดานปราสาทพร้อมๆกับเสียงตะโกนของความโลภ มันทำมาจากอะไรไม่รู้ แต่ว่าโลหิตที่เป็นสีดำและพิษสีม่วงดำได้ทำให้มิคาเอลรู้สึกไม่สบายใจ
มิคาเอลได้ปล่อยแสงสว่างออกมาป้องกันตัวทันที แต่ว่าการโจมตีของหัวหน้ามันไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดา มันไม่มีทางจะหายไปง่ายๆอยู่แล้ว ความโลภที่เห็นแบบนี้ได้หัวเราะเยาะมิคาเอลออกมา
[แสงสว่างของนายมีแค่นี้เองงั้นหรอ? ทำไมนายไม่ตะโกนคำอย่าง ‘หนึ่งเดียวและเพียงหนึ่ง’ อะไรแบบนี้มาอีกล่ะ?]
[ความโลภ!]
แสงสว่างที่มิคาเอลปล่อยออกมาได้ทรงพลังยิ่งขึ้น แสงสว่างพลังงานสูงได้กระจายออกไปรอบๆและขวางกันโซ่โลหะที่มาจากกำแพง พื้นปราสาทและหน้าต่าง
[ของเด็กเล่น… อั๊ก!?]
ความโลภได้โยนมือซ้ายของเขาออกมาพร้อมๆกับเสียงโซ่ที่ดังขึ้น! นี่ไม่เพียงแต่จะมีพละกำลังที่มหาศาลเท่านั้น แต่ยังมีพลังแรงดึงดูดที่กลืนกินมานาทั้งหมดรอบๆอีกด้วย
แสงสว่างที่มิคาเอลปล่อยออกมาก็ถูกกลืนกินลงไปเช่นกัน นี่คือความสามารถในการกลืนกินพลังงาน! นี่คือสิ่งที่ทำให้ความโลภเป็นหัวหน้ากองทัพปีศาจวิบัติ
[แต่…]
มิคาเอลได้ต่อยหมัดที่ห่อหุ้มด้วยแสงสว่างออกไป เมื่อเทียบกับความโลภแล้วหมัดของมิคาเอลเหมือนกับไม้จิ้มฟัน แต่ว่าหมัดของเขาก็ได้ดูดพลังงานจากความโลภมาและดันกลับไป!
[นายไม่ใช่คนเดียวที่ขโมยพลังได้หรอกนะเจ้าสัตว์ป่าหน้าโง่!]
เหตุผลที่สี่ยอดเทวทูตสามารถจะเอาชนะพระเจ้ามาได้นั่นไม่ใช่เพราพลังในการสะท้อนซาตาน ไม่ใช่เพราะกาเบรียล ไม่ใช่เพราะพลังการรักษาของราฟาเอลและไม่ใช่พลังในการยับยั้งของยูเรียล
มันเป็นเพราะพลังในการขโมยที่มีติดตัวมากับมิคาเอลตั้งแต่เกิด คล้ายๆกันกับการพยากรณ์ของกาเบรียล เป็นพลังที่เขาได้เลือกละทิ้งไปเพราะมันไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของเขา แต่ว่ามันคือพลังที่แกร่งยิ่งกว่าใครๆ
[ฉันรู้…. ฉันรู้เป็นอย่างดีเลยล่ะ!]
[ถ้างั้นนายก็น่าจะรู้นะว่าความพิเศษของนายมันไร้ประโยชน์ต่อฉัน!]
[ไม่หรอก! ฉัน! จะกลืนกิน! ทั้งชีวิตและความตาย และแม้กระทั่งบันทึกของโลกใบนี้!]
กำปั้นของทั้งสองคนได้ปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วน นี่ก็นับเป็นการแข่งพลังกันด้วย โซ่โลหะได้พุ่งออกมาจากส่วนต่างๆของปราสาทเข้าใส่มิคาเอลอย่างต่อเนื่อง และมิคาเอลก็ได้ใช้ปีกทั้งห้าคู่ของเขาลบโซ่โลหะพวกนี้ออกไปอย่างไม่ยากเย็น
[พลังของนายมันอ่อนแอ มิคาเอล! นายมันอ่อนแอ! พลังนี้ใช้ได้กับยูอิลฮานงั้นหรอ!?]
[อ่อนแอ? ฉันเนี้ยนะ? นายกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไงกันในเมื่อนายยังแทบจะสู้กับฉันไม่ได้ทั้งๆที่กลืนกินทุกๆอย่างด้วยความโลภที่ไม่รู้จักพอของนาย]
มิคาเอลได้ประชดออกมา แต่ว่าเขาก็อดที่จะตกตะลึงภายในใจของเขาไม่ได้ เจ้านี่รู้ได้ยังไงกันว่าพลังของเขาอ่อนแอ?
‘ในตอนเราขับไล่พระเจ้าออกไป ฉันได้เสียพลังส่วนหนึ่งของฉันไปเพื่อเป็นการชดเชยกับการทรยศ แต่ถึงแบบนั้นในท้ายที่สุดฉันก็ฟื้นฟูกลับมาได้เพราะการที่ได้รับพลังจากพระเจ้า…. แต่ก็จริงนั่นแหละ ความสามารถในการขโมยของฉันอ่อนแอลงจริงๆ’
ถึงเขาจะมีพลังในการขโมย แต่มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะขโมยพลังของพระเจ้ามาโดยสมบูรณ์ ยังไงก็ตามเศษเสี้ยงพลังของพระเจ้าที่เขาได้รับมาก็ทรงพลังมากจนเขาไม่ได้รู้ตัวเลยมาจนถึงตอนนี้ แต่ยังไงก็ตามในเมื่่อพลังของพระเจ้าได้กระตุ้นให้เขากลายมาเป็นเทพได้ทำให้เขาไม่ได้กังวลอะไรมากนัก
[ไม่ว่ายังไงนี่มันก็มากพอที่จะเอาชนะคนอย่างนายแล้ว!]
[ฉันจะกลืนกินทุกๆอย่างๆของนาย!]
ปราสาทได้ระเบิดออกมา โซ่นับพัน นับหมื่น นับแสน นับล้านได้พุ่งเข้าโจมตีมิคาเอล โลหะโบราณที่สร้างเป็นปราสาทได้พังทลายลงและกลายเป็นหอกนับไม่ถ้วนเข้าโจมตีมิคาเอล และแม้กระทั่งกำแพงที่ผูกมัดความโลภเอาไว้มาตลอดก็ยังพลังทลายลงทำให้เขากลายเป็นอิสระ
สัตว์ประหลาดยักษ์ที่ใหญ่เท่าโลกทั้งใบได้เข้าโจมตีมิคาเอลจากด้านบนแล้ว
[ในเมื่อนี่มันคือวันสิ้นโลก ฉันก็ไม่จำเป็นต้องห้ามใจตัวเองอีกแล้ว!]
[เจ้าสัตว์ประหลาด!]
พริบตาเดียวแสงสว่างได้ถูกปล่อยออกมาครอบคลุมพื้นที่ขยายใหญ่ แสงสว่างนี่มันจ้าจนทำให้ความโลภไม่อาจจะเปิดตามองให้ชัดได้เลย! โซ่โลหะได้ถูกละลาย หอกได้ถูกละลาย และเศษเสี้ยวทั้งหมดของปราสาทได้ถูกละลายลง
เพราะคลื่นกระแทกทรงพลังจากพลังเวทย์ของทั้งสองคนได้ทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆพังทลายลงไปอย่างสิ้นเชิง ทุกๆส่วนของเอลโลคาทร่าได้พังทลาบบิดเบี้ยวไป ร่างกายขนาดยักษ์ของความโลภก็ยังถูกหลอมละลายลงไปเช่นกัน แต่ว่าดูเหมือนว่าร่างกายของเขาจะไม่มีวันหายไปจนหมด
ทั้งสองคนกระทั่งยังไม่ได้มองกันเองด้วยซ้ำไป พวกเขาเพียงแค่ปะทะกันเต็มพลังเพื่อที่จะเอาชีวิตอีกฝ่ายเท่านั้น
[นายกับฉันดูคล้ายกันนะ]
จู่ๆความโลภก็พูดขึ้นมา มิคาเอลได้ฮึดฮัดและปฏิเสธออกมา
[มาเทียบหิ่งห้อยกับดวงอาทิตย์เนี้ยนะ?]
[เปรียบเทียบได้ดี ใช่แล้ว ความสัมพันธ์ของเราในตอนนี้เป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์กับหิ่งห้อยจริงๆนั่นแหละ หิ่งห้อยที่ปล่อยแสงสว่างออกมาด้วยความคิดกับตัวเองที่แสงสว่างของมันเจิดจ้าที่สุด แต่แล้วมันเป็นยังไงล่ะ? ก็แค่แสงสว่างเล็กๆ มีชีวิตที่แสนสั้นและมีชะตากรรมที่ต้องตาย]
[ขอบใจที่อธิบายนะเจ้าหิ่งห้อย]
จู่ๆเมื่อพูดจบมิคาเอลก็เบิกตากว้างขึ้นมาทันที
ในอดีตที่ผ่านมาเขาจะต้องถอยกลับเมื่อเจอกับพลังเวทย์ที่ทรงพลัง แต่ยังไงก็ตามตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว
ที่นี่คือโลหลักของศัตรูงั้นหรอ? แล้วสำคัญตรงไหนกันล่ะ? เขาอยู่ที่นี่และเปล่งประกายยิ่งกว่าใครๆ มิคาเอลอยู่ในพื้นที่ของเขาเองตลอดเวลา แสงสว่างมีอยู่ในทุกๆที่ และแสงสว่างอยู่ในคำสั่งของเขา ทุกสิ่งเป็นของเขา
[ฉันจะบอกให้รู้นะ ฉันนี่แหละคือดวงอาทิตย์]
มิคาเอลได้กลายเป็นแสงสว่าง เขาได้ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดของเขาก้าวข้ามบันทึกและเปลื่ยนมันให้กลายเป็นแสงสว่าง
ความเร็วที่ร่างความโลภละลายลงได้เร็วมากยิ่งขึ้น ถึงแบบนั้นความโลภก็ยังคงแสดงความสุขออกมา เนื่องจากมิคาเอลได้ปฏิเสธในพลังดั้งเดิมของตนเพื่อแสวงหาแสงสว่างที่ทรงพลังขึ้น ทำให้พลังการกลืนกินของความโลภได้กดดันพลังการขโมยของมิคาเอลได้มากยิ่งขึ้น
และเมื่อพลังได้มาถึงขีดสุด….!
[จงละลายไปจนไม่เหลืออะไรซะเถอะความโลภ! เจ้าหิ่งห้อยน่าโง่!]
[อ๊ากกกกกกกกกกกก!]
เมื่อความโลภได้ตะโกนออกมาแบบนี้แสดงสว่างที่มีอยู่ทั่วทั้งโลกก็ได้หายไปในทันที มิคาเอลได้ตื่นตระหนกขึ้นมาและพยายามที่จะปล่อยแสงออกมาอีกครั้ง แต่แล้วเขาก็พบว่ามันเป็นไปไม่ได้เลย
ไม่สิ เขาปล่อยแสงสว่างออกมาได้ แต่ว่ามันก็จะหายไปในทันทีที่เขาปล่อยออกมา มันราวกับแสงสว่างได้ถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ
[นายได้ทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว นายไม่ควรที่จะใฝ่หาในสิ่งที่นายไม่อาจได้รับเลย นายน่าจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่นายมีอยู่แล้ว]
[อะไรนะ…]
ในเวลาต่อมาเขาก็รู้ได้ว่าแสงสว่างของเขาได้ถูกกลืนกินไปแล้ว
แสงสว่างของเขาถูกความโลภกลืนกินไป? นี่มันทำให้เขาสับสนมากจนพูดอะไรไม่ถูกแล้ว เป็นไปได้ยังไงกัน? ได้ยังไงกัน?
ในตอนนี้มิคาเอลก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในซากปราสาทที่พังลงหลังจากร่างของความโลภได้ละลายหายไปแล้ว
เขาคนนี้กำลังมีแสงสว่างของมิคาเอลอยู่รอบตัว แต่ก็ยังคงพยายามที่จะกลืนกินทุกๆอย่างที่มิคาเอลเป็นเจ้าของอยู่
[…พ่อ]
มิคาเอลได้พึมพัมออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ความโลภ หรือก็คืออดีตของพระเจ้าแห่งสวรรค์ได้เปิดปากตอบกลับมาอย่างชั่วร้าย
[ใช่แล้วลูกของฉัน นี่ฉันเอง]